หากจะพูดถึงเสน่ห์ของจังหวัดอาคิตะนั้นจะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ นอกจากความอุดมสมบูรณ์ที่อวดโฉมในฤดูกาลทั้งสี่
เริ่มจากซากุระในฤดูใบไม้ผลิที่มีซากุระกิ่งย้อย "ชิดาเระซากุระ" ที่คาคุโนะดาเทะ (Kakunodate) และทิวต้นซากุระที่แม่น้ำฮิโนะกิไน (Hinokinai) ซึ่งสวยจนแทบจะลืมหายใจ
ในฤดูร้อนที่แสนเขียวชอุ่ม ความยิ่งใหญ่ของภูเขาโจไก (Chokai) คงทำให้ผู้คนที่พบเห็นประทับใจไปอีกแสนนาน นอกจากนี้ยังมีเทศกาลดอกไม้ไฟและเทศกาลโคมไฟของโอมาการิ (Omagari) อันเป็นสัญลักษณ์แห่งฤดูร้อน เทศกาลเหล่านี้จะช่วยจุดค่ำคืนฤดูร้อนให้สว่างไสวสวยงาม
ใบไม้เปลี่ยนสีในฤดูใบไม้ร่วงมีทั้งภูเขาที่ถูกย้อมด้วยสีแดงสีเหลืองแสนงดงาม และทุ่งนาสีทองทำให้รู้สึกถึงฤดูใบไม้ร่วงอันเป็นฤดูเก็บเกี่ยว
เหล่าแมกไม้สีสันสวยงามในฤดูใบไม้ร่วง จะค่อยแปลงโฉมอีกครั้งด้วยหิมะที่ร่วงหล่นลงอย่างเงียบเฉียบในฤดูหนาว
ฤดูหนาวอันยาวนานทำให้เกิดวัฒนธรรมการกินที่มีเอกลักษณ์ของอาคิตะ อาหารที่มีชื่อเสียง เช่น คิริตัมโปะ (ข้าวปั้นเสียบไม้ย่าง) หรืออิบุริงักโกะ (ไช้เท้ารมควันดอง) นั้น ล้วนเป็นอาหารที่บรรพบุรุษเป็นผู้สรรค์สร้างขึ้นเพื่อถนอมอาหารเพื่อทำให้ดำรงชีวิตผ่านฤดูหนาวไปได้
จังหวัดอาคิตะยังมีออนเซ็นที่มีชื่อเสียงมากมาย หลังจากแช่น้ำ ค่อยๆ ทำให้ร่างกายอบอุ่นพลางจิบสุราชมหิมะแล้ว ขอเชิญมาดื่มด่ำกับรสชาติของอาคิตะกันดู
จังหวัดอาคิตะเป็นสถานที่ที่จะทำให้รู้สึกสนุกและผ่อนคลายได้จนครบประสาทสัมผัสทั้งห้าของคุณ
โซนทะเลสาบทาซาวะ (Tazawa) เมืองออนเซ็นนิวโต (Nyuto) คาคุโนะดาเทะ (Kakunodate) และโอมาการิ (Omagari) คือบริเวณที่มีทั้งทะเลสาบที่ยังคงหลงเหลือตำนานเล่าขานถึงสาวพรหมจรรย์ผู้อธิษฐานให้มีความงามชั่วนิรันดร์ มีทั้งบ่อน้ำร้อนที่แฝงตัวอยู่ท่ามกลางภูเขาอันมีชื่อเสียงของญี่ปุ่น ไปจนถึงคฤหาสน์นักรบโบราณซึ่งยังคงตั้งโดดเด่นเป็นสง่าอยู่เหมือนเมื่อวันวาน
คุณสามารถดื่มด่ำกับการเดินทางในบริเวณที่เรียกกันว่าเป็นหมู่บ้านของมาตางิ (พรานท้องถิ่นในฤดูหนาว) ได้ด้วยการนั่งรถไฟสายไนริคุ (Akita Nairiku) ที่วิ่งจากทิศเหนือจรดใต้ในอาคิตะได้ที่โซนนี้
เป็นชื่อเรียกโดยรวมของที่พักที่มีบ่อน้ำร้อนให้บริการ 7 แห่งซึ่งกระจายตัวอยู่ตามเชิงเขานิวโต ภายในอุทยานแห่งชาติโทะวาดะ ฮาจิมันไต (Towada-Hachimantai National Park)
