เมื่อเอ่ยถึงทัมบะซาซายามะแล้วก็ต้องนึกถึงของขึ้นชื่ออย่างถั่วดำทัมบะสีดำเป็นประกายและเนื้อหมูป่าสีแดงสดราวกับกลีบดอกโบตั๋นกันอย่างแน่นอน แต่บอกเลยว่าไม่ได้มีไฮไลท์เพียงเท่านี้นะจ๊ะ... เพราะว่าที่นี่ยังคงหลงเหลือผลงานศิลปหัตถกรรมซึ่งมีประวัติความเป็นมายาวนานกว่า 800 ปีและเมืองอายุมากกว่า 400 ปีให้เห็นกันอยู่จนถึงทุกวันนี้ด้วย
“ทัมบะยากิ” ซึ่งสืบทอดต่อกันมากว่า 800 ปี
“ทัมบะยากิ” คือ เครื่องปั้นดินเผาซึ่งชาวบ้านทำสืบทอดต่อกันมาตั้งแต่ในอดีตภายในเมืองซาซายามะ โดยมีเอกลักษณ์อยู่ที่สีเข้มเรียบง่าย ต้นกำเนิดของมันต้องย้อนกลับไปในสมัยเฮอันของญี่ปุ่นหรือราว 800 ปีก่อนเลยทีเดียว เนื่องจากแคว้นซาซายามะซึ่งเป็นต้นกำเนิดของเมืองซาซายามะในปัจจุบันนั้นมีมาตั้งแต่ 400 ปีก่อนแล้ว เราจึงสามารถรู้ได้เลยว่าศิลปหัตถกรรมดั้งเดิมต้องมีประวัติศาสตร์ยาวนานเป็น 2 เท่าอย่างแน่นอน
“ทัมบะยากิ” นับเป็นความภาคภูมิใจของชาวบ้าน “เขตซาซายามะ” แหล่งผลิตเครื่องปั้นดินเผาขึ้นชื่อของญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้ โดยเป็น 1 ใน “6 เตาเผาที่เก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่น”
เยือนถิ่นกำเนิดทัมบะยากิ & เดินเล่นเที่ยวชมตรอกเตาเผา
“คามาโมโตะ” หมายถึง สถานที่เผาและผลิตเครื่องปั้นดินเผาด้วยเตาเผา “เขตทาจิคุอิ” ในคอนดะโจซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของซาซายามะเป็นถิ่นกำเนิดของเครื่องปั้นดินเผาทัมบะยากิ แม้ในปัจจุบันก็ยังเรียงรายไปด้วยโรงงานผลิตเครื่องปั้นดินเผามากกว่า 60 หลังบริเวณตีนเขา เดี๋ยวเรามาแนะนำเอกลักษณ์ของโรงงานแต่ละแห่งกันหน่อยดีกว่า~
เอาล่ะ มาเสาะหาเครื่องปั้นดินเผาทัมบะยากิที่ถูกใจด้วยกันเลย!
“Tanba Traditional Arts and Crafts Garden Tachikui Sue-no-Sato Pottery (สวนศิลปหัตถกรรมดั้งเดิมแห่งทัมบะ ทาจิคุอิ ซุเอะ โนะ ซาโตะ)”
สถานที่แห่งแรกที่เรามาเยือนกันในครั้งนี้ก็คือ “Tanba Traditional Arts and Crafts Garden Tachikui Sue-no-Sato Pottery (สวนศิลปหัตถกรรมดั้งเดิมแห่งทัมบะ ทาจิคุอิ ซุเอะ โนะ ซาโตะ)” นั่นเอง ทั่วทุกแห่งประดับตกแต่งไปด้วยเครื่องปั้นดินเผามากมาย นอกจากนี้ก็ยังมีการจัดงานนิทรรศการทัมบะยากิตลอดทั้งปีอีกด้วย
เนื่องจาก “คามาโมโตะโยโกโจ” ของซุเอะโนะซาโตะมีจำหน่ายผลงานที่ผลิตด้วยเตาเผามากมาย เราจึงสามารถทั้งช้อปปิ้งและเสาะหาชื่อของเตาเผาผู้สร้างสรรค์ผลงานเครื่องปั้นดินเผาที่ถูกใจได้ที่นี่ก่อนเลย ถ้ามีโอกาสได้เดินทางไปเยือนตามเตาเผาแห่งต่างๆด้วยตัวเอง รับรองว่าจะได้พบกับเครื่องปั้นดินเผาที่ไม่มีตั้งโชว์ในโยโกโจด้วยอย่างแน่นอนจ้า!
