เพื่อนๆลองจินตนาการถึงเมืองไร้ตึกสูงที่เรียงรายไปด้วยบ้านไม้สไตล์ญี่ปุ่นดั้งเดิมและยังคงหลงเหลือบรรยากาศย้อนยุคกว่า 400 ปีก่อนกันดูสิคะ～
ทั่วทั้งเมืองก้องกังวานไปด้วยเสียงเกี๊ยะและรองเท้าแตะของเหล่าผู้หญิงในชุดกิโมโนและนักรบเดินกันอย่างขวักไขว่ บอกเลยว่าเมืองเก่าแก่ซึ่งชวนให้นึกถึงบรรยากาศเหล่านี้ก็คือ “เมืองซาซายามะ” จ.เฮียวโกะนั่นเอง เมืองซาซายามะแห่งนี้สืบทอดประวัติศาสตร์แห่งทัมบะซาซายามะอันยาวนานต่อมาถึง 400 ปีถึงขนาดได้รับเลือกให้เป็นมรดกของประเทศญี่ปุ่นกันเลยทีเดียว
ทัมบะซาซายามะ
“ซาซายามะ” ที่ตั้งอยู่ทางตอนกลางเยื้องไปทางตะวันออกเล็กน้อยของจ.เฮียวโกะแห่งนี้แต่เดิมแล้วเรียกกันว่า “ทัมบะโนะคุนิ(เมืองทัมบะ)” เนื่องจากเป็นทางผ่านไปยังเกียวโตในสมัยที่ยังเป็นเมืองหลวงเก่า ทำให้ที่นี่กลายเป็นจุดยุทธศาสตร์ทางประวัติศาสตร์ไปโดยปริยาย
โชกุน “โทกุกาวะ อิเอยาสุ” ได้สั่งให้สร้างปราสาทซาซายามะขึ้นมาในศตวรรษที่ 16 โอโชะอิน (※ 1) ของปราสาทซาซายามะมีโครงสร้างคล้ายกับปราสาทนิโจของเกียวโตเป็นอย่างมาก จึงนับเป็นตัวอย่างของสถาปัตยกรรมมาตรฐานสูงนอกเมืองหลวงอย่างเกียวโตซึ่งไม่สามารถพบเห็นได้บ่อยนัก
※ 1 : โอโชะอิน……พระราชวังสไตล์โฉะอินสึคุริ โดย “โฉะอินสึคุริ” หมายถึง สไตล์สถาปัตยกรรมของอาคารบ้านเรือนที่มักใช้ตามพระราชวังหรือคฤหาสน์ของบุคคลชั้นสูง
ทั้งเมืองรวมถึงวัฒนธรรม เพลง และสถาปัตยกรรมของซาซายามะเหล่านี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น “มรดกของประเทศญี่ปุ่น” แห่งแรกในญี่ปุ่นเมื่อปี 2015
เพียงแค่ย่างกรายเข้าไปในเมืองซาซายามะ เราก็จะได้ท่องเวลากลับไปสู่ยุคก่อนราวกับก้าวข้ามทางเดินแห่งประวัติศาสตร์เลยก็ว่าได้
เดินเล่นท่ามกลางบรรยากาศย้อนยุคในชุดกิโมโน
สำหรับใครที่อยากสัมผัสบรรยากาศแห่งเมืองซาซายามะเก่าแก่กันแบบลึกซึ้งก็บอกเลยว่าไม่มีวิธีไหนที่เหมาะสมเท่ากับการใส่ชุดดั้งเดิมอย่างกิโมโนแล้วล่ะค่ะ รับรองว่าการได้เดินเล่นกินลมชมวิวภายในเมืองเก่าในชุดกิโมโนจะทำให้เราซึมซับกับบรรยากาศดั้งเดิมอย่างแท้จริงและช่วยสร้างความทรงจำดีๆให้กับการท่องเที่ยวอย่างแน่นอน!