ที่นี่เป็นออนเซ็นกลางป่าอันโด่งดังของญี่ปุ่น ห้อมล้อมด้วยป่าดิบต้นบีชญี่ปุ่น ที่พักที่มีบ่อน้ำร้อน 7 แห่งนั้นมีตาน้ำเป็นของตนเอง คุณสมบัติของน้ำร้อนจึงหลากหลาย โดยทั่วทั้งเมืองออนเซ็นแห่งนี้มีตาน้ำทั้งหมดกว่า 10 ชนิด
ทะเลสาบที่ลึกที่สุดในญี่ปุ่น มีความลึก 423.4 เมตร ซึ่งมีความน่าสนใจจากผิวทะเลสาบสีครามอันสวยงามและตำนานเจ้าหญิงทัตสึโกะ
รูปปั้นเจ้าหญิงทัตสึโกะสีทองเปล่งประกายที่ยืนเด่นเป็นสง่าอยู่โดยมีทะเลสาบใสสีน้ำเงินเป็นฉากหลังนั้นเป็นภาพที่ชวนให้จดจำ
และยังมีศาลเจ้าโกะซาโนะอิชิ (Gozanoishi) ที่ชายฝั่งด้านเหนือเป็นที่บูชาเจ้าหญิงทัตสึโกะ หรือจะนั่งชมวิวจากเรือทัศนาจรที่ขากลับจะแล่นผ่านเขตคาตาจิริซึ่งมีรูปปั้นเจ้าหญิงทัตสึโกะอยู่ก็วิเศษไม่น้อย
บริเวณคาคุโนะดาเทะได้ก่อร่างสร้างเมืองโดยตระกูลอาชินะ เมื่อปีเก็นนะที่ 6 (ค.ศ. 1620) หลังจากนั้นได้กลายมาเป็นเมืองรอบปราสาทของตระกูลซาตาเกะฝ่ายเหนือ (Satake Kitake) รั้วไม้สีดำที่ต่อเนื่องไปตามถนนอันกว้างใหญ่นั้นช่วยขับให้ต้นชิดาเระซากุระ (ซากุระกิ่งย้อย) และต้นสนโมมิยิ่งดูโดดเด่น
ที่ถนนทามะจิบุเคะยาชิกินั้นเคยเป็นเขตที่ตั้งของคฤหาสน์นักรบตระกูลอิมามิยะ ซึ่งเป็นตระกูลขุนนางสำคัญจากตระกูลใหญ่ซาตาเกะ
ทางรถไฟท้องถิ่นที่มีความยาว 94.2 กิโลเมตร เชื่อมระหว่างสถานีรถไฟทาคาโนะซุ (Takanosu) ที่อยู่ทางเหนือของจังหวัดและสถานีรถไฟคาคุโนะดาเทะทางตอนใต้ของจังหวัด
ดื่มด่ำกับการเดินทางด้วยการตระเวนชมธรรมชาติอันโดดเด่นของจังหวัด เช่น เขตอานิ (Ani) ซึ่งมีชื่อทางด้านมาตางิ (พรานท้องถิ่นในฤดูหนาว)
โซนคัตสึโนะโทะวาดะฮาจิมันไต (Kazuno Towada Hachimantai) และโอดาเทะ (Odate) อยู่ทางตอนเหนือของจังหวัด ความงามของธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ของทะเลสาบโทวาดะจะดึงดูดจิตใจของคุณ และยังมีทั้งทิวทัศน์ธรรมชาติอันมีชื่อสียงของฮาจิมันไต กับเมืองออนเซ็นที่มีชื่อเสียงทางด้านน้ำร้อนเพื่อความงามของผิวพรรณ แถมเป็นแหล่งกำเนิดของสุนัขพันธุ์อาคิตะด้วย
โซนนี้เป็นเขตที่อุดมสมบูรณ์ด้วยธรรมชาติ มีทั้งอุทยานแห่งชาติที่โดดเด่นด้วยขนาดใหญ่อันดับต้นๆ ของประเทศ ป่าไม้อันสวยงาม ที่ราบน้ำขัง จนถึงออนเซ็นที่เกิดขึ้นเพราะภูเขาไฟ
ที่พักเพียงแห่งเดียวที่ตั้งตระหง่านท่ามกลางป่าอันเงียบสงบ ณ อุทยานแห่งชาติโทะวาดะ ฮาจิมันไต และเป็นออนเซ็นอันมีประวัติอันยาวนานกว่า 300 ปีหลังจากการเปิดบ่อ เป็นออนเซ็นที่มีชื่อเสียงในฐานะออนเซ็นที่ช่วยรักษาโรค รวมถึงได้รับการกล่าวขวัญกันว่ามีสรรพคุณเป็นเลิศ อีกทั้งยังตั้งอยู่ใกล้กับ "เส้นทางเดินเล่นฮะจิมันไต โอนุมะ (Hachimantai Onuma Promenade)" และหากจาก "เส้นทางศึกษาธรรมชาติโกะโชกาเคะ" ที่อยู่ด้านข้างทางเข้าโรงแรม คุณจะได้ชมน้ำพุร้อนแบบต่างๆ รวมถึงภาพของน้ำพุร้อนโคลนที่พุ่งขึ้นส่งเสียงปุดๆ จากพื้นอย่างน่าตื่นตาตื่นใจ