อีกหนึ่งเหตุผลที่เราควรเริ่มต้นทริปเที่ยวชมเตาเผาจากที่นี่ก่อนเลยก็คือการเปิดให้เช่าจักรยานนี่แหละ เพียงเท่านี้เราก็จะสามารถขี่จักรยานเที่ยวไปตามเตาเผาที่สนใจด้วยตัวเองในระยะ 4 กิโลเมตรภายในเขตทาจิคุอิได้อย่างชิลล์ๆแล้วล่ะค่ะ ถ้าเกิดได้จักรยานสักคัน การเดินทางเที่ยวชมตรอกเตาเผาก็เป็นเรื่องง่ายดายในทันตา!
ค่าเช่าจักรยาน : 500 เยน / วัน, ค่ามัดจำ : 1,000 เยน / คัน (คืนเงินหลังนำจักรยานมาคืน)
ขี่จักรยานเช่าออกเดินทางกันเลย!
สถานที่ห้ามพลาดเมื่อได้จักรยานคู่ใจมาแล้วก็จะเป็นที่ไหนไปไม่ได้นอกจาก โนโบริกามะที่เก่าแก่ที่สุด สำหรับเผาทัมบะยากินั่นเอง
เตาเผาอุโมงค์เชื่อมแนวลาดสำหรับทัมบะยากิที่เก่าแก่ที่สุดอายุกว่า 120 ปี
เตาเผาเชื่อมเป็นแนวยาวจากข้างล่างขึ้นข้างบนเลียบเนินลาดของภูเขาแบบนี้เรียกว่า “โนโบริกามะ” รูปร่างหน้าตาดูเหมือนกับเป็นเตาเผาทางยาว 1 หลังก็จริง แต่ภายในแบ่งออกเป็นส่วนๆซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์ของเตาเผาแบบนี้เลยก็ว่าได้ เนื่องจากดูคล้ายกับข้อไผ่ คนญี่ปุ่นจึงเรียกกันว่า “วาริดาเกะชิกิ”
โนโบริกามะของทาจิคุอิมีขนาดยาว 47 เมตร ว่ากันว่าเนื่องจากผิวหน้ามีลวดลายคล้ายกับหนังงู จึงเรียกกันว่า “จากามะ”(เตาเผางู) โดยเป็นเตาเผาแห่งเดียวของญี่ปุ่นซึ่งมีประวัติความเป็นมายาวนานกว่า 120 ปีถึงขนาดได้รับเลือกให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมประจำจังหวัดเฮียวโกะเลยทีเดียว แม้ในปัจจุบันก็ยังใช้ในการเผาเครื่องปั้นดินเผาอยู่เหมือนเดิม
นอกจากนี้ บริเวณใกล้กับโนโบริกามะแห่งนี้ก็ยังเป็นที่ตั้งของ “อาเบะมากิ (ต้นไม้ใหญ่ผลัดใบตระกูลต้นโอ๊ค วงศ์ก่อ)” อีกด้วย โดยเป็นต้นอาเบะมากิที่เก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่นถึงขนาดได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นอนุสรณ์สถานประจำท้องถิ่น เตาเผาโนโบริกามะและต้นอาเบะมากิเก่าแก่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานเคียงคู่ไปกับเครื่องปั้นดินเผาทัมบะยากิของทาจิคุอิและก็ยังคงสืบทอดประวัติศาสตร์ต่อเนื่องไปอีกในอนาคต
เดินเล่นชมเตาเผาค้นหาสมบัติ
ภายในเขตทาจิคุอิแห่งนี้เป็นที่ตั้งของเตาเผามากกว่า 60 แห่ง โดยแต่ละแห่งก็มีเอกลักษณ์แตกต่างกันออกไป สถาปัตยกรรมเตาเผาทุกแห่งที่ตั้งเรียงรายกันบริเวณตีนเขาล้วนสัมผัสได้ถึงประวัติความเป็นมาอันยาวนานทั้งสิ้น ทัศนียภาพที่เต็มไปด้วยควันเอื่อยๆลอยฟุ้งขึ้นมาจากเตาเผาเป็นอะไรที่น่าประทับใจสุดๆ
เตาเผาทุกแห่งจะมีการปักป้ายชื่อเอาไว้บริเวณทางเข้าเสมอ โดยด้านหน้าเต็มไปด้วยผลงานศิลปหัตถกรรมเรียงรายกันอย่างแน่นเอี๊ยดเชียวล่ะค่ะ ใครใคร่อยากเข้าไปเยือนเตาเผาตามแผนที่ที่ได้รับมาจาก “คามาโมโตะโยโกโจ” เมื่อสักครู่นี้เลยหรืออยากชมผลงานที่ตั้งเรียงรายกันด้านหน้าเพื่อเลือกเตาเผาที่ถูกใจก่อนแล้วค่อยเข้าก็ตามสบายจ้า...
