【จังหวัดมิยาซากิ】เพลิดเพลินไปกับทั้งภูเขาและท้องทะเล! ออกสำรวจมนต์เสน่ห์แห่งธรรมชาติที่ยังไม่ถูกค้นพบ

ชวนไปติดเกาะที่โตเกียว! 2 วัน 1 คืน "อิซุโอชิมะ" ยิ่งเที่ยวยิ่งสวยด้วยดอกสึบากิ

บริการนี้รวมโฆษณาที่ได้รับการสนับสนุน
article thumbnail image

ไปติดเกาะที่โตเกียวกัน! ขอพานั่งเรือออกไปติดเกาะ "อิซุโอชิมะ" ที่จะทำให้ยิ่งเที่ยวยิ่งสวย เพราะที่นี่มีผลิตภัณฑ์ชื่อดังจาก "ดอกสึบากิ" ที่บานรอบเกาะจนที่นี่มี "งานเทศกาลดอกสึบากิ" เลยล่ะ!

บทความโดย

สาวไทยในโตเกียว ลัลล้ากับการทำงาน ว่างๆ ก็แว่บไปเที่ยวและชิมของอร่อย สนใจวัฒนธรรมญี่ปุ่น รวมไปถึง Pop culture~♥

more

มานั่งเรือไปติดเกาะของโตเกียวกัน!

พูดถึงโตเกียว ใครๆ ก็ต้องคิดถึงตึกสูงเสียดฟ้า ผู้คนเดินกันขวั่กไขว่ตามท้องถนนและห้างร้านสวยงามดูทันสมัย

แต่วันนี้เราจะมาพาไปเปลี่ยนบรรยากาศกันสุดๆ ด้วยการพาไปติดเกาะของโตเกียว!

เกาะแห่งนี้มีชื่อว่า "อิซุโอชิมะ" (Izu Oshima) หรือเรียกว่า โอชิมะ (Oshima) ก็ได้ ตั้งอยู่ห่างจากโตเกียวแค่ประมาณ 30 นาทีโดยเครื่องบิน และประมาณ 2 ชั่วโมงโดยเรือเท่านั้น แถมบนเกาะนี้ยังมีดอกไม้สวยๆ อย่าง "ดอกสึบากิ" (Camelia) บานทั่วทั้งเกาะ จนกลายมาเป็นเทศกาลสำคัญของเกาะ และผลิตภัณฑ์ "น้ำมันสึบากิ" ที่มีประโยชน์ด้านความงามสุดๆ และทริปแบบนี้เราไม่มีทางพลาดอาหารอร่อยๆ ประจำท้องถิ่นด้วยแน่นอน! รวมถึงขอพาแวะพิพิธภัณฑ์ที่ได้ทั้งความรู้และได้เห็นของสวยๆ งามๆ จากความยิ่งใหญ่ของภูเขาไฟและทะเล
แผนเที่ยวครบทุกความบันเทิง แถมเที่ยวเสร็จแล้วสวยด้วยสึบากิแบบนี้ แค่ 2 วัน 1 คืน เดินทางแสนสะดวกจากโตเกียวจ้า

วันที่ 1
7:20 เตรียมตัวไปติดเกาะที่ท่าเรือทาเคชิบะ (Tokyo Takeshiba Terminal)

วันแรกเราจะออกเดินทางเช้าสักนิดค่ะ จะได้เที่ยวกันให้เต็มที่เลย! หลังจากจองตั๋วเรือไว้แล้วจะต้องไปรับตั๋วก่อนเวลาเรือออกประมาณ 30 นาที วันนี้เรือที่จองไว้ออกตอน 8:00 เลยจะไปเอาตั๋วให้ทัน 7:30 จ้า
ท่าเรือที่เราจะใช้บริการอยู่ใจกลางโตเกียวเลย เดินทางสะดวกมาก คือ ท่าเรือทาเคชิบะ (Tokyo Takeshiba Terminal) สามารถเดินมาได้จากรถไฟ 3 สถานี คือ
สถานี Takeshiba สาย Yurikamome เดิน 1 นาที คือมองจากสถานีแล้วเห็นเลยจ้า
สถานี Hamamatsucho สาย JR ออกทางออกทิศเหนือ เดินอีกประมาณ 8 นาที
หรือใช้บริการสถานี Daimon สาย Toei Asakusa และ Toei Oedo Line เดินประมาณ 11 นาที

ชวนไปติดเกาะที่โตเกียว! 2 วัน 1 คืน

เมื่อเดินใกล้จะถึงแล้วจะเห็นเสากระโดงเรือเด่นเป็นสง่าอันนี้ค่ะ ทางขวามือของเสากระโดงเรือจะมีห้องขายตั๋วและจุดรอขึ้นเรืออยู่ค่ะ
เข้าไปบอกหมายเลขที่ได้ตอนจองตั๋ว (Reservation Number) ก็จะได้ตั๋วมาเลยจ้า
งวดนี้ได้ตั๋วมาสองใบ คือ ขาไปและขากลับค่ะ
เรือที่นั่งวันนี้มีแวะจอดที่ Tateyama ก่อนด้วย ยังไงก่อนจะลงก็มองหน้าจอในเรือกันให้แน่ใจนะคะว่าถึงที่หมายแล้วหรือยัง