ที่พักเพียงแห่งเดียวที่ตั้งตระหง่านท่ามกลางป่าอันเงียบสงบ ณ ทางเข้าทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของแหล่งมรดกโลก "เทือกเขาชิราคามิ"
ตั้งแต่เปิดบ่อน้ำร้อนในปี ค.ศ. 1893 น้ำร้อนของที่นี่ได้รับการกล่าวขวัญกันว่า "น้ำแร่ของฮิคาเงะออนเซ็นได้ผลดีกับผิว" และเชื่อว่าเป็นบ่อน้ำร้อนรักษาโรคที่ช่วยเรื่องของผิวสวยมาจนทุกวันนี้
ฮิคาเงะออนเซ็นที่เป็นรักของชาวญี่ปุ่นด้วยสรรพคุณทางการรักษาที่สูงและคุณสมบัติน้ำที่เป็นกลาง อ่อนโยนต่อผิว จนถูกเรียกว่า "น้ำแร่วิเศษ แช่ครั้งละสามวัน" ภูเขาที่อยู่ด้านหลังยังเป็นเส้นทางปีนเขาและเส้นทาง Trekking ที่เตรียมทางเอาไว้อย่างดีอีกด้วย
ทะเลสาบโทวาดะเป็นทะเลสาบที่เกิดจากแอ่งยุบปากปล่องภูเขาไฟแบบซ้อน ครอบคลุมพื้นที่ทั้งจังหวัดอาคิตะและอาโอโมริ มีพื้นที่ 59 ตารางกิโลเมตร กว้างราว 10 กิโลเมตร ความลึกของน้ำอยู่ที่ 327 เมตร และเป็นทะเลสาบที่ภาคภูมิใจในความใสของน้ำถึง 15 เมตร นับเป็นอันดับสามในญี่ปุ่น เรียกว่าเป็นทะเลสาบที่มีความสวยงามโดดเด่นอย่างยิ่ง
เส้นทางการท่องเที่ยวยอดนิยมนั้นคือเริ่มจากช่องเขาฮักกะโทเกะ (Hakka Toge) ที่สามารถมองเห็นทะเลสาบโทวาดะได้ทั้งหมด ผ่านวาอินาอิ (Wainai) แล้วใช้เส้นทางเนโนะคุจิ (Nenokuchi) โดยเลี้ยวขวาสามารถไปทางยาสุมิยะ (Yasumiya) และอุตารุเบะ (Utarube) หรือจะไปทางเส้นทางชายฝั่งตะวันตกโดยเลี้ยวไปทางซ้ายจะพบภูเขานามาริ (Namari) ยอดเขาโอโอคาว่าทาเคะ (Okawatake) และน้ำตกทาคิโนะซาว่า (Takinosawa)
ไม่ว่าจะใช้เส้นทางไหน คุณจะได้เต็มอิ่มกับความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติที่แตกต่างกันอย่างแน่นอน
เป็นแนวเขาที่คาบเกี่ยวระหว่างจังหวัดอาคิตะและอิวาเตะ ถูกปกคลุมด้วยป่าหนาทึมที่มีทั้งต้นบีชญี่ปุ่น ต้นเออร์แมนเบิร์ช ต้นสนใบแหลมแมรี่ส์ และต้นมิซุนาระ (ต้นโอ๊คญี่ปุ่นชนิดหนึ่ง)
ตามข้างทางของถนนฮาจิมันไตแอสปิเทไลน์ (Hachiman Aspite Line) หรือทางหลวงหมายเลข 341 เมื่อมองผ่านหน้าต่างเราจะเห็นใบไม้เปลี่ยนสีได้เหมือนกัน แต่หากได้ไปเดินตามทางศึกษาธรรมชาติของโอนุมะ (Onuma) หรือโกะโชกาเคะ (Goshogake) พลางเที่ยวชมใบไม้เปลี่ยนสี หรือลงแช่ในออนเซ็นของเมืองออนเซ็นฮาจิมันไตที่กระจายตัวอยู่เป็นบริเวณตามเชิงเขาฮาจิมันไตพลางชมใบไม้เปลี่ยนสี คุณจะได้สัมผัสกับความงดงามของใบไม้เปลี่ยนสีที่พิเศษยิ่งกว่า