“Hanabishi (ฮานาบิชิ)” ร้านเช่าชุดกิโมโนแห่งเดียวในซาซายามะ
เมืองรอบปราสาทซาซายามะเป็นที่ตั้งของ “Hanabishi (ฮานาบิชิ)” ร้านเช่าชุดกิโมโนซึ่งรีโนเวทมาจากอาคารบ้านเรือนเก่าแก่แห่งเดียวในเมืองซาซายามะ ณ ปัจจุบัน ถึงแม้ว่าร้านจะไม่ได้มีขนาดใหญ่โตอะไร แต่บอกเลยว่าเต็มไปด้วยอุปกรณ์จำเป็นต่อการใส่ชุดกิโมโนครับครันจ้า... เมื่อเดินเข้ามาด้านในร้าน เราจะได้เลือกลวดลายดอกไม้และโอบิ (สายคาดเอว) ที่ชอบก่อนเป็นอันดับแรกบนชั้น 1F ต่อมาก็เป็นการเลือกอุปกรณ์ประดับตกแต่งผม, กระเป๋า และรองเท้าแตะ หลังจากนั้นก็จะมีพนักงานซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญการแต่งชุดกิโมโนพาขึ้นไปยังชั้น 2F เอาล่ะ ได้เวลาแปลงโฉมกลายเป็นสาวญี่ปุ่นในชุดกิโมโนแสนสวยแล้วล่ะค่ะ!
เมื่อแต่งตัวภายในห้องเสื่อทาทามิจนเสร็จเรียบร้อยแล้วก็สามารถขอให้พนักงานช่วยแต่งหน้าแบบง่ายๆให้ได้เหมือนกัน นอกจากนี้ พนักงานก็จะช่วยสอนวิธีการเข้าห้องน้ำในชุดกิโมโนให้ด้วย ยังไงก็ตั้งใจฟังกันด้วยเนอะ
สัมภาระอื่นๆนอกจากเสื้อผ้าและทรัพย์สินมีค่าของเราสามารถฝากไว้กับทางร้านได้ฟรีไม่เสียค่าใช้จ่ายก็จริง แต่สำหรับกระเป๋าเดินทางนั้นต้องเสีย 500 เยนนะจ๊ะ... การเตรียมตัวทั้งหมดก็เสร็จสิ้นแต่เพียงเท่านี้! จากนี้ไปเราจะมาแนะนำเส้นทางเดินเล่นภายในเมืองซาซายามะแห่งนี้กันค่ะ
1. Sasayama Castle (ปราสาทซาซายามะ) ใจกลางซาซายามะ
“โทกุกาวะ อิเอยาสุ” ผู้ปกครองประเทศญี่ปุ่นในช่วงกลียุคออกคำสั่งให้สร้างโยธาธิการซึ่งเรียกว่า “เท็งกะบูชิน” ขึ้นโดยให้ไดเมียวของแต่ละพื้นที่ส่งเงินและทรัพยากรมาให้เพื่อเป็นการลดหย่อนอำนาจของไดเมียวผู้ปกครองพื้นที่ต่างๆ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้มีการสร้างและบูรณะฟื้นฟูปราสาทขึ้นตามพื้นที่ต่างๆจนเกิดเป็นปราสาทซาซายามะแห่งนี้ขึ้นมา
Sasayama Castle (ปราสาทซาซายามะ) แห่งนี้ได้รับการออกแบบโดยนักสร้างปราสาทชื่อดัง “โทโด ทากาโทระ” โดยเป็นปราสาทสไตล์ใช้งานด้านสงครามได้จริงซึ่งสร้างขึ้นมาเพื่อล้อมปราสาทโอซาก้า จึงทำให้ที่นี่ครบครันไปด้วยอุปกรณ์เพื่อการสงครามพร้อมสรรพ ภายในปราสาทซาซายามะมีฐานกำแพงหินที่เรียกว่า “เท็นฉุได” ก็จริง แต่กลับไม่ได้สร้างเท็นฉุ (ปราการปราสาทไม้หลายชั้น) ขึ้นข้างบนนั้น ถึงอย่างไรก็ตาม ที่นี่ก็ยังคงเป็นปราสาทสุดเจ๋งซึ่งคาดการณ์ยุคหลังจากความวุ่นวายของสงครามได้อย่างเฉียบขาดอยู่ดี โดยสร้างขึ้นบนที่ราบเพื่อให้กลายเป็นจุดศูนย์กลางของการปกครองนั่นเอง