บรรยากาศการเดินเที่ยวชมเตาเผาที่ตั้งเรียงรายกันภายในตรอกแบบหลังต่อหลังอย่างสวยงามราวกับว่ากำลังค้นหาสมบัติอยู่เลยทีเดียว เพราะว่าแฝงไปด้วยความตื่นเต้นที่ว่าต่อไปจะได้พบกับของแบบไหนนี่แหละ
เมื่อเดินมาสักพักก็ใกล้ถึงเวลาอาหารแล้วล่ะค่ะ เนื่องจากแถวนี้ไม่ได้มีร้านค้ามากมายอะไร จึงควรหาข้อมูลเอาไว้ล่วงหน้าให้ดีก่อน ส่วนร้านค้าที่เราจะมาแนะนำกันในครั้งนี้มีอยู่ 2 ร้านด้วยกัน ร้านแรกก็คือร้านอาหารญี่ปุ่น “มิยามะ” นั่นเอง
ดื่มด่ำกับอาหารญี่ปุ่นที่ “Shunsai Jiyasai Miyama (ชุนไซ จิยาไซ มิยามะ)”
“Shunsai Jiyasai Miyama (ชุนไซ จิยาไซ มิยามะ)” คือ ร้านอาหารญี่ปุ่นแสนเงียบสงบที่ตั้งอยู่ห่างจาก “ทาจิคุอิ ซุเอะ โนะ ซาโตะ” ประมาณขี่จักรยาน 5 – 10 นาที โดยเป็นร้านเสิร์ฟเมนูอาหารแสนอร่อยซึ่งเน้นวัตถุดิบหลักเป็นพืชผักท้องถิ่นและวัตถุดิบตามฤดูกาลที่หาได้ภายในท้องถิ่น
ถึงแม้ว่าจะเป็นร้านอาหารญี่ปุ่นก็จริง แต่ภายในร้านกลับประดับตกแต่งสุดเก๋ไก๋โดยการผสมผสานสไตล์ญี่ปุ่นและยุโรปเข้าด้วยกัน โดยเราจะได้ดื่มด่ำกับเมนูอาหารสุดครีเอทีฟก้าวข้ามขนบแบบดั้งเดิมโดยการผสมผสานเข้ากับสไตล์ตะวันตก
เนื่องจากตัวร้านตั้งอยู่ในถิ่นกำเนิดเครื่องปั้นดินเผาทัมบะยากิเลย ทั้งอุปกรณ์และจานชามจึงใช้เป็นเครื่องปั้นดินเผาทัมบะยากินี่แหละ บอกเลยว่าแฟนๆผู้ชื่นชอบเครื่องปั้นดินเผาจะต้องกรี๊ดกร๊าดกันอย่างแน่นอนจ้า... ถ้าเกิดใครมีโอกาสได้มาเยือนร้านค้าที่ผสมผสานระหว่างขนบดั้งเดิมและขนบใหม่แห่งนี้จะต้องประทับใจไม่รู้ลืมกันชัวร์ป๊าบบ!