บ่อน้ำร้อนที่มีชื่อเสียงว่าช่วยในการรักษาอาการเจ็บป่วยจนได้รับการกล่าวขวัญว่า “ขี่ม้ามาโกะโชกาเคะ แต่ขากลับสวมเกี๊ยะสูงเดินกลับไป” คอร์สเดินเล่น (ระยะทางประมาณ 2.7 กิโลเมตร) ซึ่งจัดเตรียมไว้ที่ออนเซ็นโกะโชกาเคะใช้เวลาราว 40 นาที / 1 รอบ ท่านจะได้ชมปรากฏการณ์ต่างๆ อันทรงพลังที่เกี่ยวกับภูเขาไฟ เช่น ภูเขาไฟโคลนสวยที่สุดในญี่ปุ่น บึงโอยุนุมะ (Oyunuma) ที่มีควันลอยขึ้นมา
จุดพักรถคัตซึโนะ ศูนย์ข้อมูลท่องเที่ยวคัตซึโนะ (Kazuno Kankou Furusato Kan) และร้านค้าอันโทร่า (Antoraa) คือจุดพักรถที่เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวคัตซึโนะ โดยเป็นทั้งพลาซ่าที่ให้ข้อมูลการท่องเที่ยวจากคัตซึโนะ ศูนย์กลางการท่องเที่ยวโทวาดะ ฮะจิมันไต และยังมีสินค้าผลผลิตขึ้นชื่อจากบริเวณรอบๆ อย่างครบครัน รวมถึงมีร้านอาหารที่คุณจะได้อิ่มอร่อยกับของดีประจำฤดูกาลอีกด้วย
ที่อาคารจัดแสดงเรื่องงานเทศกาล คุณจะได้ชมเกี้ยวศาลเจ้าที่ใช้งานเทศกาล "ฮานาวะบาชิ (Hanawabashi) ซึ่งเป็นงานเทศกาลที่ได้รับการลงทะเบียนให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้โดย UNESCO ด้วย
จุดพักรถที่ออกแบบโดยสถาปนิกชื่อดังระดับโลก คุมะ เค็นโกะ (Kuma Kengo) ภายใต้คอนเซ็ปต์ "ริมขอบดวงอาทิตย์ที่มีไอน้ำร้อนล่องลอย"
นอกจากจะมีตลาดและคาเฟ่ที่คุณจะได้เต็มอิ่มกับผลิตภัณฑ์ขึ้นชื่อของคัตสึโนะแล้ว ยังมีจุดพักผ่อน กับบริการออนเซ็นเท้า (อาชิยุ) ที่ผันน้ำมาจากตาน้ำโอยุออนเซ็นอันมีประวัติศาสตร์ที่น่าภาคภูมิใจยาวนานถึง 800 ปี ที่นี่มีพื้นที่และช่วงเวลาที่ไม่ว่าใครก็สามารถมาผ่อนคลายได้สบายๆ
ร้านขายข้าวกล่องเบ็นโตะเมนูข้าวหน้าไก่ "โทริเมชิ (Torimeshi)" ชื่อดังที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1899 เมนูนี้เป็นของดีเมืองโอดาเทะเลยทีเดียว ข้าวหุงปรุงรสที่ทำโดยกรรมวิธีอันเป็นเอกลักษณ์ไม่เคยเปลี่ยนแปลงจากอดีตโปะหน้าด้วยเนื้อไก่ตุ๋นหวานเค็มแสนอร่อย
เบ็นโตะโทริเมชินี้อร่อยจนได้ติดอันดับหนึ่งของการจัดอันดับข้าวกล่องรถไฟทั่วประเทศเลยทีเดียว
ศูนย์ท่องเที่ยวและการแลกเปลี่ยนที่ถือกำเนิดขึ้นในโอดาเทะ ดินแดนอันเป็นจุดกำเนิดของสุนัขอาคิตะที่โด่งดังไปทั่วโลก เปิดทำการเมื่อเดือนพฤษภาคมปี ค.ศ. 2019