โอโชะอินเก่าแก่
“ โอโชะอิน” คือ สถาปัตยกรรมสำคัญของปราสาทซาซายามะซึ่งไม่ได้มีเพียงพื้นที่กว้างขวางเท่านั้น แต่โครงสร้างภายนอกสุดโดดเด่นและการตกแต่งภายในสีทองระยิบระยับก็ดูคล้ายกับพระราชวังนิโนะมารุของปราสาทนิโจในเกียวโตเป็นอย่างมาก จากตรงนี้เราจึงสามารถรู้ถึงสถานภาพอันสูงส่งของปราสาทซาซายามะได้อย่างชัดเจน ความแตกต่างข้อเดียวเลยก็คือการลงรักซึ่งไม่ใช่สีทองบนหลังคานี่แหละ เราจึงสามารถสัมผัสถึงความงดงามอันเรียบง่ายของโอโชะอินได้เช่นเดียวกัน
น่าเสียดายที่อาคารโอโชะอินดั้งเดิมถูกเผาทำลายไปจากเหตุการณ์ไฟไหม้เมื่อปี 1944 โอโชะอินในปัจจุบันจึงเป็นสถาปัตยกรรมที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ในปี 2000 แทน การก่อสร้างอ้างอิงจากข้อมูลมากมายอย่างพิถีพิถันในทุกรายละเอียดจนสามารถดึงความงดงามดั้งเดิมของโอโชะอินกลับมาให้ชมกันได้ในปัจจุบัน
เมืองซาซายามะไม่อนุญาตให้สร้างสถาปัตยกรรมใดๆสูงกว่าปราสาทซาซามามะ ที่นี่จึงยังคงรักษาทัศนียภาพดั้งเดิมราวกับว่าปราสาทซาซายามะหลอมรวมเข้ากับท้องฟ้าอย่างงดงามเอาไว้ได้จนถึงทุกวันนี้ ทัศนียภาพอันงดงามที่มองลงมาจากปราการปราสาทในปัจจุบันก็งดงามสุดๆ
เมื่อมองลงมาจากฐานของปราการปราสาทซึ่งยังคงหลงเหลือให้เห็นกันอยู่ในปัจจุบันก็จะพบกับทัศนียภาพของเมืองรอบปราสาทที่ดูงดงามราวกับเมื่อ 400 ปีก่อนเปี๊ยบ
ปราสาทซาซายามะไม่ได้เป็นเพียงแค่ 1 ใน 100 ปราสาทขึ้นชื่อของญี่ปุ่นเท่านั้น แต่ยังติด 1 ใน 100 แหล่งชมซากุระขึ้นชื่อของญี่ปุ่นอีกด้วยนะเออ... เพราะว่ามีการปลูกต้นซากุระล้อมรอบร่องรอยปราสาทเอาไว้มากกว่า 1000 ต้นเลยทีเดียว ในเดือนเมษายนซึ่งเป็นช่วงที่ซากุระบานสะพรั่งเต็มต้นจะมีการจัดงานเทศกาลชมซากุระขึ้น ทำให้เราสามารถชมซากุระท่ามกลางบรรยากาศอันคึกคักของปราสาทได้อย่างชิลล์ๆ แถมยังมีบางคนร้องเพลงพลางชมซากุระเลยก็มี
2. แวะพักที่ร้านน้ำชาจากบ้านเรือนเก่าแก่หลังเดินเล่นรอบปราสาท
