Start planning your trip
เพียง 1 ชั่วโมงจากโตเกียว! สู่มนต์เสน่ห์ของเมืองและศาลเจ้าเก่าแก่แห่ง "ซาวาระ" ในฤดูใบไม้ร่วง
หากเบื่อช้อปปิ้งหรือสถานที่เที่ยวเดิมๆในโตเกียวแล้ว MATCHA ขอพาคุณสู่มนต์เสน่ห์แห่งเมืองเก่าที่ได้ชื่อว่า Little Edo รวมถึงศาลเจ้าที่อายุมากกว่าพันปี ที่เมือง "ซาวาระ" ห่างจากโตเกียวแค่ไม่ถึงชั่วโมง! แถมที่นี่ยังเป็นสถานที่ถ่ายหนังเรื่อง "ฟัดจังโตะ" ด้วย
หากมีเวลาอยู่ในโตเกียวสักวันนึง แต่เบื่อจะเอาแต่ช้อปปิ้งหรือเที่ยวอะไรเดิมๆ ในโตเกียวแล้ว
วันนี้เราจะขอพาคุณเดินทางออกจากเมืองหลวงโดยใช้เวลาแค่ประมาณหนึ่งชั่วโมงเพื่อไปพบกับเมืองเก่าที่ถูกขนานนามว่า "Little Edo" และศาลเจ้าที่มีตำนานเก่าแก่อายุมากกว่าพันปี ที่มีเรื่องเล่าย้อนไปจนถึงยุคตำนานสร้างประเทศญี่ปุ่น
แถมด้วยความงามแบบญี่ปุ่นของใบไม้เปลี่ยนสีที่จะทำให้เราเหมือนได้ย้อนเวลาไปในอดีต
ทั้งหมดนี้มีให้คุณที่ "ซาวาระ" ในจังหวัดจิบะ!
9:30 ออกเดินทางจากสถานีโตเกียว!
สำหรับวันนี้เราจะพานั่งรถบัสด่วนออกจากสถานีโตเกียว มุ่งหน้าไปทางซาวาระในเมืองคาโทริ จังหวัดจิบะ กันค่ะ
สถานีโตเกียวเป็นสถานีที่ขึ้นชื่อเรื่องความใหญ่โตมโหฬารอยู่แล้ว
ฉะนั้นขอให้เพื่อนๆ คอยมองหาป้ายที่เขียนว่า "ทางออกยาเอสุทิศใต้" (Yaesu South Side) เอาไว้นะคะ เพราะนี่จะเป็นทางออกที่ใกล้จุดจอดรถบัสที่สุดเลยล่ะ
เมื่อออกมาแล้ว มองไปทางขวามือ จะเห็นรถบัสจอดเรียงกันเป็นแถวเลย! แปลว่าเรามาถูกที่แล้วล่ะ
ถ้าอย่างนั้นเราไปซื้อตั๋วรถกันก่อนเลยดีกว่า
เดินมาทางขวามือนิดนึง เราจะพบกับห้องจำหน่ายตั๋วรถบัสของ JR ใหญ่ๆ ตามในรูปเลยค่ะ
ภายในจะมีทั้งเครื่องจำหน่ายตั๋วอัตโนมัติและเคาน์เตอร์จำหน่ายตั๋ว แต่เครื่องนั้นจะเป็นภาษาญี่ปุ่น ถ้าใครไม่ได้ภาษาญี่ปุ่น จะขอแนะนำให้ไปที่เคาน์เตอร์จะสะดวกกว่าค่ะ เจ้าหน้าที่บางท่านจะสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษอย่างง่ายๆ ได้ หรือถ้ามีปัญหาในการสื่อสาร ก็ส่งมือถือให้เขาดูเลยว่าเราจะไป "ศาลเจ้าคะโทริ (Katori Jinguu)" กัน!