เราสามารถนั่งหลบความร้อนหนาวอยู่ในนี้ได้เลย แต่อย่าลืมเช็คประตูว่าเรือเราจะออกประตูไหนจากบอร์ดที่อยู่หน้าทางเข้าเลยค่ะ และแวะกรอกรายละเอียดส่วนตัวลงในตั๋วโดยสารด้วย สิบนาทีก่อนเรือออกประตูจะเปิดและมีพนักงานมานำทางไปยังเรือที่จอดเทียบท่าอยู่ค่ะ พนักงานจะตรวจตั๋วแล้วฉีกตั๋วออกไปส่วนนึงตอนนี้ค่ะ
พอขึ้นเรือไป มองไปที่ตัวเลขสามหลักตัวใหญ่ๆ ตรงกลางตั๋ว จะเป็นเลขที่นั่งค่ะ (ในรูปคือ ใบบน 283 ใบล่าง 129) เข้าไปหาที่นั่งตามหมายเลขได้เลย

สำหรับสัมภาระที่จะนำขึ้นเรือไป ถ้าขนของตามปกติก็จะฟรีค่ะ แต่ถ้าใครแบกกระเป่าใบใหญ่มา อาจจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมได้
ซึ่งเกณฑ์อยู่ที่ขนาด กว้าง+ยาว+สูง ไม่เกิน 120 เซนติเมตร น้ำหนักไม่เกิน 20 กิโลกรัม ไม่มีค่าใช้จ่าย
ถ้า กว้าง+ยาว+สูง เกิน 120 เซนติเมตร แต่ไม่เกิน 200 เซนติเมตร น้ำหนักตั้งแต่ 21-30 กิโลกรัม ต้องไปซื้อตั๋วสำหรับสัมภาระ ราคา 1,000 เยน
แต่ถ้า กว้าง+ยาว+สูง เกิน 200 เซนติเมตร น้ำหนักมากกว่า 30 กิโลกรัมขึ้นไป ไม่สามารถนำขึ้นเรือได้ 
ที่ท่าเรือมีตาชั่งและสายวัดให้วัดค่ะ แต่เพื่อความแน่นอนก็อย่าเอากระเป๋าใบใหญ่เวอร์ไปนะ!

วิธีการจองตั๋วเรือ

ชวนไปติดเกาะที่โตเกียว! 2 วัน 1 คืน

เรือที่เราจะใช้นั่งเป็นของบริษัท Tokai Kisen Co., Ltd. ค่ะ ซึ่งมีเว็บไซต์ให้บริการเป็นภาษาอังกฤษครบครัน!
การจองตั๋วเรือนั้นสามารถทำผ่านโทรศัพท์หรือเอเจนซี่ที่เป็นตัวแทนได้ รวมถึงสามารถจองผ่านเว็บไซต์ได้เช่นกันค่ะ
เว็บไซต์สำหรับจองตั๋วก็มีภาษาอังกฤษ สามารถเข้าไปที่  http://tokyoislands.jp ซึ่งเป็นเว็บไซต์สำหรับจองตั๋วเรือไปเที่ยว 7 เกาะของโตเกียว เวลาจองต้องเลือกไปให้ถูกเกาะนะ โดยเลือกเรือที่ไปจาก Tokyo -> Oshima แล้วเลือกวันกับจำนวนคนที่จะไปค่ะ

ระบบจะหาเรือที่ให้บริการในวันนั้นมาให้ ซึ่งเรือจะมีสองประเภทคือ "The high-speed jet ferry" ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ที่เราใช้เดินทางในวันนี้
ส่วนอีกประเภทคือ "Large Passenger Ship" เป็นเรือขนาดใหญ่ที่จะออกตอนกลางคืน แล้วถึงเกาะตอนเช้าวันต่อมา ใช้เวลาเดินทาง 8 ชั่วโมง
ยังไงวันนี้มาเลือกแบบ Jet Ferry กันเลย!
กดที่ select ในเวลาที่ชอบ พอเลือกเสร็จเลื่อนลงไปอีกนิด จะมีให้เลือกตั๋วกลับด้วยค่ะ ก็กดเลือกวันกับเวลาและประเภทเรือที่ต้องการเช่นกัน
จากนั้นเช็คยอด ซึ่งราคาปกติจะอยู่ที่เที่ยวละ 7,020 เยน รวมราคาไปกลับก็คนละ 14,040 เยน (ราคาอาจแตกต่างไปตามฤดูกาล)
แล้วใส่รายละเอียดการจอง เป็นอันเสร็จ กด Submit ได้เลย! 

แม้จะไปซื้อตั๋วที่ท่าเรือได้เลย แต่เพื่อความชัวร์ ขอให้จองไว้ก่อนดีกว่า
ส่วนการจอง ก็ใช่ว่าจะจองเล่นๆ ได้นะคะ เพราะเขามีค่าธรรมเนียมการยกเลิกด้วย ยังไงอ่านได้จากที่นี่จ้า

10:20 เริ่มทัวร์แสนสวยบนเกาะอิซุโอชิมะ (Izu Oshima)!

เวลาประมาณ 10:20 เราจะมาถึงเกาะอิซุโอชิมะกันแล้ว
ก่อนอื่นต้องขออธิบายนิดนึงว่าบนเกาะนี้มีท่าเรืออยู่ด้วยกันสองแห่ง คือ ท่าเรือโอคาตะ (Okata) ทางทิศเหนือ และท่าเรือโมโตมาจิ (Motomachi) ทางทิศตะวันตกค่ะ เรือจะเข้าออกท่าไหนในวันไหน ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ และจะรู้ล่วงหน้าแค่ตอนเช้าวันนั้นค่ะ
ขามาไม่ค่อยมีปัญหาเท่าไหร่ แต่ขากลับออกจากเกาะ จะต้องระมัดระวังนะคะ