ส่วนอีกร้านหนึ่งก็คือ “colissimo” คาเฟ่จากบ้านเรือนเก่าแก่ที่ตั้งอยู่ห่างจาก “ทาจิคุอิ ซุเอะ โนะ ซาโตะ” เล็กน้อย
“colissimo” คาเฟ่จากบ้านเรือนเก่าแก่
อาคารเก่าแก่สไตล์ตะวันตกหลังนี้คือ “colissimo” คาเฟ่ซึ่งรีโนเวทมาจากบ้านเรือนเก่าแก่นั่นเอง ความจริงแล้วบ้านหลังนี้เคยเป็นที่ทำการไปรษณีย์ประจำท้องถิ่นมาก่อน แต่หลังจากตัวอาคารเริ่มเก่าแก่ทรุดโทรมลงและเกิดการสร้างถนนบายพาสขึ้นมาใหม่ก็ย้ายไปที่อื่นแทนหลงเหลือเพียงตัวอาคารไปรษณีย์เก่าให้เห็นกันอยู่จนถึงทุกวันนี้ เจ้าของร้าน “colissimo” แปลงโฉมบ้านเก่าหลังนี้จนกลายเป็นคาเฟ่ยอดนิยมดังปัจจุบันด้วยความเสียดายที่จะปล่อยให้อาคารถูกทิ้งร้างเอาไว้เฉยๆ
เนื่องจากภายในร้านยังคงสภาพเดิมในอดีตเอาไว้ไม่เปลี่ยนแปลง เราจึงสามารถสัมผัสถึงบรรยากาศดั้งเดิมที่เคยเป็นที่ทำการไปรษณีย์มาก่อนได้จากทั่วทุกแห่ง เคาน์เตอร์สุดโดดเด่นสะดุดตาเมื่อเข้าร้านมาเคยใช้เป็นเคาน์เตอร์รับรองของที่ทำการไปรษณีย์ในอดีต เครื่องส่งสัญญาณกันขโมยที่ติดตั้งเอาไว้ใต้โต๊ะก็ยังคงอยู่เหมือนเดิมเปี๊ยบ
ส่วนชั้น 2 เป็นโซนจัดแสดงสำหรับจัดงานอีเว้นท์สุดเอกลักษณ์ในช่วงเวลาไม่แน่นอน ในช่วงจัดงานอีเว้นท์จะมีการประดับตกแต่งดอกไม้แห้งและเครื่องดนตรีซึ่งเป็นงานอดิเรกของเจ้าของร้านให้ได้ชมกันด้วย เราจึงสามารถรู้ถึงลักษณะนิสัยของเจ้าของร้านได้เลย
เนื่องจากที่นี่เสิร์ฟทั้งอาหารกลางวันแบบง่ายๆ, ของหวานโฮมเมด และเครื่องดื่ม จึงเหมาะกับการแวะมาพักผ่อนระหว่างทริปขี่จักรยานหรือช่วงเวลาน้ำชาหลังเที่ยงสุดๆ เมื่อตกเย็นจะมีการเปิดไฟภายในห้องให้บรรยากาศแสนอบอุ่นราวกับเป็นกระท่อมที่ออกมาจากในนิทานเลยทีเดียว
หลังจากพักผ่อนทานอาหารกันจนเต็มอิ่มแล้วก็น่าจะช่วยเติมพลังให้กลับมาคึกคักได้อีกครั้ง เอาล่ะ ต่อไปเรามาเพลิดเพลินกับทัวร์ค้นหาสมบัติกันต่อดีกว่า~
สำหรับใครที่ยังไม่เจอเครื่องปั้นดินเผาทัมบะยากิที่ถูกใจก็ขอแนะนำให้ลองปั้นเองกันดูเลยจ้า...
สัมผัสประสบการณ์ปั้นทัมบะยากิด้วยตัวเอง!
ขี่จักรยานกลับไปยัง “ทาจิคุอิ ซุเอะ โนะ ซาโตะ” กันเร๊วว! ภายใน “ทาจิคุอิ ซุเอะ โนะ ซาโตะ” แห่งนี้มีห้องเรียนสอนทำเครื่องปั้นดินเผาทัมบะยากิโดยครูผู้มากประสบการณ์ด้วยนะเออ... โดยเราสามารถเลือกขนาดของเครื่องปั้นดินเผามาปั้นเองได้อย่างอิสระเสรี ส่วนผลงานที่ทำเสร็จแล้วจะส่งไปรษณีย์มาให้ตามที่อยู่ที่ระบุเอาไว้หลังนำไปเผาจนได้รูป
เครื่องปั้นดินเผาฝีมือตัวเองค่อยๆใกล้เสร็จสมบูรณ์ขึ้นมาเรื่อยๆตามคำแนะนำของอาจารย์ผู้คอยแก้ไขทรงและให้คำปรึกษาระหว่างกิจกรรมเป็นบางครั้งบางคราว โดยเราจะได้สัมผัสถึงหัวใจและฝีมือของอาจารย์ผ่านสายตาอันมุ่งมั่นและปลายนิ้ว
ต่อไป ผลงานที่ทำเสร็จสมบูรณ์ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจจะเริ่มเข้าสู่กระบวนการเผากันแล้วนะจ๊ะ... เนื่องจากโรงงานเผาเครื่องปั้นดินเผามีมากมายหลายหลัง แถมแต่ละหลังก็ยังมีเอกลักษณ์แตกต่างกันออกไปอีกด้วย การรอคอยกว่า 1 เดือนจึงให้ความรู้สึกตื่นเต้นมากว่าผลงานจะเผาออกมาในรูปแบบไหน!