ตั๋วที่เราจะซื้อเป็นตั๋วรถบัสจากหน้าสถานีโตเกียวไปลงที่ "ศาลเจ้าคะโทริจินกู" (Katori Jinguu) ราคาเที่ยวละ 1,750 เยนค่ะ
ตอนซื้อสามารถซื้อเป็นตั๋วเที่ยวเดียวหรือไปกลับก็ได้ ถ้ายังไม่ชัวร์เวลากลับก็ซื้อแค่ตั๋วเที่ยวเดียวก็ได้ค่ะ
เพื่อความแน่นอนก็สอบถามป้ายที่ต้องขึ้นก่อน หรือจะไปส่องจากกระดานประกาศที่อยู่ในบริเวณนั้นก็ได้ค่ะ
วันนี้เราได้ขึ้นที่ป้ายหมายเลข 6 กัน ที่หน้าป้ายจะมีกระดานไฟวิ่งบอกว่ารถคันที่กำลังจอดอยู่จะวิ่งไปที่ไหน และคันไหนเป็นคันถัดไปที่จะมา สามารถไปยืนอ่านเพื่อความแน่ใจ และเตรียมตัวรอรถได้เลยค่ะ
10:50 ศาลเจ้าเก่าแก่กว่าพันปี คาโทริจินกู (Katori Jinguu Shrine)
มาลงกันที่รถป้ายคาโทริจินกู (Katori Jinguu) เมื่อลงมาแล้ว มองย้อนกลับไปจะเห็นลานจอดรถและซุ้มประตูใหญ่ๆ อยู่ ก็เดินไปหาซุ้มประตูนั่นกันเลย!
พอถึงซุ้มประตู จะเป็นแหล่งช้อปปิ้งเล็กๆ ก่อนค่ะ มีร้านขายของฝาก ของที่ระลึก ไปจนถึงร้านขายผักของชาวบ้านด้วย
ถ้าใครมาพักที่พักแบบทำอาหารเองได้ อาจจะลองซื้อผักสด ราคาถูกไปทำเองเป็นอาหารวันรุ่งขึ้นก็ยังได้นะ
นอกจากนี้ยังมีร้านอาหารและขนมอร่อยๆ ด้วย ซึ่งไว้เดี๋ยวเราจะมาชิมกันค่ะ
เดินผ่านบรรดาร้านค้าไปด้านใน จะพบกับซุ้มประตูโทริอิเสาสีแดงขนาดใหญ่เป็นสัญลักษณ์ว่าเราได้มาถึงศาลเจ้าอันยิ่งใหญ่ "คาโทริจินกู" กันแล้วค่ะ
เสาโทริอิสีแดงนั้น ตามลัทธิชินโตเชื่อกันว่าเป็นที่กั้นเขตแดนระหว่างโลกมนุษย์และโลกของเทพ
ก่อนจะเดินลอดไป เราก็โค้งทำความเคารพครั้งหนึ่งก่อน แล้วเดินไปตามทางหินที่ทำให้เกิดเสียงสะท้อนเบาๆ ไปตามความเงียบ พร้อมกับชมความงามของต้นไม้ที่เปลี่ยนเป็นสีเหลืองแดงด้วยพลังของธรรมชาติค่ะ
เราจะพบกับเสาโทริอิหินอีกแห่งหนึ่งตรงหน้าทางเข้าอาคารหลักของศาลเจ้า เมื่อเข้าไปแล้วจะเจอซุ้มประตูใหญ่โตที่เรียกว่า "ซากุระมง" เดินเข้าไปอีกจะเป็นอาคารสำหรับกราบไหว้ของศาลเจ้า (ไฮเด็น) ว่าแล้วก็เข้าไปไหว้พระกันเลยดีกว่า
ศาลเจ้าแห่งนี้เชื่อกันว่ามีความเกี่ยวข้องกับตำนานการสร้างประเทศญี่ปุ่นค่ะ
