ดาไซฟุ (Dazaifu) เที่ยวแบบไปเช้าเย็นกลับไม่พอหรอก!
คนส่วนใหญ่ที่ไปดาไซฟุ มักจะเที่ยวแค่ครึ่งวันแล้วก็กลับ ทว่าที่จริงแล้วในดาไซฟุไม่ได้มีแค่ศาลเจ้าดาไซฟุเท็มมังกู (Dazaifu Tenman-gu) ที่มีประวัติเก่าแก่กว่า 1,000 ปีหรือร้านสตาร์บัคส์ที่ออกแบบโดยสถาปนิกชื่อดัง คุมะ เค็งโกะ (Kuma Kengo) แต่เพียงเท่านั้น จะพอใจแค่มาทานขนมอุเมะกาเอะโมจิ (Umegamochi *1) นั่งรถไฟกลับแค่นั้น มันน่าเสียดายค่ะ!
1 : อุเมะกาเอะโมจิ (Umegamochi) ... ขนมโมจิสอดไส้ถั่วบดนำไปปิ้ง
พักค้างคืนชิลล์ๆ ที่ดาไซฟุ เที่ยวในที่ที่คนท้องถิ่นไม่รู้จัก ไปเที่ยวแบบอาร์ตๆ และสัมผัสกับดาไซฟุที่กองบรรณาธิการ MATCHA ภูมิใจนำเสนอกันค่ะ!
ทานมื้อสายอันหรูหราบนรถไฟนำเที่ยว THE RAIL KITCHEN CHIKUGO
การเดินทางจากเมืองฟุกุโอกะไปยังดาไซฟุมีหลายวิธี จะนั่งรถบัส ดาไซฟุไลเนอร์บัส "ทาบิโตะ" (Dazaifu Liner Bus "Tabito") จากฟุกุโอกะบัสเทอร์มินอล (Fukuoka Bus Terminal) หรือขึ้นรถไฟนำเที่ยวดาไซฟุ "ทาบิโตะ" (Dazaifu Sightseeing Train "Tabito") ที่สถานีนิชิเท็ตสึ ฟุกุโอกะ (เท็นจิน) (Nishitetsu Fukuoka Tenjin) ไปโดยตรงก็ได้
แต่ถ้าอยากสัมผัสความสนุกสนานระหว่างการเดินทางพร้อมอาหารท้องถิ่นอร่อยๆ เราแนะนำให้นั่งรถไฟนำเที่ยว THE RAIL KITCHEN CHIKUGO กันค่ะ
ในครั้งนี้เราเลือกคอร์ส A Taste of the Region -DAZAIFU BRUNCH SET- ออกเดินทางเวลา 9:51 โดยมีปลายทางอยู่ที่ดาไซฟุ สามารถจองที่นั่งทางเว็บไซต์หรือไปซื้อตั๋วโดยสารได้ในเช้าวันเดินทางที่เคาน์เตอร์ตรงประตูทิศเหนือของสถานีนิชิเท็ตสึฟุกุโอกะ (เท็นจิน) ตั้งแต่เวลา 8:00 - 9:15 (จำนวนตั๋วโดยสารสำหรับเดินทางเลยในวันที่ซื้อจะมีจำนวนจำกัด)
ดีไซน์ภายนอกของขบวนรถเป็นลายตารางสีแดงบนพื้นขาว ได้รับแรงบันดาลใจมาจากลายผ้าที่ใช้ในห้องครัว ส่วนภายในตบแต่งด้วยลวดลายที่ประยุกต์จากงานหัตถกรรมดั้งเดิมของภูมิภาคชิคุโกะ (Chikugo) เช่น งานกระเบื้องโจจิมะกาวาระ และงานสานไม้ไผ่เมืองยาเมะ ให้บรรยากาศอบอุ่น
หน้าต่างเปิดรับแสงธรรมชาติให้สาดส่องเข้ามา มีเสียงดนตรีบรรเลงคลอเบาๆ จนทำให้เกือบลืมไปว่าเรากำลังนั่งอยู่บนรถไฟ