วันที่เรามาถึงเป็นวันที่ใช้ท่าเรือโอคาตะ (รถบัสป้าย A16 หรือ C2) ค่ะ พอลงจากเรือเดินไปทางด้านหน้าอาคารท่าเรือจะมีป้ายรถบัสพร้อมให้เที่ยวเลย
การนั่งรถบัสบนเกาะนี้ ตอนขึ้นรถให้ดึงตั๋วใบเล็กๆ จากเครื่องที่ด้านข้างคนขับ (บางทีไม่มีให้ดึง) ตอนจะลงก็ดูหมายเลขบนบัตร เช็คกับป้ายไฟด้านหน้าว่าเบอร์นั้นค่ารถเป็นเท่าไหร่แล้ว และไปหยอดเงินตามจำนวนที่เครื่องข้างๆ คนขับค่ะ ถ้าไม่มีเศษก็เอาไปแลกที่เครื่องด้านข้างคนขับเช่นกัน แต่ใช้ได้แค่ธนบัตรพันเยนนะ!
แต่เพื่อความสะดวก สถานที่แรกเราเลยขอนั่งแท็กซี่หน่อย
ที่แรกเราจะไปเปิดประสบการณ์เคล็ดลับความสวยกัน!

ข้อควรระวังคือ บนเกาะมีรถวิ่งแค่ไม่กี่สาย และจำนวนรถต่อชั่วโมงไม่เยอะ ขอให้เช็คเวลารถบัสจากตารางในเว็บไซต์ (ภาษาญี่ปุ่น) เสียก่อน จะได้กะเวลาเที่ยวแต่ละสถานที่ได้เหมาะนะคะ

ชวนไปติดเกาะที่โตเกียว! 2 วัน 1 คืน

ชวนไปติดเกาะที่โตเกียว! 2 วัน 1 คืน

11:00 ต้นกำเนิดความงาม! ทดลองผลิต "น้ำมันสึบากิ" (Tsubaki Oil)

เราจะไปกันที่ โอชิมะ ฟุรุซาโตะ ไทเคงคัง (Oshima Furusato Taiken-kan) ที่นี่มีกิจกรรมทางวัฒนธรรมของท้องถิ่นให้ได้ลองทำหลายอย่างค่ะ ไม่ว่าจะเป็นการย้อมผ้าแบบพื้นบ้าน การตีกลองญี่ปุ่น หรือการปั้นเครื่องปั้นดินเผา 
แต่วันนี้เราจะมาทดลองผลิต "น้ำมันสึบากิ" ที่นิยมนำไปเป็นเคล็ดลับความงามในเครื่องสำอางค์ต่างๆ หรือจะใช้ทั้งน้ำมันเลยก็ย่อมได้!

ชวนไปติดเกาะที่โตเกียว! 2 วัน 1 คืน

หากนั่งแท็กซี่มาก็จะมาจอดหน้าอาคารเลย ค่าใช้จ่ายประมาณ 1,320 เยน แต่ถ้าใครนั่งรถบัสมา ให้ลงที่ป้าย Furusato Taiken-kan Iriguchi (ป้าย A10) และต้องสังเกตหาทางเข้านิดนึง โดยจะเหมือนซอยที่มีป้ายสีขาวๆ ตั้่งอยู่ด้านหน้าแบบในรูปค่ะ เดินเข้าซอยมาประมาณ 3 นาทีจะเจออาคารอยู่ด้านซ้ายมือ
กิจกรรมผลิตน้ำมันสึบากิ (Tsubaki Oil หรือ Camelia Oil) มีค่าใช้จ่าย 2,160 เยน/1 ท่าน (ตั้งแต่เมษายน 2018 เป็นต้นไปจะปรับราคาเป็น 2,700 เยน) จะได้ทดลองทำตั้งแต่เมล็ดสึบากิเลย แถมยังได้น้ำมันที่ตัวเองทำกลับบ้านอีกต่างหาก ใช้เวลาประมาณ 90 นาที ถือว่าเป็นกิจกรรมสุดคุ้มค่าเลยค่ะ แต่อาจจะลำบากนิดตรงที่ต้องโทรจองล่วงหน้าทางโทรศัพท์ ไม่อย่างนั้นอาจจะไม่สามารถเข้าร่วมได้
ทุกกระบวนการที่ทำนั้น ผู้สอนจะอธิบายเป็นภาษาญี่ปุ่น แต่ก็แสดงวิธีการให้ดูตลอด หากมีคนที่ได้ภาษาญี่ปุ่นมาด้วยแม้จะสักเล็กน้อยก็จะยิ่งสนุกมากยิ่งขึ้นค่ะ

เพื่อนๆ รู้ไหมคะว่าน้ำมันสึบากินั้นสามารถนำไปใช้ในเครื่องสำอางค์ต่างๆ ใส่ในแชมพู ครีมนวดผม หรือจะเอาไปทาผิว ทาผมโดยตรงเพื่อบำรุงและรักษาความชุ่มชื้น เอนกประสงค์แบบนี้เขามีวิธีการทำอย่างไรกันนะ?
ที่นี่เราจะได้ทดลองทำตั้งแต่เมล็ดดอกสึบากิเลย และครูผู้สอนก็เป็นมือโปรจริงๆ เพราะล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่เกี่ยวข้องกับโรงงานผลิตน้ำมันสึบากิทั้งนั้นค่ะ

กว่าจะได้มาซึ่ง "น้ำมันสึบากิ"