โดยเทพเจ้าที่บูชาอยู่ในศาลแห่งนี้คือ "ฟุทสึนุชิ โนะ คามิ" (Futsunushi no Kami) เป็นเทพที่มีบทบาททั้งแต่ยุคสมัยที่เหล่าทวยเทพยังปกครองผืนดินญี่ปุ่นในปัจจุบัน เมื่อเทพีแห่งดวงอาทิตย์ อามาเทราสุ (Amaterasu) มีประสงค์อยากให้ลูกหลานของตนเองลงมาปกครองญี่ปุ่น ก็ได้เทพฟุทสึนุชินี้เอง ร่วมกับเทพทาเคมิคาซึจิ (Takemikazuchi) ของศาลเจ้าคาชิมะจินกูที่อยู่ในจังหวัดเดียวกัน สององค์ลงมาช่วยเกลี้ยกล่อมเทพที่อยู่ในญี่ปุ่นเดิม และด้วยความแข็งแกร่งของเทพทั้งสอง ทำให้เทพอื่นๆ ยอมสยบ และมอบแผ่นดินให้กับลูกหลานของเทพีแห่งดวงอาทิตย์
กลายมาเป็นตำนานที่ชาวญี่ปุ่นเชื่อว่าราชวงศ์จักรพรรดิ์นั้นสืบเชื้อสายมาจากเทพีแห่งดวงอาทิตย์ค่ะ!
แน่นอนว่าเมื่อมีตำนานเล่าไปจนถึงการเกิดประเทศญี่ปุ่นนั้น ตามตำนานของศาลเจ้าจึงเชื่อว่าศาลของตนเองสร้างมาตั้งแต่สมัยปฐมจักรพรรดิ์ ในปี 643 ก่อนคริสตศักราช หรือมากกว่า 2600 ปีมาแล้ว
ในปัจจุบันนี้มีหลายศาลเจ้าที่ได้รับชื่อว่าเป็น "จินกู" ค่ะ แต่ในอดีตนั้น จะมีเพียงแค่สามศาลเจ้าที่มีความเกี่ยวข้องกับการสร้างประเทศและราชวงศ์อย่างลึกซึ้งเท่านั้นจึงจะสามารถใช้ชื่อนี้ได้ ซึ่งรวมถึงคาโทริจินกูแห่งนี้ด้วย
ตัวอาคาร "ฮงเด็น" ที่ประดิษฐานเทพที่อยู่ด้านหลัง และ "ไฮเด็น" อาคารที่ใช้กราบไหว้ จึงมีลักษณะพิเศษกว่าที่อื่น เช่น การสร้างด้วยสีดำซึ่งเป็นสีที่มีความหมายในลัทธิชินโต หรือมีเครื่องประดับบนหลังคามากกว่าศาลเจ้าอื่น
เพื่อนๆ ลองมาสังเกตความพิเศษนี้กันด้วยนะคะ!
เมื่อเทพเจ้าที่บูชาอยู่นั้น เป็นเทพที่นำชัยชนะแรกมาให้กับราชวงศ์ญี่ปุ่นในการสร้างชาติ เครื่องรางที่เด่นๆ ของที่นี่จึงเป็นเครื่องรางที่ให้โชคด้านการเอาชนะโดยเฉพาะด้านการกีฬาค่ะ
ใครเป็นนักกีฬาหรือมีแฟนเป็นนักกีฬา ขอแนะนำให้มาเลยจ้า
12:30 อิ่มอร่อยกับโซบะและดังโงะเสริมดวงของขึ้นชื่อที่ "คิกโคโด" (Kikkoudou)
หลังจากที่เดินชมศาลเจ้าและใบไม้แดงสวยๆ แถมยังมีประวัติศาสตร์อันยาวนานแล้ว เรามาเดินย้อนกลับไปตรงทางเข้าแหล่งช้อปปิ้งบ้างค่ะ ตรงซุ้มประตูใหญ่เลยจะมีร้านอยู่ข้างๆ หน้าร้านมีเตาย่างดังโงะลูกกลมๆ ส่งกลิ่นหอมอยู่ ร้านนี้คือร้าน "คิกโคโด" (Kikkoudou) ค่ะ
เราจะมาแวะทานโซบะนวดมือทำให้เส้นเด้งอร่อย แถมด้วยดังโงะของขึ้นชื่อของที่นี่เพราะเป็น "ดังโงะเสริมดวง" ค่ะ!