จนถึงตอนนี้ขี่จักรยานมาทั้งวันแล้วก็น่าจะเริ่มเหนื่อยล้าขึ้นมากันแล้วใช่มั้ยเอ่ย? สำหรับใครที่เริ่มเหนื่อยแล้วก็บอกเลยว่าห้ามพลาดแช่ออนเซ็นแสนอบอุ่นด้วยประการทั้งปวง!
เหนื่อยนักก็พักที่ “Nukumorinosato (นุคุโมริโนะซาโตะ)” กันสักหน่อย
“Nukumorinosato (นุคุโมริโนะซาโตะ)” ภายในคอนดะโจแห่งนี้เป็นแหล่งออนเซ็นซึ่งถ่ายน้ำร้อนมาจากแหล่งต้นน้ำท้องถิ่นโดยตรง จึงไม่มีการใช้น้ำร้อนซ้ำแตกต่างจากออนเซ็นระบบหมุนเวียนน้ำ
ที่นี่เป็นที่ตั้งของทั้งออนเซ็นในห้อง, ออนเซ็นในร่ม และออนเซ็นกลางแจ้งแสนสบาย ออนเซ็นกลางแจ้งจะมีบรรยากาศแตกต่างกันออกไปตามแต่ละฤดูกาลทั้งซากุระในฤดูใบไม้ผลิ, ป่าไม้เขียวขจีในฤดูร้อน, เมเปิ้ลในฤดูใบไม้ร่วง และหิมะขาวโพลนในฤดูหนาว ทำให้ไม่ว่าจะมาเที่ยวเมื่อไหร่ก็ผ่อนคลายสบายตัวสบายใจกันอย่างแน่นอนจ้า...
เมื่อขึ้นจากออนเซ็นแล้วก็มาอิ่มอร่อยกับมื้ออาหารภายในโรงอาหารกันต่อเลย!
ที่นี่เป็นที่ตั้งของจุดพักผ่อนฟรี จึงมีผู้คนมากมายแวะมาพักผ่อนที่นี่หลังแช่ออนเซ็นอบอุ่นร่างกาย โรงอาหารที่ตั้งอยู่ติดกันมีจำหน่ายทั้งน้ำผลไม้,แอลกอฮอล์, น้ำชา, เหล้า รวมถึงของกินอย่างโอเด้งและอุด้งด้วย
จากภาพเป็นข้าวกล่องสไตล์ญี่ปุ่นสุดพิเศษซึ่งสั่งไว้ก่อนล่วงหน้า โดยเป็นข้าวกล่องอาหารญี่ปุ่นจากวัตถุดิบภายในซาซายามะเต้าหู้ถั่วดำทางด้านขวาล่างในกล่องอร่อยจนน่าตกใจเลยทีเดียว ถั่วดำมีทั้งรสชาติเข้มข้นและกลิ่นหอมถึงขนาดว่าไม่ต้องจิ้มโชยุก็อร่อย! บอกเลยว่าถั่วดำทัมบะหรือที่เรียกกันว่า “ทัมบะกุโระ” นั้นอร่อยสมชื่อจริงๆค่ะ!
ตอนเดินทางออกจากที่นี่ก็อย่าลืมแวะช้อปปิ้งของฝากตรงล็อบบี้กันด้วยเนอะ ภายในร้านมีทั้งโซนจำหน่ายของหวาน, เหล้าขึ้นชื่อ และผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร เราจึงสามารถช้อปปิ้งผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรสุดเอกลักษณ์ประจำซาซายามะได้อย่างจุใจ แถมยังมีจำหน่ายถั่วดำทัมบะกลิ่นหอมหวนและเนื้อหมูป่าสดใหม่ด้วยนะเออ...