ได้รับความนิยมอย่างล้นหลามเนื่องจากสามารถเจอกับสุนัขอาคิตะขนฟูนุ่มแสนน่ารักได้ที่นี่ ภายในอาคารเป็นพิพิธภัณฑ์สุนัขอาคิตะ มีหอคอยตุ๊กตาสุนัขอาคิตะ เต็มไปด้วยสินคาสุนัขอาคิตะมากมาย และยังมีสิ่งน่าสนใจอื่นๆ อีก
โซนเทือกเขาชิราคามิ (Shirakami) และโนชิโระยามาโมโตะ (Noshiro Yamamoto) เต็มไปด้วยป่าดิบต้นบีชญี่ปุ่นใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ทำให้บรรยากาศดูลี้ลับ คุณจะอยู่ท่ามกลางอากาศแสนสดชื่น สัมผัสได้ถึงความรักของธรรมชาติ ระหว่างที่ถูกห้อมล้อมด้วยธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ที่ได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกทางธรรมชาติของโลกจากยูเนสโก้
ที่ราบสูงชิราคามิเป็นชื่อเรียกบริเวณที่ราบสูงขนาดใหญ่ครอบคลุมพื้นที่ถึง 812,500 ไร่ คาบเกี่ยวระหว่างจังหวัดอาคิตะและจังหวัดอาโอโมริ ภายในมีป่าต้นบีชญี่ปุ่นที่ยังคงสภาพป่าดิบที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น กว้าง 100 ไร่ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติเมื่อเดือนธันวาคม ปี ค.ศ. 1993
คุณจะสามารถชมต้นบีชญี่ปุ่นตามธรรมชาติได้ตามหุบเขาไดระเคียว (Dairakyo) ป่าศึกษาธรรมชาติดาเกะได (Dakedai) และหุบเขามาเซะ (Mase) ที่อยู่รอบๆ ได้
สถานที่แนะนำที่ราบสูงชิราคามิซึ่งเป็นมรดกโลก รวมถึงแนะนำและจัดแสดงเกี่ยวกับพืชและสัตว์ในบริเวณที่ราบสูงชิราคามิอีกด้วย ที่นี่เพียบพร้อมด้วยมุมหนังสือและพื้นที่ชม DVD
ในฤดูหนาวอาจมีช่วงเวลาที่ขึ้นภูเขาไม่ได้เนื่องจากมีหิมะปกคลุม ซึ่งช่วงเวลาจะต่างกันไปตามสถานที่
โซนใจกลางอาคิตะ โอกะ (Oga) และโจไก (Chokai) มีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจหลายแห่งกระจุกตัวอยู่บริเวณสถานีรถไฟอาคิตะ เดินจากใจกลางเมืองเพียงเล็กน้อยจะได้พบเสน่ห์มากมายทั้งการออกไปสัมผัสกับธรรมชาติอันกว้างใหญ่หรือเพลิดเพลินกับออนเซ็น บริเวณคาบสมุทรโอกะซึ่งยื่นเข้าไปในทะเลญี่ปุ่นก็เต็มไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวตามธรรมชาติอันกว้างใหญ่ทั้งทะเล ภูเขา และออนเซ็น ส่วนที่ร่องรอยทะเลสาบฮะจิโรงาตะ (Hachirogata) ซึ่งอยู่ส่วนเชิงเขาในบริเวณคาบสมุทร คุณจะได้พบกับอาหารและสุราท้องถิ่นที่มีเอกลักษณ์มากมาย
สถานีสุนัขอาคิตะเปิดให้บริการแล้วที่ศูนย์รวมอาคาร “แอเรียนากาอิจิ (Area Nakaichi)” ที่นี่คือสถานที่ใกล้สถานีอาคิตะที่คุณจะได้พบกับสุนัขพันธุ์อาคิตะ!