* ภูมิภาคชิคุโกะ เป็นชื่อเรียกพื้นที่ทางตอนใต้ของจังหวัดฟุกุโอกะ และเป็นที่มาของชื่อขบวนรถไฟนำเที่ยวขบวนนี้
อาหารมื้อสายเสิร์ฟเป็นกาแฟชื่อดังที่คัดสรรอย่างพิถีพิถันมาจากเมืองคุรุเมะ (Kurume) และฮอทด็อกหอมกลิ่นยูซุโคะโช (เครื่องปรุงจากส้มยูซุและพริก) ตัวขนมปังกรอบนอกนุ่มใน รสชาติของยูซุโคะโชก็ให้ความสดชื่น แถมยังสามารถเอาแก้วทัมเบลอร์สีขาวใบนี้กลับบ้านได้ด้วย! (บริการนำแก้วกลับมีจนถึงสิ้นเดือนพฤษภาคม 2020)
หลังจากนั้นพนักงานตรวจตั๋วจะแจกตั๋วโดยสารให้เป็นที่ระลึก เราสามารถลองตัดตั๋วได้ด้วย กรรไกรตัดตั๋วที่เห็นนี่หนักกว่าที่คิดเยอะเลย เป็นประสบการณ์ที่สนุกดีค่ะ
คอร์ส A Taste of the Region -DAZAIFU BRUNCH SET- ราคาไม่รวมภาษี 3,000 เยนค่ะ (เมนูมีการเปลี่ยนแปลงตามช่วงเวลา สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ทางการ)
เว็บไซต์ทางการ THE RAIL KITCHEN CHIKUGO (ภาษาอังกฤษ)
ชมศิลปะรอบศาลเจ้าดาไซฟุเท็มมังกู
ผลงาน Really shiny stuff that doesn't mean anything ของ Ryan Gander
ศาลเจ้าดาไซฟุเท็มมังกู ที่สถิตของซุกาวาระโนะมิจิซาเนะ เทพเจ้าแห่งวิชาการ เป็นโซฮงกู (ศาลเจ้าหลัก) ของศาลเจ้าเท็มมังกูที่อยู่ทั่วประเทศญี่ปุ่น ตลอดช่วง 1,100 ปีมานี้จึงมีเหล่าบัณฑิตและนักเขียนที่เดินทางมาอธิษฐานขอพรและถวายผลงานแด่ที่นี่เป็นจำนวนมาก
เพื่อที่จะรักษา สืบทอด และเผยแพร่สมบัติทางวัฒนธรรมเหล่านี้เอาไว้ ดาไซฟุเท็มมังกูจึงเริ่มโครงการศิลปะขึ้นตั้งแต่ 10 กว่าปีที่แล้ว โดยจัดแสดงผลงานศิลปะสมัยใหม่ตามจุดต่างๆ ในศาลเจ้าให้เหล่าศิลปินสามารถแสดงความสามารถได้อย่างเต็มที่
ขอรับแผนที่แล้วลองเดนตามหาผลงานต่างๆ ในศาลเจ้ากัน ผลงานทั้ง 2 ชิ้นข้างบนนี้ก็เป็นของ Ryan Gander
ปัจจุบันในเขตศาลเจ้ามีการจัดแสดงผลงานถาวร 7 ชิ้น ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเป็นผลงานที่เหล่าศิลปินต่างสร้างสรรค์ขึ้นโดยได้แรงบันดาลใจจากดาไซฟุเท็มมังกูและลัทธิชินโต
หนึ่งในผลงานที่โดดเด่นมากก็คือ Everthing is learned,VI หินก้อนยักษ์ที่ตั้งอยู่ในป่าต้นบ๊วย ผิวหน้าของหินแหว่งเป็นร่องหลุมตื้นๆ ราวกับใครสักคนนั่งนึกตรึกตรองบางสิ่งบางอย่างอยู่ที่นี่เป็นระยะเวลานานจนหินกร่อน คำตอบที่เค้าค้นพบคืออะไรนะถึงได้ลุกออกไปจากที่นี่