ภายในซาซายามะเป็นที่ตั้งของบ้านเรือนเก่าแก่มากมาย แถมยังมีเรียวกังซึ่งรีโนเวทมาจากบ้านเรือนเก่าแก่อีกไม่น้อยเลย โดยครั้งนี้เราจะมาแนะนำ “หมู่บ้านมารุยามะ” ซึ่งเปิดประสบการณ์นอนหลับท่ามกลางเหล่าพืชและสัตว์กลางหุบเขากันค่ะ
“Maruyama Village (หมู่บ้านมารุยามะ)” บ้านพักเก่าแก่・หมู่บ้านเกษตรกรอายุมากกว่า 150 ปี
ภายในโซนที่รายล้อมไปด้วยภูเขาห่างจากใจกลางซาซายามะประมาณนั่งรถยนต์ 15 นาทีแห่งนี้เป็นที่ตั้งของบ้านเรือนเก่าแก่จำนวนหนึ่ง ถึงแม้ว่าจะมีบรรยากาศแตกต่างจากใจกลางซาซายามะ แต่ที่นี่ก็ยังอยู่ในเมืองซาซายามะนะจ๊ะ...
“Maruyama Village (หมู่บ้านมารุยามะ)” คือ หมู่บ้านแหล่งรวมบรรดาเกษตรกรทั้งหลาย บ้านเรือนเก่าแก่ 2 หลังจากในบรรดาบ้านอายุกว่า 160 ปีรวมทั้งหมด 12 หลังได้ถูกรีโนเวทใหม่กลายเป็นบ้านพักสำหรับนักท่องเที่ยว โดยได้รับการดูแลจากความร่วมมือของบรรดาชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในบ้านอีก 7 หลังที่เหลือ
ถึงแม้ว่าจะเป็นบ้านเก่าแก่อายุมากกว่า 160 ปีแล้ว แต่สภาพก็ยังถือว่ายอดเยี่ยมสุดๆ หลังจากได้รับการปรับปรุงดัดแปลงบางส่วนก็กลายเป็นบ้านพักเก่าแก่แสนอบอุ่นในที่สุด ภายในห้องยังคงรักษาเอกลักษณ์ของเกษตรกรในอดีตเอาไว้เป็นอย่างดี “บ่อน้ำร้อนโกะเอมอนบูโระ” เป็นหนึ่งในไฮไลท์สำคัญที่พลาดไม่ได้ของที่นี่เลยก็ว่าได้!
เพลิดเพลินกับการแช่น้ำร้อนกับเจ้าโทโทโร่ที่ “บ่อน้ำร้อนโกะเอมอนบูโระ”
ผู้เขียนมั่นใจว่าหลายคนน่าจะเคยชมภาพยนตร์ของสตูดิโอจิบลิเรื่อง “My Neighbor Totoro (โทโทโร่เพื่อนรัก)” กันมาบ้างแล้วสมัยเด็กๆ ในภาพยนตร์มีฉากหนึ่งที่ทั้งตัวละครเมย์, ซัตสึกิ และคุณพ่อแช่น้ำร้อนด้วยกัน โดยอ่างน้ำร้อนเหล็กที่ปรากฏอยู่ในฉากนั้นก็คือ “บ่อน้ำร้อนโกะเอมอนบูโระ” นี่เอง
เหล็กมีคุณสมบัติช่วยรักษาอุณหภูมิได้ดีมาก ดังนั้น เมื่อถ่ายน้ำร้อนลงไปก็จะช่วยคงอุณหภูมิแสนสบายเอาไว้ได้เป็นเวลานานเลยทีเดียว ในสมัยที่ยังไม่มีเครื่องทำน้ำอุ่น คนญี่ปุ่นจะก่อไฟเพื่อให้ความร้อนกับอ่างน้ำเหล็ก หลังจากนั้นก็ถ่ายน้ำร้อนใส่อ่างและลงไปแช่ โดยระหว่างนั้นก็ใส่เชื้อเพลงให้ไฟเผาไหม้ไปเรื่อยๆ
เนื่องจากอ่างน้ำเหล็กมีความร้อนสูงมาก จึงไม่สามารถสัมผัสโดยตรงได้แต่จะต้องนั่งแช่บนแผ่นไม้แทน ภายในอ่างน้ำมีการติดตั้งเครื่องวัดอุณหภูมิเพื่อไม่ให้อุณหภูมิน้ำร้อนสูงจนเกินไปด้วยนะเออ...