ผู้มาเยือนสามารถพบกับสุนัขพันธุ์อาคิตะครั้งละ 2-3 ตัวทุกสัปดาห์ในวันที่กำหนด แม้จะไม่สามารถจับตัวสุนัขได้เพราะอาจทำให้พวกมันรู้สึกเครียด แต่สามารถถ่ายรูปได้ รวมถึงมีของที่ระลึกให้ซื้อหาด้วย นอกจากนี้ใน 1 วันจะมีการเดินเล่นของสุนัข 2 ครั้ง (เวลา11:20 และ 14:00) สามารถมาชมสุนัขแสนน่ารักเหล่านี้เดินเล่นได้ที่ใกล้กับถนนนากาโคจิ (Nakakoji)
ที่ “คุระ//คุระ” ซึ่งสร้างขึ้นด้วยการปรับปรุงโกดังเก็บอุปกรณ์ผลิตสุรา คุณจะได้ลิ้มลองสุรา 4 ชนิด และลองชิมน้ำที่ใช้บ่มสุราได้ ที่ร้านมีทั้งสุราที่ผลิตขึ้นอย่างสุดพิถีพิถัน “วางาซังไก (Wagasankai)” และ “จิโซเดน (Jizoden)” และสินค้าต่างๆ ที่มีโลโก้ของโรงบ่มทาคาชิมิซุอยู่ เช่น ผ้ากันเปื้อน หรือกระเป๋า Tote Bag จำหน่าย ซึ่งเป็นสินค้าจำกัดขายเฉพาะใน “คุระ//คุระ” และเว็บไซต์ของทาคาชิมิซุเท่านั้น
และหากแจ้งความประสงค์เข้าเยี่ยมชมโรงกลั่นล่วงหน้าจะสามารถเข้าชมเรียนรู้กระบวนการผลิตสุราที่ “เซนนินกุระ (Senningura)” ซึ่งอยู่ติดกับ “คุระ//คุระ” ได้
ส่วนที่ชั้น 2 จัดแสดงอุปกรณ์ที่เคยใช้ผลิตสุราในอดีต จึงเป็นสถานที่ที่จะได้สัมผัสกับประวัติศาสตร์การผลิตสุราญี่ปุ่น การบรรยายโดยพนักงานก็เป็นเสน่ห์อีกประการหนึ่งของที่นี่
ขอแนะนำให้ลองไปฟังเรื่องราวของสุราญี่ปุ่นที่หาโอกาสฟังได้ยากกันดู
ประกอบด้วยน้ำตก 3 แห่ง ความสูงโดยรวม 57.4 เมตร ความกว้างของน้ำตกเริ่มตั้งแต่ 3 เมตร ค่อยแผ่ขยายกว้างถึงราว 30 เมตร ที่หุบเขาทามาดะ (Tamada) ทางต้นน้ำนั้นมีเส้นทางเดินป่า (Trekking) ที่เพียบพร้อมด้วยจุดน่าสนใจต่างๆ เช่น หลุม “กุมภลักษณ์ (Pothole)" ซึ่งถือว่าหาชมได้ยากทั้งในด้านศาสตร์และศิลป์ รวมถึงเป็นจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีชื่อดัง กลางเดือนตุลาคมที่นี่จะคับคั่งด้วยนักท่องเที่ยว น้ำตกฮตไตยังเป็นหนึ่งใน 100 สุดยอดน้ำตกของญี่ปุ่น และได้รับการกำหนดให้เป็นสถานที่ที่มีทัศนียภาพงดงามโดยทางจังหวัด
โรงบ่มเหล้าที่ถือกำเนิดขึ้นในปี ค.ศ. 1902 เป็นผู้ผลิตสาเกอย่าง "ยูคิโนะโบชะ (Yuki no Bousha)" ซึ่งถ่ายทอดภาพทิวทัศน์ฤดูหนาวของพื้นที่นี้ที่มีหิมะตกหนักและมีบ้านเรือนมุงฟางกระจายตัวไปทั่ว