อีกชิ้นหนึ่งก็คือ Like the air that we breath ผลงานศิลปะที่ให้เด็กๆ จากอนุบาลดาไซฟุเท็มมังกูฝังสิ่งที่ตัวเองคิดว่าสำคัญที่สุดลงไปด้านล่างเสาไม้ และศิลปินก็แกะสลักรูปสัญลักษณ์ที่แสดงถึงสิ่งของเหล่านั้นลงไปบนเสา ให้คนที่มาดูจินตนาการถึงสิ่งที่เด็กๆ กำลังคิดอยู่อย่างอิสระ เป็นการย้ำเตือนให้ผู้คนที่มาดูผลงานนี้ได้ระลึกถึงประโยคที่ว่า "สิ่งที่สำคัญที่สุดคือพลังแห่งจินตนาการ"
หลังจากชื่นชมศิลปะกันแล้ว เราขอแนะนำโกะชุอินโจ หรือสมุดประทับตรา เวอร์ชั่นลิมิเต็ดจากแบรนด์ชื่อดังของญี่ปุ่น BEAMS JAPAN ออกแบบโดยนักย้อมสีผ้าที่มีชื่อเสียง หน้าปกเป็นรูปดอกบ๊วยกับนกกระจ้อยญี่ปุ่นอุกุอิซุบนพื้นสีชมพูอ่อนแสดงถึงศาลเจ้าดาไซฟุเท็มมังกู ท่ามกลางความงดงามแบบคลาสสิคก็ยังแฝงไปด้วยความเก๋ทันสมัย (จำหน่ายจำนวนจำกัดในวันที่ 25 ของทุกเดือน คนละ 1 เล่ม ราคารวมภาษีเล่มละ 2,500 เยน)
หลังจากชำระเงินค่าบูชาแล้วก็สามารถรับตราประทับ (โกะชุอิน) จากนักบวชลงในสมุดได้ ด้วยท่าทางจรดพู่กันอย่างมีสมาธิจดจ่อของนักบวช พลอยทำให้ใจเรารู้สึกสงบนิ่งขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
ซื้อของฝากที่ไม่เหมือนใคร!
ไม่เพียงแต่อุเมะกาเอะโมจิแสนอร่อยที่เพิ่งปิ้งเสร็จใหม่ๆ เท่านั้น ในดาไซฟุยังมีร้านขายของจิปาถะที่หาซื้อของฝากที่ระลึกได้ซ่อนอยู่อีกมากมาย
คิวชูวอยซ์ (Kyushu Voice)
ก่อนอื่นเราจะพาไปที่ คิวชูวอยส์ (Kyushu Voice) ในบริเวณโคะโทริอิโชจิ (Kotorii Shouji) เปิดเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2019 ที่นี่รีโนเวทมาจากบ้านเก่าที่เคยเป็นร้านเครื่องใช้ไฟฟ้ามาก่อนโดยสถาปนิกและนักออกแบบในฟุกุโอกะ รวบรวมและจำหน่ายผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงของคิวชูไปยังสถานที่ต่างๆ
การออกแบบสิ่งต่างๆ ในร้านมีการประยุกต์เป็นอย่างดี เช่น แสงไฟภายในร้านจำลองเหมือนซุ้มประตูศาลเจ้า (โทริอิ) เป็นต้น