ชวนไปติดเกาะที่โตเกียว! 2 วัน 1 คืน

1. นำเมล็ดดอกสึบากิมาบดด้วยครกตำ หรือใช้เครื่องบดช่วย ซึ่งที่นี่จะให้เราลองทำทั้งสองวิธีเลย
2. เมื่อเมล็ดสึบากิละเอียดแล้ว ก็นำไปฝัด ส่วนที่ยังไม่ละเอียดพอจะถูกนำไปตำอีกครั้ง
3. นำเมล็ดส่วนที่ละเอียดเข้าไปนึ่ง เพื่อช่วยให้เมล็ดนิ่มลง รีดน้ำมันออกมาได้ง่าย
4. เมื่อนึงเสร็จ นำเมล็ดออกมาใส่ชามแล้วนำเข้าเครื่องรีดน้ำมัน กดยกแม่แรงขึ้นจนน้ำมันไหลออกมาลงไปยังภาชนะรองรับ

ผู้สอนได้เล่าให้ฟังด้วยล่ะค่ะว่า นี่เป็นการผลิตแบบดั้งเดิมที่ใช้แรงงานคน ปัจจุบันนี้โรงงานส่วนใหญ่จะข้ามขั้นตอนที่ 3 ไป เพราะใช้เครื่องจักรในการรีดน้ำมันออกมา จึงไม่ต้องนึ่งให้เมล็ดนุ่มก็ได้
น้ำมันที่ออกมาจึงมีความขุ่น เพราะมีน้ำปนมาในตอนนึ่งด้วย เราจึงต้องนำไปตั้งไฟกระทะเพื่อไล่น้ำให้ระเหยออก จะได้เป็นน้ำมันใสกิ๊งสวยแบบในรูปค่ะ
(น้ำมันที่เราจะได้รับจากกิจกรรมนี้คือน้ำมันที่ขุ่นเท่านั้น มีอายุประมาณ 3 เดือน จึงควรรีบใช้ให้หมด หรือนำไปตั้งไฟเองที่บ้านให้ใส จะอยู่ได้ประมาณ 1 ปี)

พอโชว์ตั้งไฟน้ำมันเสร็จ ผู้สอนเลยโชว์ความอร่อยด้วยการเอาผักท้องถิ่น "อาชิตะบะ" มาผัดให้ทานกันด้วยล่ะค่ะ อร่อยมาก! และดีต่อสุขภาพด้วยนะ!

13:20 อาหารกลางวันรสมือแม่แบบท้องถิ่นๆ ที่ ฮามะโนะก้าจังเมชิ (Hama no Kaa-chan Meshi)

หลังรีดน้ำมันดอกสึบากิกันแล้ว ก็แวะช้อปสินค้าของฝากมากมายทั้งน้ำมันสึบากิหรือหัตถกรรมพื้นบ้านสวยๆ 
จากนั้นเดินกลับออกมาที่ถนน ข้ามฝั่งไปฝั่งตรงข้าม เดินไปทางซ้ายมือจะมีป้ายรถบัสอยู่ค่ะ คราวนี้เราจะนั่งรถบัสไปลงที่ท่าเรือโอคาตะ (ป้าย Okata-ko เบอร์ A16) ค่ารถ 200 เยน ลงรถปุ๊บ มองไปฝั่งตรงข้ามจะเห็นร้านอาหารและของฝากร้านนี้เลยจ้า

ชวนไปติดเกาะที่โตเกียว! 2 วัน 1 คืน

ร้านนี้เด็ดยังไงก็ต้องบอกเลยว่า เพราะใช้วัตถุดิบสดใหม่จากเกาะนี้เท่านั้น โดยเฉพาะปลาสดๆ ที่เต็มไปด้วยสารอาหาร ปรุงโดยฝีมือ "ก้าจัง" หรือ "คุณแม่" ให้ได้รสชาติและความรู้สึกเหมือนมีคุณแม่ผู้แสนใจดีมาทำอาหารให้เราทานเลยค่ะ
เมนูที่ขอลิ้มรสวันนี้คือเซ็ทปลาซาบะทอดแบบทัตสึตะ (Saba no Tatsuta age ราคา 900 เยน) และ "เบกโคด้ง" (Bekkou-don ราคา 1,000 เยน) อาหารขึ้นชื่อของเกาะอิซุโอชิมะนี้ค่ะ! 
"เบกโค" คือการนำปลาเนื้อขาวมาหมักในโชยุสูตรพิเศษของแต่ละบ้าน โดยมีการใส่พริกลงไปหมักร่วมได้ ทำให้ได้รสลุ่มลึกและมีกลิ่นหอมของพริกนิดๆ เพราะเป็นสูตรเด็ดของแต่ละบ้าน จึงทำให้รสชาติแต่ละร้านไม่เหมือนกันค่ะ

นอกจากนี้ในร้านยังมีขายของฝากเป็นผลิตภัณฑ์ปลาแปรรูปด้วย ที่อยากจะท้าทายให้ลองกันก็คือ "คุซายะ" (Kusaya) นี่ล่ะ!
"คุซายะ" คือ การนำปลาไปหมักในน้ำหมักเฉพาะจนได้กลิ่นรสเป็นเอกลักษณ์ค่ะ เรียกได้ว่า ... เป็นญาติๆ กับ "ปลาร้า" บ้านเราเลย!
ใครชอบปลาร้า ขอบอกเลยว่า อาหารที่มีกลิ่นแรงมักจะมีรสชาติที่อร่อยจัดจ้านไปด้วย จนอยากท้าให้ลองกันค่ะ แถมเจ้าคุซายะนี่ยังมีสารอาหารมากมาย ดีต่อสุขภาพอีกด้วยนะคะ
ราคาแบบแท่งขนาดเล็กนี้แค่ 250 เยน ซีลอย่างดีไม่มีกลิ่นออกมาจ้า

15:00 ชมเทศกาลดอกสึบากิที่สวนสาธารณะโอชิมะ (Oshima Park)

หลังจากอร่อยกับอาหารรสชาติแบบชาวบ้านจริงๆ แล้ว เดินมาที่หน้าท่าเรือโอคาตะ รอขึ้นรถบัสสาย A ไปลงที่ Oshima Koen (Oshima Park เบอร์ A21) ค่ารถคนละ 370 เยน ลงรถมา เดินตรงไปจะเห็นเวทีเล็กๆ กับร้านขายของอยู่เลยค่ะ ถ้ามาตรงเวลาจะได้ยินเสียงเพลงพื้นบ้านต้อนรับพร้อมกับการเต้นรำแบบท้องถิ่นบนเวทีพอดีเลย!