หลังจากเดินเล่นชมปราสาทซาซายามะอันแสนกว้างใหญ่กันมาสักพัก หลายคนก็น่าจะเริ่มเมื่อยขาขึ้นมากันบ้างแล้วใช่มั้ยเอ่ย? สำหรับใครที่เริ่มเหนื่อยแล้วก็ขอแนะนำให้เติมเต็มกระเพาะเรียกพลังกายกันสักหน่อย ภายในเมืองรอบปราสาทซาซายามะแห่งนี้เป็นมีร้านค้าซึ่งรีโนเวทมาจากบ้านเรือนเก่าแก่ตั้งอยู่เต็มไปหมด โดยเรียงรายไปด้วยร้านจำหน่ายของฝาก, ร้านจำหน่ายเครื่องปั้นดินเผา เช่น ผลิตภัณฑ์ขึ้นชื่ออย่างทัมบะยากิ และคาเฟ่มากมาย
ร้านค้าที่เราแวะมาเยือนกันในครั้งนี้ก็คือ Ganchabou Tambakotori (กันซาโบ เทมบะโคโตริ) ร้านน้ำชาจากบ้านเรือนเก่าแก่ซึ่งตั้งอยู่ทางหัวมุมฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ของปราสาทซาซายามะนั่นเอง (เดินเท้า 10 นาที) โดยเป็นร้านค้ายอดนิยมในเขตซาซายามะเลยก็ว่าได้
Ganchabou Tambakotori (กันซาโบ เทมบะโคโตริ) แห่งนี้สร้างขึ้นมาจากการรีโนเวทคฤหาสน์ของนักรบในสมัยก่อน การประดับตกแต่งอันงดงามโดยการประยุกต์ใช้สถาปัตยกรรมดั้งเดิมฝีมือเจ้าของร้านวัยรุ่นช่วยเพิ่มบรรยากาศความอบอุ่นภายในร้านได้เป็นอย่างดี
คุณพ่อของเจ้าของร้านเป็นช่างทำเครื่องปั้นดินเผาประจำเมืองทัมบะ ทำให้ภายในร้านมีการจัดแสดงผลงานของคุณพ่อเอาไว้มากมายเลยทีเดียว นอกจากนี้ก็ยังมีการใช้ผลงานเหล่านี้เป็นอุปกรณ์สำหรับชงชาภายในร้านอีกด้วย
โรงน้ำชาแห่งนี้มีบรรยากาศสไตล์ญี่ปุ่นดั้งเดิมก็จริง แต่บอกเลยว่าเมนูที่เสิร์ฟนั้นเป็นพวกน้ำชากันฉะสุดหายากจากประเทศจีน, ของหวานโฮมเมด และติ่มซำซะอย่างนั้น?! นอกจากนี้ก็ยังจำหน่ายบิสกิตด้วย ของหวานซึ่งทำมาจากวัตถุดิบคัดสรรพิเศษได้รับความนิยมมากเป็นพิเศษถึงขนาดว่ามีลูกค้าหลายคนลงทุนเดินทางมาเพื่อลิ้มลองรสชาติของมันเลยทีเดียว
3. กลุ่มคฤหาสน์ตระกูลนักรบและหมู่บ้านประวัติศาสตร์อาโอยามะ
หลังจากเติมเต็มคติพจน์ที่ว่ากองทัพต้องเดินด้วยท้องเรียบร้อยแล้วก็มุ่งหน้าไปยังจุดมุ่งหมายถัดไปกันต่อเลย～ บริเวณใกล้กับ “กันซาโบ เทมบะโคโตริ” เป็นที่ตั้งของกลุ่มคฤหาสน์ตระกูลนักรบแห่งซาซายามะ ที่นี่เป็นโซนที่อยู่อาศัยของเหล่านักรบในสมัยก่อน โดยหนึ่งในคฤหาสน์นักรบซึ่งยังคงหลงเหลือให้เห็นกันอยู่ในปัจจุบันก็คือ “Anma Family Museum (พิพิธภัณฑ์ตระกูลอัมมะ)” นั่นเอง เราสามารถชมบรรยากาศการใช้ชีวิตประจำวันของเหล่านักรบในสมัยก่อนได้ที่นี่อย่างใกล้ชิด
ตรงนี้นับเป็นจุดถ่ายรูปยอดนิยมเลยก็ว่าได้ ถ้าเกิดใครได้มาลองถ่ายรูปในชุดกิโมโน รับรองว่าจะได้รูปภาพสไตล์ย้อนยุคเข้ากับบรรยากาศดั้งเดิมอันงดงามของสถาปัตยกรรมกันอย่างแน่นอน