ภายในร้านมีอาหาร ของจิปาถะ และของใช้ในชีวิตประจำวันจากแต่ละเมืองแต่ละจังหวัดในภูมิภาคคิวชูตั้งเรียงราย ทิโรลช็อกโก้ (TIROL-CHOCO) ช็อกโกแลตยอดฮิตราคาย่อมเยาที่มีแพ็คเกจพลิกแพลงเป็นแบรนด์ที่ถือกำเนิดในฟุกุโอกะ สินค้าใหม่ที่เพิ่งวางจำหน่ายไม่นานนี้อย่าง แกงกะหรี่คินาโกะโมจิคาเร (Kinako Mochi Karei) หอมกลิ่นคินาโกะ (ผงถั่วเหลืองคั่วบด) เป็นสินค้ายอดฮิตที่รสชาติเข้ากับข้าวสวยมาก (ราคารวมภาษี 500 เยน)
สินค้าที่เรียกเสียงฮือฮามากคือ โชยุสีใส ที่หมักโดยร้านเก่าแก่อายุ 150 ปีในคุมาโมโตะ สามารถนำไปปรุงอาหารโดยไม่ทำให้สีอาหารเข้มขึ้น (ราคารวมภาษี 540 เยน)
ตั้งแต่เปิดร้านมาจนถึงปัจจุบันก็มีลูกค้ามาเยือนไม่ขาดสาย และมีลูกค้าประจำอีกไม่น้อยที่มาเพื่อซื้อเครื่องปรุงแบบเดิมเพราะติดใจในรสชาตินั้น
จาโนเมะอุซากิ (Jyanome Usagi)
จาโนเมะอุซากิ (Jyanome Usagi) บริหารโดยคู่สามีภรรยาอัธยาศัยดี ที่มาของชื่อร้านมาจากปีนักษัตรของคู่สามีภรรยาเจ้าของร้านคืองูกับกระต่ายนั่นเองค่ะ
ภายในร้านเต็มไปด้วยสินค้ากระจุกกระจิกสไตล์ญี่ปุ่นที่ดีไซน์เอง ผสมผสานวัฒนธรรมดั้งเดิมญี่ปุ่นเข้ากับความทันสมัย เราจะได้เจอกับของฝากสุดพิเศษที่มีแค่ที่นี่ที่เดียว
นอกจากสินค้าออริจินอลแล้วยังมีสินค้างานฝีมือจากศิลปินในคิวชูอีกเพียบ สินค้าแต่ละอย่างเต็มเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ความเป็นญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็นกางเกงเดนิมแบบสั่งทำที่ย้อมโดยใช้แบบพิมพ์ที่แกะสลักเอง ที่ใส่การ์ดหรือนามบัตรที่หาบัตรได้ง่ายในพริบตา และของประดับเทศกาลเซ็ตสึบุนที่น่าสนใจ หรือกระเป๋าผ้าเย็บมือสวยๆ ที่ใส่โกะชุอินโจได้
พักแรมในบ้านญี่ปุ่นเก่าที่ทำให้เราหลงลืมกาลเวลา HOTEL CULTIA Dazaifu
แม้ว่าจำนวนคนที่มาเยือนดาไซฟุต่อปีจะมีมากกว่า 10 ล้านคน แต่นักท่องเที่ยวที่มาค้างคืนที่นี่มีไม่มาก เพราะส่วนใหญ่จะมาเที่ยวแบบไปเช้าเย็นกลับ
จากความคิดที่อยากให้คนส่วนใหญ่ได้รู้จักกับเสน่ห์ของท้องถิ่นนี้ให้มากขึ้น จึงเกิดเป็น HOTEL CULTIA Dazaifu ขึ้นมา
HOTEL CULTIA Dazaifu ปรับปรุงมาจากโคะโคโชะโอคุ (Kokoshooku) อาคารเก่าที่เคยเป็นที่อยู่อาศัยของครอบครัวจิตรกร โยชิสึกุ (Yoshitsugu) ซึ่งอาศัยอยู่มานานกว่า 3 รุ่นแล้ว อาคารแห่งนี้ยังคงสภาพความงามไว้เช่นเดียวกับสมัยก่อนเพื่อให้นักท่องเที่ยวได้มาเห็นและสัมผัสกับความยอดเยี่ยมของบ้านญี่ปุ่นเก่า