เซ็ทอาหารที่ทานวันนี้คือ "โอยาโกะด้งเซ็ท" เป็นเซ็ทที่เราจะได้ทานโซบะอร่อยๆ พร้อมกับข้าวหน้าไก่โอยาโกะด้งซึ่งมีความพิเศษคือ ร้านนี้เขาใช้ไก่ในท้องถิ่นทำค่ะ
เรียกได้ว่าเป็นความอร่อยที่หากินได้แค่ที่นี่เท่านั้นเลยนะ!
ในเซ็ทยังมีกับจานเล็ก และซุปมิโสะมาอีกด้วย ราคาอาหารเซ็ทนี้อยู่ที่ 1,190 เยน เท่านั้นค่ะ
แต่นอกจากทานอาหารแล้ว ก็ต้องมาทาน "ดังโงะ" อีกสักหน่อย
ดังโงะ หรือขนมทำจากข้าวเหนียวตำ ปั้นเป็นก้อน ที่นี่มีปรุงด้วยกันหลายแบบค่ะ
แต่จะขอแนะนำเซ็ทไซส์เล็ก ทานง่ายหลังอาหาร เป็นเซ็ท "คุสะดังโงะ" หรือดังโงะปรุงรสห่อด้วยถั่วแดงบด 2 ลูก มาพร้อมกับ "ยากิดังโงะ" หรือดังโงะย่างราดซอสเค็มหวาน 1 ไม้ ในราคาเพียง 250 เยน สามารถซื้อถือทานได้ที่หน้าร้านเลยค่ะ
ใครที่ไม่ค่อยชอบทานดังโงะ หรือถั่วแดงบดที่ไทย อยากจะขอแนะนำให้ลองทานดูนะคะ
เพราะดังโงะที่ทำสดใหม่ตามแบบญี่ปุ่นแท้ๆ นั้นจะนุ่มหอม ไม่หวานบาดคอ ทานง่าย อร่อยมากๆ ค่ะ!
แถมเพราะศาลเจ้าคะโทรินี้มีตำนานเรีื่องของดังโงะที่ถวายเทพ จึงทำให้เชื่อว่าดังโงะที่นี่ทานแล้วจะช่วยเสริมดวงด้วย
14:00 นั่งเรือชมเมืองเก่า "ซาวาระ" (Sawara)
เมื่อทานข้าว ทานขนมกันจนอิ่มแล้ว คราวนี้เราเดินมาที่ด้านหน้าของซุ้มประตูกันค่ะ ทางซ้ายมือ ตรงข้ามกับที่จอดรถ เราจะเห็นป้ายรถบัสเล็กๆ พร้อมม้านั่งอยู่ เราจะนั่งรถบัสจากตรงนี้เพื่อไปยังเมืองเก่าที่ได้ชื่อว่า Little Edo "ซาวาระ" กันค่ะ
รถตรงนี้มีจำนวนไม่มาก แค่ประมาณ 1-2 ชั่วโมงต่อ 1 คันเท่านั้น
ตอนนั่งทานข้าวอาจจะส่งเพื่อนสักคงวิ่งมาส่องเวลาไว้ก่อน จะได้เตรียมเช็คบิลกันทันนะ
ราคาค่ารถบัสตกที่ 300 เยนต่อหนึ่งคน และไม่มีเงินทอน ต้องเตรียมเงินกันให้พร้อมนะคะ
เราจะนั่งไปลงกันที่ป้าย สะพานจูเคบาชิ (Chukei Bashi) ค่ะ
ระหว่างทางเราจะได้ชมเมืองไปเรื่อยๆ พอเห็นอาคารที่ดูเก่าแก่แล้ว ก็เตรียมตัวลงกันได้เลย วิธีการลงก็คือการกดปุ่มที่อยู่ในแต่ละจุดของรถก่อนถึงป้ายนะคะ
เมื่อลงจากรถแล้ว เดินย้อนกลับมาที่สะพานข้ามแม่น้ำที่เห็นสักครู่ เลี้ยวขวาเข้าไปทางฝั่งซ้ายของแม่น้ำ มองหาบ้านเก่าที่มีโคมไฟกระดาษสีน้ำเงินทางด้านซ้ายมือนะคะ
พอเจอแล้วก็เข้าไปติดต่อขอซื้อตั๋วสำหรับล่องเรือชมเมืองเก่าซาวาระกัน!