โกดัง ร้านค้า และบ้านที่อยู่อาศัยที่ยังคงเหลืออยู่ไม่ต่างจากในสมัยก่อนรวมถึง 11 หลังได้รับการจดทะเบียนให้เป็นสมบัติทางวัฒนธรรมที่จับต้องได้ของชาติ และเป็นโรงบ่มเหล้าตัวแทนจังหวัดอากิตะผู้ได้รับรางวัลจากการประกวดสุราใหม่ทั่วประเทศมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง
ในบริเวณเดียวกันยังมีร้านค้าและคาเฟ่ "ฮัคโคโคจิ ทายะ (Hakkokoji Taya) ที่ดัดแปลงอาคารบ้านเรือนเก่ามาใช้อีกด้วย
สมัยก่อนที่ย่านการค้าในเมืองอาคิตะ จะมี “เกอิชาแห่งคาวาบาตะ” คอยสร้างความครึกครื้นให้งานเลี้ยงรับรองต่างๆ
กล่าวกันว่าท่ามกลางวัฒนธรรมเกอิชานี้เองที่คำว่า “คนงามอาคิตะ” ถือกำเนิดขึ้น แม้วัฒนธรรมนั้นจะเสื่อมสลายไปตามกาลเวลา แต่ช่วงหลายปีมานี้ได้มีการทำให้วัฒนธรรมที่สืบทอดกันมาก่อกำเนิดขึ้นมาใหม่ เป็นนางรำ “ไมโกะแห่งอาคิตะ” เปิดโอกาสให้คุณ “ได้พบกับคนงามอาคิตะ”
เหล่านางรำจะฝึกฝนศิลปะต่างๆ ทั้งการร้องเพลงและร่ายรำเพื่อทำให้แขกที่มาเยือนอาคิตะรู้สึกสนุกสนาน
โซนโยโคเทะ (Yokote) ยูซาวะ (Yuzawa) และคุริโคมะ (Kurikoma) อยู่ทางตอนใต้ของจังหวัดอาคิตะ เป็นที่รู้จักคุ้นเคยด้วย “คามาคุระ (กระท่อมหิมะ)” ในฤดูหนาว ระยะหลังมานี้ยังเป็นที่รู้จักในฐานะเมืองที่มีอาหารท้องถิ่นแสนอร่อยอย่าง “ยากิโซบะโยโคเทะ” มีแนวบ้านเรือนของพ่อค้าที่งดงามล้ำลึกหลงเหลืออยู่ซึ่งนับว่าหาได้ยากแม้ในระดับประเทศแล้ว และยังเป็นที่รู้จักในฐานะที่เป็น “เมืองที่มีโกดังอยู่ในบ้าน”
หุบเขาสวยงามซึ่งเปลี่ยนโฉมหน้าไปตามฤดูกาล ออนเซ็นที่อยู่ระหว่างภูเขาก็เป็นจุดชมวิวที่มีรสนิยม
เป็นน้ำพุร้อนที่ผุดขึ้นมาในหุบเขา มีประวัติศาสตร์บันทึกมาตั้งแต่สมัยเอโดะในฐานะบ่อน้ำร้อนรักษาโรค น้ำร้อนจะผุดขึ้นมาจากตาน้ำทั้ง 4 โดยมีน้ำแร่ที่มีคุณสมบัติต่างกัน 2 ประเภท และมีอุณหภูมิถึง 95 องศาเซลเซียส
นอกจากออนเซ็นมีที่พักแล้ว ยังเรียวกังที่ให้บริการน้ำพุร้อนสำหรับดื่มหรือออนเซ็นแช่เท้า (อาชิยุ) กระจายตัวในบริเวณนี้ด้วย
https://www.akitafan.com/en/archive/tourism/27603
“น้ำตกร้อน” ที่หาได้ยากนั้นเกิดจากน้ำแร่ของออนเซ็นไหลลงมาเป็นน้ำตก น้ำแร่ผุดขึ้นมาจากต้นน้ำซึ่งอยู่เหนือน้ำตกขึ้นไปราว 1 กิโลเมตรไหลมารวมกับแหล่งน้ำอื่น ก่อนจะไหลตกลงมาอย่างทรงพลังจากความสูงประมาณ 20 เมตร
แอ่งน้ำและลำธารที่เกิดจากน้ำตกได้กลายเป็นบ่อแช่ออนเซ็นกลางแจ้งตามธรรมชาติไปโดยปริยาย