ชวนไปติดเกาะที่โตเกียว! 2 วัน 1 คืน

บนเวทีจะมีการเต้นรำเพลงของ "อังโกะ" ซึ่งหมายถึงสาวๆ ชาวเกาะโอชิมะค่ะ
บทเพลงจะเป็นเรื่องราวของสาวชาวเกาะและชีวิตบนเกาะ รวมไปถึงความรักของสาวๆ ด้วย
เนื่องจากเป็นการแสดงชุดสั้นๆ จึงทำให้เราได้สัมผัสกับบรรยากาศญี่ปุ่นและชาวเกาะญี่ปุ่นได้อย่างง่ายๆ โดยการแสดงจะจัดขึ้นวันละ 5 รอบค่ะ

ในบริเวณนี้มีร้านขายของเล็กๆ น้อย และมีจุดให้เราได้ลองแต่งตัวเป็นชาวเกาะในชุดพื้นบ้านของเขาด้วยนะ ชุดของสาวๆ อังโกะนั้นถือว่าเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของเกาะเลยค่ะ เพราะเป็นชุดที่ชาวบ้านใช้ใส่กันจริงมาช้านานเพื่อใช้ในการทำงานประจำวันค่ะ
ชมการแสดงจบเดินไปด้านหลังเวทีจะเจอทางเข้าสวนสาธารณะโอชิมะค่ะ เข้าไปชมดอกไม้สวยๆ กันดีกว่า!

ชวนไปติดเกาะที่โตเกียว! 2 วัน 1 คืน

สวนสาธารณะแห่งนี้ีมีชื่อเสียงในฐานะที่เป็นสวนที่รวบรวมต้นสึบากิและต้นคาเมลเลียซึ่งเป็นสกุลเดียวกันจากทั่วโลกมากมายกว่าหนึ่งพันสายพันธุ์เลยทีเดียวค่ะ มีแม้แต่สายพันธุ์แปลกๆ ที่มีจุดเด่นที่ปลายใบแตกเป็นแฉกๆ เหมือนหางปลาทอง หรือดอกสึบากิสีไม่คุ้นตาอย่างสีเหลือง สีขาวสลับแดง
ภายในสวนยังมีเรือนกระจกให้เราได้ชมดอกสึบากิสวยๆ ด้วย
เดิมทีต้นสึบากินั้นถูกปลูกไว้ทั่วไปบนเกาะโอชิมะ เนื่องจากเป็นไม้ที่ทนลมทะเลได้ จึงใช้สำหรับเป็นไม้กันลม และเมล็ดยังเอามาทำน้ำมันตะเกียงได้อีกด้วย สวนนี้เริ่มปลูกต้นสึบากิตั้งแต่ปี 1957 ภายในสวนมีต้นสึบากิพันธุ์ต่างๆ ถึง 3,200 ต้น รวมกับสึบากิญี่ปุ่น "ยาบุสึบากิ" (Camellia japonica) อีกกว่า 5,000 ต้น

พิพิธภัณฑ์ดอกสึบากิ (Tsubaki Museum) และสวนสัตว์โอชิมะ (Oshima Park Zoo) 

หากใครเดินเที่ยวสวนแล้วยังมีเวลาเหลือ ขอแนะนำให้เดินกลับมาด้านหน้าสวน แล้วข้ามถนนไปฝั่งตรงข้ามค่ะ
เราจะเจอกับพิพิธภัณฑ์ดอกสึบากิ หรือจากพิพิธภัณฑ์เดินไปทางขวามือต่ออีกนิดหน่อยก็จะเจอกับสวนสัตว์โอชิมะค่ะ ทั้งสองที่ไม่เสียค่าเข้าชม

พิพิธภัณฑ์ดอกสึบากิ (Tsubaki Museum หรือ Tsubaki Shiryou-kan) เป็นพิพิธภัณฑ์ที่ให้ความรู้เรื่องความสำคัญ ศิลปะ ที่เกี่ยวข้องกับดอกสึบากิ รวมถึงให้ความรู้เกี่ยวกับดอกสึบากิด้วยค่ะ ที่น่าสนใจคือ ที่นี่นำดอกสึบากิแต่ละพันธุ์มาประดับให้เราดูกันใกล้ๆ และยังมีดอกสึบากิแห้งหลากสายพันธุ์ซึ่งทำมาจากดอกสึบากิที่บานสวยที่สุดจากปีก่อนมาจัดแสดงด้วย ที่นี่เองยังมีต้นสึบากิพร้อมดอกสวยๆ ให้เดินชมกันอีกด้วย