ในห้องพักจะไม่มีนาฬิกาและโทรทัศน์ เพื่อที่จะให้นักเดินทางได้ผ่อนคลายกันอย่างเต็มที่ ห้องที่ปรับปรุงจากโกดังได้รับความนิยมสูงที่สุด
บริเวณชั้น 1 มีพื้นที่รับแขกที่แสนหรูหรา และมีการจัดวางโซฟาคู่กับชั้นไม้เก่า ช่วยให้บรรยากาศห้องแลดูนุ่มนวล
เราจะมองเห็นวิวสวนญี่ปุ่นที่สามารถสัมผัสถึงฤดูกาลได้จากชั้น 2 ภายในห้องมีการตกแต่งภายในที่ผสมผสานระหว่างญี่ปุ่นกับตะวันตก ให้บรรยากาศที่สบายๆ เหมาะจะมาใช้เวลาอ่านหนังสือเงียบๆ ท่ามกลางแสงธรรมชาติ พลางสัมผัสช่วงเวลากลางวันที่แตกต่างจากชีวิตประจำวันได้
ห้องญี่ปุ่นเสื่อทาตามิที่อยู่ด้านหลังสวนญี่ปุ่นก็เป็นห้องแนะนำเช่นเดียวกันค่ะ เพดานสูงทำให้ไม่รู้สึกอึดอัด ให้บรรยากาศสบายๆ มานั่งบนเบาะแล้วย้อนกลับไปดูรูปที่ถ่ายในทริปก็ทำให้เพลินดีนะคะ
Picture courtesy of HOTEL CULTIA Dazaifu
อาหารฝรั่งเศสแบบฟิวชั่นขนาดวัตถุดิบในท้องถิ่นที่เชฟปรุงอย่างเต็มฝีมือ ผู้ที่ไม่ได้เข้าพักที่นี่ก็สามารถมาทานได้ทั้งมื้อเที่ยงและมื้อเย็นค่ะ
อาหารเช้าเป็นอาหารญี่ปุ่นมีสำหรับผู้ที่เข้าพักเท่านั้น ในส่วนของเมนูก็มีข้าวอบทรงเครื่อง ปลาแซลมอนย่างมิริน ไข่ต้ม ผลไม้หั่นชิ้น และซุป อาหารทั้งอร่อยและมีสมดุลทางโภชนาการที่ดี น่าทานและน่าลิ้มรสชาติไปอย่างช้าๆ จนต้องวางมือจากโทรศัพท์มือถือเลยล่ะค่ะ
โรงแรม คัลเทีย ดาไซฟุ (Hotel Cultia Dazaifu)
HOTEL CULTIA Dazaifu ไม่เพียงแต่ให้ผู้เข้าพักได้มาค้างแรมเท่านั้น แต่ยังปรารถนาให้ทุกคนได้สัมผัสกับวัฒนธรรมดั้งเดิมอันเป็นรากฐานของท้องถิ่นนี้ด้วย จึงมีการจัดกิจกรรมพิเศษสำหรับผู้เข้าพัก เช่น ไนท์ทัวร์พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติคิวชู (Kyushu National Museum) และกิจกรรมอื่นๆ ในทุกวันเสาร์
ไกด์ผู้เชี่ยวชาญจะอธิบายเกี่ยวกับสิ่งของที่จัดแสดง พาไปทัศนศึกษาโกดังที่อยู่ด้านหลังพิพิธภัณฑ์ และสามารถทดลองสวมเครื่องแต่งกายประจำชาติของแต่ละประเทศได้ด้วย น่าตื่นเต้นเหมือนอยู่ในภาพยนตร์ "คืนมหัศจรรย์ ... พิพิธภัณฑ์มันส์ทะลุโลก (Night at the Museum)" เลย!