ส่วน “หมู่บ้านประวัติศาสตร์อาโอยามะ” คือ บ้านพักตากอากาศของตระกูลอาโอยามะซึ่งเคยปกครองซาซายามะในสมัยก่อน ในปัจจุบันกลายเป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงข้อมูลทางประวัติศาสตร์ไปเรียบร้อยแล้ว ภายในพิพิธภัณฑ์จัดแสดงหนังสือเกี่ยวกับตระกูลอาโอยามะ นอกจากนี้ก็ยังมี “ทัมบะซาซายามะ เดคันโฉะคัง” สถานที่แนะนำ “ทัมบะซาซายามะ เมืองมรดกของประเทศญี่ปุ่น” อีกด้วย
“เดคันโฉะบูชิแห่งทัมบะซาซายามะ ความทรงจำของบ้านเกิดที่ร้องถ่ายทอดสืบต่อกันมาตั้งแต่ในอดีต” ที่เมืองซาซายามะส่งเข้าประกวดนั้นได้รับเลือกให้เป็นมรดกของประเทศญี่ปุ่นในปี 2015
“เดคันโฉะบูชิ” มีต้นกำเนิดมาจากเพลงพื้นบ้านประจำเขตซาซายามะในสมัยเอโดะ เนื่องจากเหล่าเกษตรกรซึ่งมุ่งมั่นทำงานอย่างตั้งอกตั้งใจมาตลอดทั้งปีจะได้พักผ่อนกันเฉพาะในวันนี้เท่านั้น ในวันนี้จึงคึกคักไปด้วยบรรยากาศอันสนุกสนานของเหล่าเกษตรกรที่ร้องรำทำเพลงกันตลอดทั้งวัน เมื่อย่างเข้าสู่ในสมัยเมจิก็เริ่มแพร่หลายจากนักศึกษาชาวซาซายามะสู่นักเรียนของมหาวิทยาลัยโตเกียวโดยบังเอิญจนแพร่หลายไปทั่วญี่ปุ่นในที่สุด
เนื้อเพลงมีต้นกำเนิดมาจากปราสาทซาซายามะ โดยในเนื้อเพลงประกอบด้วยทั้งผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น, วัฒนธรรม และวิทยาการของซาซายามะ เราจึงจะได้เข้าใจถึงเรื่องราวต่างๆมากมายที่เกิดขึ้นในสมัยก่อนผ่านบทเพลง ในขณะเดียวกันก็ช่วยถ่ายทอดความทรงจำทางประวัติศาสตร์ไปในตัวด้วย
ในปัจจุบันจะมีการจัด Tamba-Sasayama Dekansho Festival (งานเทศกาลทัมบะซาซายามะเดคันโฉะ) ขึ้นที่ร่องรอยปราสาทซาซายามะในวันที่ 15 – 16 สิงหาคมของทุกปีเพื่อเป็นการสืบสานวัฒนธรรมสู่รุ่นต่อๆไป
4. สัมผัสความรู้สึกมึนเมาภายในเมืองรอบปราสาทที่ Homei Sake Brewery Horoyoi Jokagura (โรงกลั่นเหล้าโฮเมอิ โฮโรโยอิ โจคากุระ)
หลังจากฟังเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของซาซายามะกันจนเต็มสมองแล้วก็ถึงเวลามุ่งหน้าไปเพลิดเพลินกับรสชาติแห่งประวัติศาสตร์ของซาซายามะกันแล้วล่ะค่ะ! Homei Sake Brewery Horoyoi Jokagura (โรงกลั่นเหล้าโฮเมอิ โฮโรโยอิ โจคากุระ) แห่งนี้เป็นโรงกลั่นเหล้าอายุกว่า 220 ปีที่สร้างขึ้นในสมัยเอโดะ แม้ในปัจจุบันก็ยังคงรักษาบรรยากาศดั้งเดิมให้เห็นกันอยู่ในปัจจุบัน ทำให้เราได้ชมขั้นตอนและความรู้เรื่องการกลั่นเหล้าในสมัยก่อนกันอย่างจุใจ