ชวนไปติดเกาะที่โตเกียว! 2 วัน 1 คืน
ชวนไปติดเกาะที่โตเกียว! 2 วัน 1 คืน

สวนสัตว์โอชิมะ (Oshima Park Zoo) แห่งนี้ถึงจะเป็นสวนสัตว์บนเกาะ แต่ก็ดูถูกไม่ได้เลยนะ เพราะทั้งกว้างใหญ่และจัดได้น่าสนใจทีเดียวค่ะ ทั้งกรงนกขนาดใหญ่ที่ให้เราเดินเข้าไปชมได้ และมีสัตว์ที่หาดูได้ยากในไทย ทั้งเจ้า คาปิบาร่าหน้าซื่อ อูฐ หรือน้องแพนด้าแดง (Red Panda) แสนน่ารัก! แถมยังมีวิวทะเลให้เห็นอีกด้วย ใครมีโอกาสมา ขอแนะนำให้แวะไปที่สำนักงานของเขาด้านขวามือของประตูเข้าออกเพื่อรับเข็มกลัดที่ระลึกรูปสัตว์ต่างๆ ในสวนที่มีให้เลือกมากมายได้ฟรี! (จำกัดท่านละ 1 ชิ้น)

17:20 ชมพระอาทิตย์ตกดินก่อนเข้าพักโรงแรมออนเซ็นสุดสบาย "โฮเทลชิราอิวะ" (Hotel Shiraiwa)

พอถึงเวลาประมาณ 16:50 เราก็กลับมาขึ้นรถบัสที่เดิมค่ะ เดี๋ยวเราจะเข้าที่พักเป็นโรงแรมพร้อมออนเซ็นแสนสบายและอาหารอร่อยๆ สไตล์อิซุโอชิมะกัน

ชวนไปติดเกาะที่โตเกียว! 2 วัน 1 คืน

คราวนี้ขึ้นรถไปลงที่ท่าเรือโมโตมาจิ (Motomachi-ko ป้ายเบอร์ A1) กันค่ะ ใช้เวลาประมาณ 30 นาที ค่ารถ 560 เยน เราจะลงกันที่หน้าอาคารของท่าเรือโมโตมาจิเลย ก่อนจะไปเข้าที่พัก มาเดินไปทางขวามือนิดนึง เราจะเข้าสู่ถนนเลียบทะเลที่ชื่อ Sunset Palm Line ค่ะ มาเดินเล่นชิลๆ ดูพระอาทิตย์ตกดินสวยงามโรแมนติก วันไหนอากาศดีเราจะเห็นภูเขาฟูจิอยู่ไกลๆ ด้วยล่ะ เพราะงั้นอย่าลืมเช็คเวลาพระอาทิตย์ตกดินมานะ!
ส่วนวันที่ผู้เขียนไปเที่ยวเป็นช่วงเดือนกุมภาพันธ์ พระอาทิตย์ยังตกเร็วอยู่ที่ประมาณ 17:20 นี่ล่ะค่ะ
* เนื่องจากเป็นเกาะ บางวันลมทะเลจะแรงมาก ระมัดระวังเรื่องข้าวของด้วยนะคะ

แบบนี้ต้องที่เกาะโอชิมะเท่านั้น! ผ่อนคลายกับออนเซ็น เต็มอิ่มกับมื้อเย็น "สึบากิฟองดูว์"! 

ชวนไปติดเกาะที่โตเกียว! 2 วัน 1 คืน

เดินจากท่าเรือโมโตมาจิประมาณ 10 นาที อาจจะลำบากนิดนึงเพราะต้องเดินขึ้นเนินเนื่องจากกลางเกาะนี้เป็นภูเขานะคะ เราจะมาเจอกับที่พักคืนนี้! โฮเทลชิราอิวะ (Hotel Shiraiwa) ค่ะ!
ห้องที่เราพักวันนี้เป็นห้องแบบ วะโยชิทสึ (Wayou-shitsu) หรือห้องที่มีห้องนั่งเล่นแบบญี่ปุ่น แต่มีเตียงให้นอนแบบตะวันตกค่ะ เป็นห้องที่เหมาะเป็นที่สุดสำหรับคนอยากพักบรรยากาศญี่ปุ่นๆ แต่ไม่ชอบนอนฟูก
เช็คอิน เก็บข้าวเก็บของ นั่งเม้ามอยพักผ่อนสักนิด แล้วเราจะไปเต็มอิ่มกับเมนูที่ตั้งหน้าตั้งตารอคอย! ว่าแล้วก็รีบจ้ำไปห้องอาหารที่ชั้น 2 ของโรงแรมเลย

ชวนไปติดเกาะที่โตเกียว! 2 วัน 1 คืน

เซ็ทอาหารเย็น "สึบากิฟองดูว์" (Tsubaki Fondue) เป็นอาหารที่ขอบอกเลยว่าหากินที่อื่นนอกจากบนเกาะอิซุโอชิมะนี่ยากมากส์!! (เติม s ให้เลย) เพราะเป็นเมนูฟองดูว์น้ำมันที่ทำจาก "น้ำมันดอกสึบากิ" วางตั้งเตาไว้กลางโต๊ะให้ได้ทอดวัตถุดิบพื้นบ้านทานกันสดๆ ร้อนๆ ตรงหน้าเลยจ้า
มีทั้งกุ้ง ปลาหมึก ปลา หรือผักทั้งกระเจี๊ยบ เห็ดหอม หอมหัวใหญ่ และอื่นๆ รวมถึงใบเขียวๆ ที่รองอยู่ข้างใต้ก็คือผักพื้นบ้าน "อาชิตะบะ" ทั้งหมดสามารถนำมาชุดแป้งในถ้วยที่เตรียมไว้ แล้วหย่อนตุ๋มลงทอดในเตาได้เลยจ้า ทอดเสร็จก็นำมาวางไว้รอบๆ เตาเพื่อสะเด็ดน้ำมัน แถมยังช่วยรักษาความร้อนไม่ให้อาหารเย็นเร็วอีกด้วย น้ำมันดอกสึบากิถือว่าเป็นน้ำมันที่ดีต่อสุขภาพ แบบนี้ทานของทอดอร่อยๆ ได้สบายใจเลยค่ะ
แต่ข้อควรระวังก็คือ ... ดอกสึบากิถึงจะทานได้แต่ปกติไม่ทานกันนะจ้ะ