ราคาตั๋ว คือ 1,300 เยนสำหรับผู้ใหญ่ และ 700 เยนสำหรับเด็กค่ะ
เรือจะนำล่องไปตามแม่น้ำที่สองข้างทางเป็นอาคารเก่าแก่ได้กลิ่นอายของอดีตของซาวาระ ซึ่งเป็นเมืองการค้าที่เจริญรุ่งเรืองในสมัยเอโดะ จนหลงเหลือบ้านเมืองเช่นนี้มาจนถึงปัจจุบัน
หากใครฟังภาษาญี่ปุ่นออก ก็จะได้ฟังเจ้าหน้าที่นำเรือเล่าถึงประวัติของอาคารต่างๆ สองข้างทางด้วยล่ะค่ะ
สายลมเย็นที่มากับสายน้ำช่างสดชื่นจริงๆ นะ!
เมื่อล่องเรือจนสุดโซนท่องเที่ยวของเมืองเก่าแล้ว เรือจะกลับตัว ล่องมาจนถึงจุดที่เราขึ้นเรืออีกครั้งค่ะ
เรียกว่า เอาไว้นั่งสำรวจเมือง จะได้เล็งว่าจะไปเดินเล่นจุดไหนเป็นพิเศษก่อนดีได้เลย
14:50 พิพิธภัณฑ์รถดาชิสำหรับงานเทศกาล ซุยโกซาวาระ ดาชิไคคัง (Suigo Sawara Dashi Kaikan)
เดินเล่นจากเมืองเก่าซาวาระ แต่ออกนอกเส้นทางไปนิดนึง ด้านในของศาลเจ้ายาซากะ (Yasaka Jinja) จะมีอาคารซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์เก็บรักษาและให้ความรู้เรื่องรถ "ดาชิ" ซึ่งเป็นรถประดับอย่างยิ่งใหญ่ ใช้เดินขบวนและเฉลิมฉลองให้เทพเจ้าในงานเทศกาลใหญ่ของเมืองซึ่งจัดขึ้นปีละ 2 ครั้งค่ะ
ความพิเศษของขบวนรถดาชิที่นี่คือ รถแต่ละคัน เมื่อรวมความสูงของหุ่นประดับแล้วจะมีความสูงถึงประมาณ 9 เมตร รถดาชิขนาดใหญ่มหึมาเช่นนี้จะถูกแห่ไปรอบเมืองที่เราพึ่งเดินมาเมื่อสักครู่ โดยในเทศกาลฤดูร้อนจะใช้รถจำนวน 10 คัน และในเทศกาลฤดูใบไม้ร่วงอีกจำนวน 14 คัน จำนวนรวมแล้วถึง 24 คันด้วยกัน!!
เรียกได้ว่าเป็นงานใหญ่ที่ทำให้เมืองทั้งเมืองครึกครื้นไปเลยล่ะค่ะ!