นอกจากนี้ เรายังสามารถลองชิมเหล้าท้องถิ่นของซาซายามะได้ด้วยนะเออ... เอาล่ะ มาลองชิมเหล้าท้องถิ่นกันหลายๆแก้วเพื่อค้นหาเหล้าที่ถูกใจกันดีกว่า～
5. เดินทางข้ามเวลาไปยังเขตร้านค้าคาวารามาจิสึมะอิริโชกะกุน
เมื่อเพลิดเพลินกับเหล้าท้องถิ่นของซาซายามะกันแล้วก็เดินทางย้อนเวลากลับไปเดินเล่นกินลมชมวิวที่ “เขตร้านค้าคาวารามาจิสึมะอิริโชกะกุน” กันต่อเลยจ้า...
ที่นี่เป็นถนนยาวประมาณ 500 เมตรซึ่งตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของปราสาทซาซายามะ โดยเรียงรายไปด้วยอาคารบ้านเรือนเก่าแก่ตั้งแต่สมัยเอโดะ
“สึมะ” ของคำว่า “สึมะอิริ” ใช้เรียกด้านตั้งฉากของอาคาร ดังนั้น “สึมะอิริ” จึงหมายถึงสไตล์สถาปัตยกรรมที่สร้างประตูทางเข้า-ออกเอาไว้ตรงด้านตั้งฉากนั่นเอง
เมืองซาซายามะทำการอนุรักษ์สถาปัตยกรรมดั้งเดิมเอาไว้เป็นอย่างดี จึงบอกเลยว่าเพียงแค่ย่างกรายเข้ามาภายในเมืองก็ให้ความรู้สึกราวกับเดินทางย้อนเวลากลับไปสู่สมัยก่อนแล้ว
ทั่วทั้งเมืองเต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมดั้งเดิมโครงสร้างไม้กำแพงขาวอันงดงามมากมาย ร้านค้าขนาดเล็กสุดพิถีพิถันทั้งหลายกำลังรอคอยให้เพื่อนๆมาค้นหากันราวกับว่ากำลังเล่นซ่อนหาอยู่เลยล่ะค่ะ
ไฮไลท์ดึงดูดสายตามากที่สุดบนถนนแห่งนี้เลยก็คือ “ฮาคุโตยะ” ร้านจำหน่ายสินค้าจิปาถะสุดน่ารักนั่นเอง ตัวอาคารเป็นบ้านเรือนเก่าแก่อายุกว่า 200 ปี ส่วนเจ้าของร้านเป็นผู้หญิงร่าเริงแจ่มใสชาวโกเบที่หลงใหลในบ้านเรือนเก่าแก่หลังนี้จนยอมลงทุนเดินทางมาจากโกเบทุกวันโดยใช้เวลากว่า 3 ชั่วโมงเลยทีเดียว
สินค้าจิปาถะที่ตั้งโชว์เอาไว้ภายในร้านล้วนเป็นผลิตภัณฑ์ที่รวบรวมมาจากทั่วโลก โดยจำหน่ายทั้งผลิตภัณฑ์ศิลปหัตถกรรมจากยุโรป, อเมริกา, แอฟริกา และญี่ปุ่น แน่นอนว่าขาดเครื่องปั้นดินเผาทัมบะยากิแห่งซาซายามะไปไม่ได้
ถ้วยกาแฟลายนกนางแอ่นตามภาพเป็นสินค้าแนะนำจากเจ้าของร้าน แก้วดีไซน์เรียบง่ายนุ่มนวลรูปดอกสึบากิและนกนางแอ่นสุดพิถีพิถันดูโดดเด่นสะดุดตาสุดๆ
เนื่องจากภายในร้านเรียงรายไปด้วยสินค้าจิปาถะเข้ากับบ้านเรือนเก่าแก่เอามากๆ จึงถูกใจผู้หลงใหลในสินค้าจิปาถะอย่างแน่นอนจ้า... บอกเลยว่าที่นี่เป็นร้านค้าห้ามพลาดเมื่อได้มาเที่ยวซาซายามะเลยก็ว่าได้!