บ้านพักหลังนี้ไม่มีโทรทัศน์ให้บริการด้วยความตั้งใจอยากให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสวิถีชีวิตของเกษตกรอย่างแท้จริง เมื่อตกกลางคืนก็จะได้ยินเสียงของเหล่าแมลงดังกังวานเข้ามาจากข้างนอกบ้าน ส่วนข้างในบ้านก็อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของถั่วดำภายในเตาเผาและไฟจากถ่าน เราจะได้นั่งบนโซฟาหรือข้างในโต๊ะโคทัตสึวางแผนเที่ยวในวันต่อไปพลางรำลึกถึงความทรงจำดีๆตลอดทั้งวัน การได้ใช้ชีวิตพร้อมตระหนักถึงวิถีชีวิตของผู้คนในอดีตนับเป็นเสน่ห์เฉพาะของที่นี่เลยก็ว่าได้
เมื่อตื่นขึ้นมาในตอนเช้าก็จะมีคุณยายชาวบ้านจัดเตรียมอาหารเช้าเอาไว้ให้ ถึงแม้ว่าจะยังอยากนอนคุดคู้อยู่ในฟุตงมากแค่ไหน แต่ก็ต้องยอมแพ้ให้กับกลิ่นหอมหวลของข้าวเช้าที่อบอวลมาจากห้องครัวจนต้องลุกออกมาจากฟุตงอย่างไม่รู้ตัวเลยทีเดียว เอาล่ะ เรามาอิ่มอร่อยกับอาหารเช้าสุดพิถีพิถันซึ่งอัดแน่นไปด้วยความตั้งใจและเริ่มต้นเช้าวันใหม่กันดีกว่าค่ะ!
นอกจากบ้านพัก 2 หลังนี้ก็ยังมีร้านอาหารฝรั่งเศส “Hiwanokura (ฮิวะโนะคุระ)” ตั้งอยู่ภายในหมู่บ้านเช่นเดียวกัน ที่นี่เป็นร้านอาหารซึ่งรีโนเวทมาจากบ้านเรือนเก่าแก่เหมือนกับแห่งอื่นๆ โดยเราจะได้นั่งดื่มด่ำกับอาหารฝรั่งเศสชั้นเลิศท่ามกลางบรรยากาศของบ้านเรือนเก่าแก่สไตล์ญี่ปุ่น
บทส่งท้าย
ภายในทัมบะซาซายามะแห่งนี้ยังคงหลงเหลือผลึกแห่งความรู้ซึ่งสืบทอดต่อกันมาตั้งแต่ในอดีตอยู่ทั่วทุกแห่งไม่ว่าจะเป็นเครื่องปั้นดินเผาทัมบะยากิซึ่งมีประวัติความเป็นมายาวนานมากกว่า 800 ปีและบ้านพักเก่าแก่อายุกว่า 150 ปี วัฒนธรรมดั้งเดิมเหล่านี้ได้ผันเปลี่ยนกลายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของซาซายามะในปัจจุบัน
สำหรับใครที่เดินทางมาเที่ยวซาซายามะแห่งนี้ก็อย่าลืมแวะมาขี่จักรยานเที่ยวโรงงานทำเครื่องปั้นดินเผาทัมบะยากิและบ้านพักเก่าแก่กันดูนะคะ เนื่องจากเส้นทางอิมาดะ~อิวายะ~หมู่บ้านมารุยามะมีระยะทางค่อนข้างไกลสำหรับการขี่จักรยาน จึงขอแนะนำให้ใช้รถยนต์ส่วนตัวในการเดินทางระหว่างเขตจะดีที่สุด รับรองว่าทุกคนจะต้องสนุกสนานเพลิดเพลินกับทัศนียภาพงดงามดั้งเดิมของญี่ปุ่นซึ่งไม่เคยเห็นมาก่อนกันอย่างแน่นอน!