ผู้เข้าร่วมทัวร์จะได้รับตั๋วแลกอุเมะกาเอะโมจิ เพียงแสดงตั๋วนี้ให้ร้านค้าที่ขายอุเมะกาเอะในช่วงเวลาตั้งแต่ 17:00 - 20:00 ทุกวันศุกร์และวันเสาร์ เราจะได้อุเมะกาเอะโมจิร้อนๆ มาทานด้วย
เช้าวันรุ่งขึ้นเราสามารถเข้าร่วมทำวัตรเช้าที่จัดขึ้นทุกวันเวลา 8:30 ที่ดาไซฟุเท็มมังกูได้ฟรีอีกด้วย ท่ามกลางเสียงสวดมนต์ก้องกังวาลของนักบวชลัทธิชินโต ก็มีเหล่าผู้ศรัทธามารวมตัวที่โบสถ์และตั้งจิตอธิษฐานกันอย่างตั้งใจเพื่อเป็นการเริ่มต้นวันใหม่อีกวัน
จุดน่าสนใจในดาไซฟุ สำหรับแฟนอนิเมะและคนที่ชอบพระพุทธรูปกับประวัติศาสตร์
ศาลเจ้าโฮมังกูคามะโดะ (Kamado Shrine) เป็นสถานที่ตามรอยของแฟนอนิเมะเรื่อง "ดาบพิฆาตอสูร (Kimetsu no Yaiba)" วัดคันเซะองจิ (Kanzeonji) ซึ่งมีระฆังยักษ์ที่เก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่นและมีชื่อเรียกอีกอย่างว่า "โบสถ์พุทธศิลป์" และร่องรอยสำนักงานรัฐบาลดาไซฟุ (Dazaifu Government Office mark) ที่มีความสัมพันธ์อย่างลึกซึ้งกับ "เรวะ" ปีศักราชของญี่ปุ่น สถานที่เหล่านี้เป็นจุดที่น่าไปเดินเล่นถ้าได้มาดาไซฟุ
ศาลเจ้าโฮมังกูคามะโดะที่เต็มไปด้วยศิลปะและความอ่อนช้อย
ที่นี่มีประวัติความเป็นมายาวนานกว่า 1,350 ปี และเป็นศาลเจ้าที่ขึ้นชื่อเรื่องความรักความสัมพันธ์ ภายในเขตศาลเจ้ามีต้นไม้ร่มรื่น ในช่วงฤดูใบไม้ผลิต้นซากุระที่เรียงรายใต้โทริอินั้นแสนงดงามจนเราต้องหยุดชมเลยทีเดียว
บริเวณจุดซื้อเครื่องรางได้รับการออกแบบโดยคุณคาตายามะ มาซามิจิ นักออกแบบตกแต่งภายในที่มีชื่อเสียงระดับโลก และยังเป็นผู้ออกแบบ UNIQLO สาขากินซ่าด้วย การออกแบบที่แลดูน่ารักแต่ก็ยังไม่สูญเสียความสง่างาม เชื่อว่าอีกร้อยปีให้หลังก็ต้องเป็นที่รักของผู้คนไม่เปลี่ยน
ผนังด้านหน้าประดับด้วยหินอ่อนสีชมพู ผนังด้านในและเพดานมีลวดลายดอกซากุระ เพราะซากุระคือสัญลักษณ์ของดาไซฟุเท็มมังกู
ที่นี่มีทั้งเครื่องรางมากมายและแผ่นป้ายขอพรเอะมะ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องรางเพื่อ "ชีวิตคู่ราบรื่น" หรือ "การค้ารุ่งเรือง" ก็ล้วนแต่มีดีไซน์ที่โดดเด่นและละเอียดอ่อน