หลังจากช้อปปิ้งที่ร้านค้าจิปาถะกันจนกระเป๋าสตางค์ฟีบแล้วก็อย่าลืมถ่ายรูปอาคารบ้านเรือนเก่าแก่กลับไปเป็นที่ระลึกกันด้วยเนอะ! เนื่องจากที่นี่รักษาสภาพของสถาปัตยกรรมภายในเขตเอาไว้อย่างยอดเยี่ยม จึงรับรองว่าต้องถูกใจนักท่องเที่ยวผู้คลั่งไคล้ในประวัติศาสตร์ชัวร์ป้าบบ (ผู้เขียนรับประกัน!)
คอมโบสุดงามแสนเข้ากั๊นน...เข้ากันระหว่างดวงอาทิตย์ที่เริ่มคล้อยลับไปทางทิศตะวันตก, ชุดกิโมโน, พื้นหิน และอาคารบ้านเรือนเก่าแก่แบบนี้เห็นแล้วอยากตั้งเป็นรูปโปรไฟล์จริงๆค่ะ! ไม่ว่าใครเห็นแล้วก็จะต้องประทับใจกันอย่างแน่นอน!
6. ชม เซนบนโทริอิ (เสาโทริอิ 1 พันต้น)แห่งซาซายามะที่ Ohjiyama Inari-Jinja (ศาลเจ้าโอจิยามะอินาริจินจะ)
บริเวณใกล้กับ “เขตร้านค้าคาวารามาจิสึมะอิริโชกะกุน” เป็นที่ตั้งของศาลเจ้าอินาริด้วยนะเออ... “Ohjiyama Inari-Jinja (ศาลเจ้าโอจิยามะอินาริจินจะ)” ที่มีเสาโทริอิสีแดงสดตั้งเรียงรายกันตั้งแต่ประตูทางเข้าไปจนถึงศาลเจ้าหลักแห่งนี้เรียกกันอีกชื่อหนึ่งว่า “มาเคคิไรอินาริ” โดยมีตำนานเล่าว่าในสมัยเอโดะ นักซูโม่ชาวเมืองซาซายามะ 8 คนซึ่งตั้งชื่อตามศาลเจ้าอินาริแห่งนี้ได้รับชัยชนะในการแข่งขันติดต่อกันจนทำให้ที่นี่กลายเป็นแหล่งพาวเวอร์สปอตยอดนิยมไปในที่สุด
เสาโทริอิสีแดงและชุดกิโมโนดูงดงามเข้ากันอย่างมาก ยังไงก็อย่าลืมถ่ายรูปกลับไปเป็นที่ระลึกกันด้วยนะจ๊ะ!