สำหรับใครที่อยากผ่อนคลายสบายๆ ก่อน ตอนเช็คอินก็สามารถแจ้งเวลาที่จะทานมื้อเย็นได้ค่ะ ก็แจ้งช้านิดนึงแล้วไปแช่น้ำในออนเซ็นให้หายเหนื่อยก่อนก็ได้เหมือนกัน
ออนเซ็นของที่นี่เป็นน้ำแร่ธรรมชาติที่มีองค์ประกอบของเกลือค่ะ ถ้าเข้าปากอาจจะรู้สึกเค็มๆ หน่อย มีผลช่วยเรื่องความเหนื่อยล้า โรคข้อ กระตุ้นระบบทางเดินอาหารและการเผาผลาญ และอื่นๆ บ่อแช่น้ำมีทั้งภายในอาคารและภายนอกอาคาร ซึ่งมีการปลูกต้นสึบากิเอาไว้ด้วยค่ะ แถมตัวห้องอาบน้ำยังปูหิน ใช้เก้าอี้และถังไม้ ให้สัมผัสโบราณได้บรรยากาศมาก

ค่าห้องแบบนี้พร้อมอาหารสุดหรูหาทานยาก อยู่ที่ราคา 12,030 เยนต่อ 1 คนค่ะ (ราคาแตกต่างไปตามฤดูกาลและจำนวนผู้เข้าพักต่อห้อง)

วันที่ 2

8:30 ออกเดินทางสู่เมืองท่าที่อบอวลด้วยประวัติศาสตร์และความรู้ "ฮาบุ" (Habu Port)

ชวนไปติดเกาะที่โตเกียว! 2 วัน 1 คืน

ตื่นเช้านิดมาทานอาหารเช้าที่ชั้นสองของโรงแรมซึ่งเป็นอาหารเช้าสไตล์ญี่ปุ่นง่ายๆ มาพร้อมเต้าหู้ทำสดของโรงแรมที่อร่อยจับใจแค่โรยเกลือหรือราดโชยุนิดๆ
หลังจากทานเสร็จ ก็เก็บข้าวของเช็คเอ้าท์ แล้วเดินไปยังท่าโมโตมาจิเพื่อขึ้นรถบัสไปเที่ยวต่อค่ะ
ตอนจะออกจากโรงแรมอย่าลืมเช็คด้วยนะคะว่าวันนี้เรือจะออกจากท่าไหน ไม่งั้นเดี๋ยวไปผิด จะได้ค้างออนเซ็นสบายใจอีกคืนนะ! ที่เคาน์เตอร์จะมีแปะป้ายบอกเอาไว้ แต่ถ้าไม่ทราบก็ถามกับพนักงานได้ค่ะ

ชวนไปติดเกาะที่โตเกียว! 2 วัน 1 คืน

ยืนรอรถบัสที่ป้ายหน้าท่าเรือโมโตมาจิ ซึ่งตรงนี้จะมีป้ายรถถึง 3 ป้าย ให้ยืนรอที่ป้ายริมขวาสุดตามรูปที่จะมีเขียนว่า 波浮港経由 ค่ะ รถที่เรานั่งวันนี้จะเป็นสาย B ไปลงที่ป้าย B25 Habumiharashidai กันก่อนเลยค่ะ ใช้เวลาประมาณ 30 นาที ค่ารถ 660 เยน
วันนี้เราจะเที่ยวชมอีกด้านหนึ่งของเกาะอิซุโอชิมะในฐานะที่เป็นอุทยานธรณี (Geopark) ชั้นดีของญี่ปุ่นแห่งหนึ่งค่ะ

ร่องรอยประวัติศาสตร์ของแผ่นดิน "ภาพตัดขวางชั้นดิน" (Chisou Setsudanmen-zu) 

ชวนไปติดเกาะที่โตเกียว! 2 วัน 1 คืน

ระหว่างทางเราจะผ่านป้ายรถบัสชื่อ Chisou Setsudanmen-zu (B11) บริเวณนี้จะเป็นจุดที่เราเห็นประวัติศาสตร์ของแผ่นดินได้ค่ะ
ฝั่งแผ่นดินเราจะเห็นกำแพงที่เป็นลวดลายการทับซ้อนกันของชั้นดินที่เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟมิฮาระ (Mihara Mountain) ซึ่งกว่าจะซ้อนทับกันได้ขนาดนี้ต้องใช้เวลาเป็นหมื่นปีเลยทีเดียวค่ะ แถมที่นี่ยังมีชื่อเรียกน่ารักๆ ว่าเป็น "เค้กบามคูเฮน" ของเกาะโอชิมะด้วย

ชมวิวอ่าวและท่าเรือประมงฮาบุจากมุมสูง

ชวนไปติดเกาะที่โตเกียว! 2 วัน 1 คืน

ใช้เวลาประมาณ 30 นาทีมาลงรถที่ป้าย Habumiharashidai ลงรถปุ๊บ ข้ามถนนไปอีกฝั่งจะเจอป้ายหินสีขาวขนาดใหญ่อยู่ บริเวณนี้คือจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นเมืองท่าฮาบุพร้อมทั้งอ่าวที่โค้งเว้าเข้ามาในแผ่นดินอย่างสวยงาม อ่าวนี่เองก็เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟมิฮาระเมื่อพันกว่าปีก่อนมาแล้วค่ะ