บ่อน้ำร้อนที่ซ่อนตัวอยู่กลางภูเขาลึกเข้าไปจากคิจิยามะ (Kijiyama) ซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะแหล่งผลิตตุ๊กตาโคเคชิ สามารถเดินไปคาวาราเกะจิโกคุได้ใน 30 นาที
คุณสมบัติของน้ำพุร้อนที่นี่มีทั้งน้ำแร่ไฮโดรเจนซัลไฟด์ (กำมะถัน) เพียงอย่างเดียวและน้ำแร่ไฮโดนเจนซัลไฟด์ที่มีค่าเป็นกรด เชื่อกันว่ามีสรรพคุณช่วยรักษาโรคต่างๆ เช่น ความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดแข็งตัว โรคต่างๆ ที่เชื่อว่าออนเซ็นช่วยรักษาได้และอื่นๆ
คาวาราเกะจิโกะคุที่แปลว่า "นรกแห่งคาวาราเกะ" แม้ในขณะนี้ก็ยังพ่นแก๊สไข่เน่าออกมา พืชไม่สามารถเติบโตบนพื้นที่แห่งนี้ได้ ทั่วทั้งบริเวณจะเห็นผิวของภูเขาเป็นหินรูปร่างแปลกประหลาดมากมายโผล่ขึ้นมา บางครั้งที่นี่จึงถูกเรียกว่า "ภูเขาวิญญาณคาวาราเกะ” ทิวทัศน์ที่ดูขึงขังทรงพลังนี้ราวกับว่าเป็นนรกจริงๆ
คาวาราเกะจิโกะคุยังถือว่าเป็นหนึ่งใน 3 ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ที่ยิ่งใหญ่ของญี่ปุ่นเช่นเดียวกับภูเขาโอโซเระแห่งนัมบุ และภูเขาทาเทยามะแห่งเอจจู
โกดังที่อยู่ในอาคารบ้านเรือนมีอยู่เป็นจำนวนมากตามบ้านของพ่อค้าที่สืบทอดกันมารุ่นต่อรุ่นในเขตมาซุดะ เมืองโยโคเทะ ในสมัยเอโดะนั้นถูกใช้เป็นโกดังสร้างจากดินสำหรับเก็บของหรือหนังสือ เอกสารต่างๆ แต่หลังจากยุคเมจิที่ชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนเปลี่ยนแปลงไปทำให้โกดังในบ้านกลายเป็นพื้นที่ส่วนตัวหรือห้องรับแขก ภายในร้านค้าที่นอกจากพนักงานแล้วยังมีผู้คนเป็นจำนวนมากมาเยือน โกดังภายในบ้านจึงกลายเป็นสถานที่สำหรับคนในครอบครัวเท่านั้น โกดังเหล่านี้ได้รับการดูแลรักษาและใช้งานมาตลอดในฐานะพื้นที่ทางสถาปัตยกรรมที่สำคัญ รวมถึงได้รับการคัดเลือกให้เป็นเขตอนุรักษ์กลุ่มอาคารทางวัฒนธรรมที่สำคัญของชาติอีกด้วย
ผู้ผลิตโชยุและเต้าเจี้ยวอันยาวนานตั้งแต่ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1855 ดำเนินกิจการต่อเนื่องมามากกว่า 160 ปี โกดังของที่นี่ได้รับการบันทึกเป็นสมบัติทางวัฒนธรรมที่จับต้องได้โดยกระทรวงวัฒนธรรมโดยมีอายุมากกว่า 100 ปี
ถังไม้ขนาดใหญ่ ห้องหมักบ่มที่ก่อจากหิน อุปกรณ์เครื่องมือเก่าแก่ต่างๆ ยังคงถูกใช้งานเพื่อผลิตโชยุและเต้าเจี้ยวด้วยมือ ผ่านการหมักบ่มตามธรรมชาติมาจนถึงทุกวันนี้