ที่นี่มีค่าเข้า 400 เยน ภายในพิพิธภัณฑ์นี้ เราจะได้ชมดาชิของจริงส่วนหนึ่ง พร้อมกับอุปกรณ์ต่างๆ ในพิธี การจำลองขบวนในเทศกาล รวมไปถึงได้ดูุหุ่นประดับด้านบนดาชิ ซึ่งมักทำเป็นรูปบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ หรือจากตำนานเทพของญี่ปุ่นค่ะ ยิ่งได้ดูในระยะใกล้ ยิ่งสัมผัสได้ถึงความสวยงาม ความเหมือนจริงที่ทรงพลัง และการร่วมแรงร่วมใจของชาวบ้านที่ช่วยกันจัดงาน
รวมถึงยังมีการฉายภาพยนตร์เกี่ยวกับประวัติความเป็นมา และภาพของงานเทศกาลเอง
เตือนไว้ก่อนเลยนะ! ดูแล้วจะทำให้ยิ่งอยากมาชมงานเทศกาลด้วยตัวเองเลย
และงานเทศกาลซึ่งมีขบวนรถดาชินี้ ถูกบันทึกเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้โดยยูเนสโก้แล้วด้วย
15:30 เดินชมเมืองเก่าซาวาระต่ออย่างสบายๆ จนไปถึงสถานีรถไฟ
ออกจากพิพิธภัณฑ์รถดาชิแล้ว เราก็ค่อยๆ ทอดน่องให้สบายสมกับบรรยากาศเมืองเก่าๆ ไปเดินเล่นที่บริเวณเมืองเก่าต่อกันดีกว่าค่ะ
ในบริเวณนี้มีทั้งร้านอาหาร ร้านขนม พิพิธภัณฑ์ ไปจนถึงร้านขายของฝากแบบต่างๆ ที่ดูเป็นญี่ปุ่นสุดๆ เหมาะแก่การซื้อไปเป็นที่ระลึกและฝากคนอื่นมาก
หรือแค่จะเดินดูเมืองเก่า อาคารเก่า ซึ่งบางอาคารสามารถเข้าไปดูข้างในได้ หรือถูกปรับเป็นร้านค้าแล้วค่ะ
ร้านขายของฝาก นากามุระยะ โชเทน (Nakamuraya Shoten)
บริเวณหัวมุมคลองใกล้ๆ กับจุดที่เราล่องเรือ จะมีร้านขายของฝากน่าสนใจอยู่ร้านนึงชื่อ นากามุระยะ โชเทน ค่ะ
ร้านนี้เป็นการนำบ้านเก่าที่มีอายุมากกว่า 150 ปี (สร้างขึ้นเมื่อปี 1855) มาปรับปรุงทำเป็นร้านขายของฝาก
ที่อยากจะแนะนำเพื่อนๆ ให้ลองเดินเข้ามาดูนั้น เพราะนอกจากจะได้สัมผัสกับความเก่าแก่ของอาคารแล้ว ที่นี่ยังมีสินค้าที่ระลึกที่เกี่ยวกับเทศกาลและรถดาชิของเมืองซาวาระมากมายค่ะ ไม่ว่าจะเป็น ผ้าเช็ดมือเอนกประสงค์ "เทะนุกุย" ฟิกเกอร์ขนาดเล็ก หรือที่คั่นหนังสือ รวมไปถึงของฝากอื่นๆ อีกด้วยค่ะ
โดยเฉพาะผ้าเทะนุกุยนั้นเป็นลวดลายรถดาชิแต่ละคัน ซึ่งทางร้านทำเอง และมีจำนวนจำกัด เวียนลายไปเรื่อยๆ
เป็นของฝากที่เหมาะกับการมาเยือนเมืองนี้จริงๆ ค่ะ!