ชื่อของศาลเจ้าเหมือนกับนามสกุลของตัวละครเอกในอนิเมะยอดฮิตเรื่อง "ดาบพิฆาตอสูร" จึงมีแฟนคลับมาเยือนศาลเจ้าแห่งนี้มากมาย เราจะเห็น "อิตะเอะมะ" ซึ่งหมายถึงเอะมะที่วาดเป็นรูปคาแรคเตอร์ต่างๆ แขวนอยู่ด้วย ความสามารถในการวาดรูปของแฟนคลับไม่ใช่เล่นๆ จึงเป็นอีกสิ่งที่ดึงดูดให้เหล่าวัยรุ่นเดินทางมาเยือนที่ศาลเจ้าแห่งนี้
วัดคันเซะองจิ โบสถ์แห่งพุทธศิลป์
วัดคันเซะองจิที่สร้างขึ้นในปี 746 เป็นหนึ่งในวัดที่สำคัญที่สุดในคิวชู ในยุคที่รุ่งเรืองเคยมีวัดสาขาถึง 49 แห่ง แต่ส่วนใหญ่เสียหายไปเนื่องจากภัยพิบัติอย่างไฟไหม้และไต้ฝุ่น
ในโกดังมีสมบัติทางวัฒนธรรมที่สำคัญเก็บไว้มากมาย เมื่อเห็นรูปปั้นพระโพธิสัตว์พระศรีหัยครีพที่มีความสูงกว่า 5 เมตรอันน่าเกรงขาม จะทำให้เราเผลอยืดตัวตรงอย่างแน่นอน
สำนักงานรัฐบาลดาไซฟุที่เกี่ยวข้องกับยุคเรวะ
อุทยานประวัติศาสตร์ที่กลายเป็นที่เดินเล่นพักผ่อนของผู้คนท้องถิ่นในตอนนี้ ในอดีตเคยเป็นที่ตั้งของหน่วยงานรัฐบาลคิวชู ขนาดของอาคารสามารถอนุมานได้จากฐานที่ยังคงเหลืออยู่
เมื่อเข้าฤดูใบไม้ผลิ ที่นี่จะเป็นเหมือนจุดชมซากุระลับของผู้คนในท้องถิ่น ครึกครื้นไปด้วยเสียงหัวเราะและสีชมพูสดใสของดอกซากุระ
โถงนิทรรศการดาไซฟุ (Dazaifu Exhibition Hall) ที่อยู่ตรงทางเข้า มีการจัดแสดงโบราณวัตถุและโครงสร้างอาคารโบราณที่ค้นพบระหว่างการสำรวจทางโบราณคดี และมีโมเดลจำลอง "งานเลี้ยงดอกบ๊วย" ที่ถูกเขียนไว้ในบันทึกบทกลอนมันโยชู อันเป็นที่มาของคำว่า "เรวะ" ชื่อศักราชใหม่ของญี่ปุ่นด้วย ใกล้ๆ นั้นมีศิลาจารึกกลอนจากมันโยชูอีกมากมาย และกลายเป็นสถานที่ยอดนิยมที่มีผู้คนมาเยือนมากขึ้นหลังจากที่มีการประกาศชื่อศักราชใหม่ค่ะ
ไปเที่ยวสบายๆ ที่ดาไซฟุกัน
เราได้ออกเดินทางจากเมืองฟุกุโอกะไปค้นพบเสน่ห์ของดาไซฟุที่คอยต้อนรับนักเดินทางมาอย่างต่อเนื่องด้วยสิ่งใหม่ๆ แต่ยังคงไว้ซึ่งวัฒนธรรมดั้งเดิม หากมีโอกาสไปเยือนอีกคราวหน้า อยากให้ลองไปใช้เวลาค่อยๆ สัมผัสกับความงดงามและศิลปะอันเป็นเอกลักษณ์ของดาไซฟุกันดูนะคะ
Written by Miho
Main image courtesy of Nishitetsu
Sponsored by Nishitetsu