พลาดไปเสียดายแย่! “โบตั๋นนาเบะ” เมนูขึ้นชื่อประจำทัมบะซาซายามะ
ส่วนของขึ้นชื่อประจำซาซายามะแห่งนี้เลยก็คือ “ถั่วดำทัมบะ” หรือที่เรียกกันว่า “ทัมบะกุโระ” และ “โบตั๋นนาเบะ” นั่นเอง
“โบตั๋นนาเบะ” คือ หม้อไฟเนื้อหมูป่า เนื่องจากซาซายามะรายล้อมไปด้วยภูเขาทั้ง 4 ทิศ จึงมีหมูป่าอาศัยอยู่เป็นจำนวนมากจนเกิดการล่าหมูป่าขึ้นมา ส่วนที่เรียกกันว่า “โบตั๋น” ก็เพราะว่ามีการตกแต่งจัดเรียงเนื้อหมูป่าให้ดูเหมือนกับดอกโบตั๋นหรือเนื้อหมูป่าต้มสุกที่ใส่ลงในหม้อนั้นดูคล้ายกับกลีบดอกโบตั๋นนั่นเอง นอกจากนี้ก็ยังว่ากันว่ามีความเกี่ยวข้องกับไพ่ฮานะฟุดะ (เกมการ์ดญี่ปุ่นซึ่งเล่นโดยการจับคู่ลายดอกไม้) อีกด้วย
หม้อไฟโบตั๋นนาเบะของ “Iwaya (อิวายะ)” แห่งนี้เป็นหนึ่งในเมนูขึ้นชื่อประจำซาซายามะ โดยเป็นร้านอาหารโอ่อ่างดงามซึ่งมีเอกลักษณ์เป็นหลังคามุงฟางและเตาอิโรริ เราจึงสามารถดื่มด่ำกับหม้อไฟโบตั๋นนาเบะต้มปุดปุดด้วยไฟจากถ่านได้อย่างเต็มอิ่ม
เนื้อหมูป่าสดใหม่ดูเหมือนว่ามีไขมันเยอะก็จริง แต่กลับไม่มีรสชาติมันเลี่ยนเลย เนื้อหมูป่าต้มซุปมิโซะโดดเด่นทั้งเนื้อนุ่มและมีรสสัมผัสเหนียวเคี้ยวเพลินอร่อยแตกต่างจากเนื้อชนิดอื่นๆ
พืชผักตามฤดูกาลและข้าว (ทัมบะซาซายามะโคชิฮิคาริ) ที่เสิร์ฟกันภายในร้านส่วนใหญ่เป็นผลิตภัณฑ์ที่เจ้าของร้านปลูกเอาไว้เองเกือบทั้งหมด ทำให้ลูกค้าได้ลิ้มรสความอร่อยจากธรรมชาติอันยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง
หลังจากเพลิดเพลินกับเนื้อหมูป่ากันไปจนเต็มอิ่มแล้วก็ยังตอกไข่ใส่น้ำซุปแสนอร่อยและนำไปโปะหน้าข้าวสวย (ทัมบะซาซายามะโคชิฮิคาริ) เพื่อทานเป็น “ทามะโนเสะโกะฮัง” ได้อีกต่างหาก ทามะโนเสะโกะฮังแสนอร่อยนับเป็นเมนูปิดท้ายหม้อไฟโบตั๋นนาเบะได้อย่างยอดเยี่ยม
บทส่งท้าย
เมื่อกลับไปเปลี่ยนจากชุดกิโมโนเป็นเสื้อผ้าปกติแล้ว ทริปเดินทางย้อนเวลาในครั้งนี้ก็ถือเป็นอันเสร็จสิ้นสมบูรณ์! แต่สำหรับใครที่เดินเล่นชมเมืองกันต่อแล้วพบกับบรรยากาศของอาคารบ้านเรือนเก่าแก่ที่ตั้งเรียงรายกันมากมาย บางคนอาจรู้สึกว่าทริปนี้ยังไม่จบก็เป็นได้
“ซาซายามะ” เมืองสุดแปลกตาที่สามารถเพลิดเพลินกับทริปเดินทางย้อนเวลาได้อย่างจุใจ เพียงแค่ย่างกรายเข้ามาภายในเมืองก็ต้องรู้สึกอัศจรรย์ใจจนอยากสัมผัสเสน่ห์แห่งซาซายามะมากขึ้นอีกอย่างแน่นอน สำหรับใครที่อยากสัมผัสวัฒนธรรมญี่ปุ่นดั้งเดิมก็ขอแนะนำให้ลองแวะมาเที่ยวซาซายามะแห่งนี้กันดูเลยค่ะ!