17:00 เดินทางกลับโตเกียวจากสถานีซาวาระ (Sawara)
เดินชมเมืองตามอัธยาศัยไปเรื่อยๆ จนพอใจ แล้วค่อยๆ เดินไปยังสถานีรถไฟซาวาระที่อยู่ห่างออกไปประมาณ 10 นาทีค่ะ
ใครอยากจะกลับเร็วหรือช้ากว่านี้ ก็ตามใจชอบเลยนะ!
การเดินทางกลับจากสถานีซาวาระนั้น สามารถขึ้นรถไฟ JR จากสถานี Sawara ได้เลยค่ะ
แต่เนื่องจากไม่มีรถแบบต่อเดียวถึง จึงต้องไปต่อรถที่สถานีชิบะ (Chiba) หรือนาริตะ (Narita) ค่าโดยสารอยู่ที่ประมาณ 1,660 เยนขึ้นไป (ถ้าไปต่อที่นาริตะ สามารถนั่งรถด่วนสายที่นั่งจากสนามบินได้ ค่าเดินทางจะสูงกว่านี้)
หรือถ้าใครขี้เกียจต่อรถ ให้เดินข้ามสะพานลอยที่อยู่หน้าสถานีไปอีกฟากหนึ่งของสถานีค่ะ
เดินลงบันไดด้านซ้ายมือ แล้วเดินต่อไปอีกนิดเดียว ด้านขวามือจะเห็นป้ายรถบัสอยู่
เราสามารถนั่งรถบัสแบบที่นั่งมาตอนเช้ากลับจากจุดนี้ได้ค่ะ
ใครที่ไม่ได้ซื้อตั๋วล่วงหน้า ก็สามารถจ่ายเงินบนรถที่ข้างๆ คนขับได้เลย ค่ารถ 1,750 เยนค่ะ
แต่เนื่องจากจำนวนรถบัสมีแค่ประมาณชั่วโมงละ 1 คันเท่านั้น จึงควรตรวจสอบเวลาล่วงหน้า
หากเวลาไม่เหมาะ ก็ไปใช้บริการรถไฟได้ค่ะ
ใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงกับอีกนิดหน่อย เราก็จะกลับมาถึงสถานีโตเกียวแล้ว
เป็นอันจบปิดทริปหนึ่งวันกับเมืองเก่าได้บรรยากาศเอโดะทั้งที่ห่างจากโตเกียวเพียงแค่ชั่วโมงเดียวเท่านั้น!
สรุปการเดินทาง
สถานีโตเกียว → ศาลเจ้า คะโทริจินกู → ร้านอาหาร คิคโคโด → เมืองเก่าซาวาระ → ล่องเรือ → พิพิธภัณฑ์ ซุยโกซาวาระ ดาชิไคคัง → เมืองเก่าซาวาระ →สถานีซาวาระ → สถานีโตเกียว
ระยะเวลาเดินทางโดยรถบัสจากสถานีโตเกียวถึงเมืองซาวาระ ประมาณ 1 ชั่วโมง 10 นาที (อาจช้ากว่านี้ ขึ้นอยู่กับสภาพถนน)
ค่าเดินทางทั้งหมด : 3,800 เยน
ใช้จ่ายอื่นๆ : ค่าอาหาร 1,190 เยน ค่าขนม 250 เยน ค่าล่องเรือ 1,300 เยน ค่าเข้าพิพิธภัณฑ์ 400 เยน ค่าช้อปปิ้งอื่นๆ
รวมค่าใช้จ่ายใน 1 วัน/1 คนตามแผน : ประมาณ 6,940 เยน (ไม่รวมค่าใช้จ่ายในการช้อปปิ้งต่างๆ)
Supported by The Three Cities in the Suigo district (Katori,Kashima,Itako)
สาวไทยในโตเกียว ลัลล้ากับการทำงาน ว่างๆ ก็แว่บไปเที่ยวและชิมของอร่อย สนใจวัฒนธรรมญี่ปุ่น รวมไปถึง Pop culture~♥
นอกจากนี้ บทความอาจมีลิงก์โฆษณา โปรดพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจซื้อหรือจอง