9:15 ของขวัญจากทะเลแสนสวย พิพิธภัณฑ์เปลือกหอย Palais la Mer

ชวนไปติดเกาะที่โตเกียว! 2 วัน 1 คืน

เดินจากเนินเขาชมวิวลงมาประมาณ 10 นาที เราจะมายังพิพิธภัณฑ์เปลือกหอยที่รวมเอาเปลือกหอยหลากหลายจากทั่วโลกกันค่ะ

ชวนไปติดเกาะที่โตเกียว! 2 วัน 1 คืน

Palais la Mer หรือชื่อญี่ปุ่นคือ Pare Rameeru มีความหมายว่า "ปราสาทแห่งท้องทะเล" มีค่าเข้า 400 เยน
อาคารจัดแสดงที่มีถึงสองชั้นได้เก็บรวบรวมเปลือกหอยจากทุกมุมโลกมาจัดแสดง ซึ่งมีทั้งเปลือกหอยแปลกๆ หายาก และสวยงาม ราวกับเป็นของขวัญจากท้องทะเลเลยทีเดียวค่ะ 
นอกจากเปลือกหอยแล้ว ยังมีฟอสซิลแอมโมไนท์ที่เป็นต้นตระกูลของหอยในปัจจุบัน
ลองมาเดินชม แล้วจะรู้ว่าโลกเรานั้นช่างมหัศจรรย์ที่สัตว์ตัวเล็กที่เราเรียกรวมๆ ว่า "หอย" นั้นแท้จริงแล้วมีสายพันธุ์มากมาย และสร้างเปลือกหอยรูปร่าง สีสัน ต่างๆ ทั้งสวยงามและน่าพิศวง

ใครชอบเปลือกหอย ที่นี่มีเปลือกหอยให้ซื้อติดไม้ติดมือกลับไปประดับบ้านด้วย

10:30 ชมท่าเรือฮาบุ สัมผัสกลิ่นอายเมืองเก่ารอบพิพิธภัณฑ์โอโดริโกะโนะซาโตะ (Odorikonosato Museum)

ชวนไปติดเกาะที่โตเกียว! 2 วัน 1 คืน

เดินออกจากพิพิธภัณฑ์หอยไปตามทางเรื่อยๆ ประมาณ 10 นาทีอีกเช่นกัน เราจะมาถึงบริเวณอ่าวที่มีเรือประมงจอดกันเต็มไปหมดเลยค่ะ พอเดินไปจนสุดทางจะเจอบ้านเก่าๆ เรียงรายอยู่ 

ชวนไปติดเกาะที่โตเกียว! 2 วัน 1 คืน

และเมื่อเดินขึ้นบันไดไปบนเนินจะเป็นพิพิธภัณฑ์โอโดริโกะโนะซาโตะ (Odorikonosato Museum) ซึ่งโด่งดังเพราะเป็นการนำเรียวกังเก่าแก่ของที่นี่มาจัดแสดง เล่าเรื่องราวจากนิยาย "The Dancing Girl of Izu" (Izu no odoriko) วรรณกรรมของนักเขียนรางวัลโนเบลชาวญี่ปุ่น คาวาบาตะ ยาสึนาริ เนื่องจากสถานที่แห่งนี้ก็เป็นฉากในนิยายรักที่ดูอ้างว้างและแสนเหงาของนักศึกษาหนุ่มที่มีอนาคต แต่กลับหลงรักเด็กสาวนักเต้นรำในคณะละครเร่ที่ต่ำต้อย

11:30 ซูชิสดๆ เนื้อเด้งที่มินาโตะซูชิ (Minato Sushi)

ชวนไปติดเกาะที่โตเกียว! 2 วัน 1 คืน

ลงมาจากเนิน ย้อนไปทางป้ายรถบัสนิดนึง จะเจออาคารไม้สีเข้มแขวนป้ายผ้า "โนะเร็น" แบบร้านค้าอยู่ เราก็บุกเข้าไปทานกลางวันกันเลย!
ร้านมินาโตะซูชินี้เป็นกิจการครอบครัวที่ใช้วัตถุดิบของท้องถิ่นในการทำซูชิแสนอร่อย เนื้อเด้งในปากค่ะ ถ้าเป็นช่วงวันหยุดของญี่ปุ่น คนจะเต็มร้านเลย แต่ถ้าเป็นวันธรรมดา แม้จะเป็นตอนกลางวันก็มักจะมีที่นั่งได้สบายๆ 

ชวนไปติดเกาะที่โตเกียว! 2 วัน 1 คืน

เมนูที่สั่งวันนี้มี "เบคโคซูชิ" เมนูซูชิที่ทำจาก "เบคโค" ปลาหมักโชยุพริกของท้องถิ่น เซ็ทละ 1,750 เยน มาพร้อมซุปร้อนๆ
อย่างที่เล่าไปแล้วว่าปลาหมักเบคโคนั้น เรียกได้ว่าสูตรใครก็สูตรใคร แต่ละร้านรสชาติไม่เหมือนกัน เลยขอแนะนำให้มาชิมกันอีกที ขอบอกว่าเบคโคซูชิร้านนี้จะออกกลิ่นหอมพริกแรงกว่าเมื่อวานนิดนึง แต่ไม่เผ็ดแบบอาหารไทยจ้า ไม่ต้องห่วง

ส่วนอีกเมนูคือ "จิซากานะซูชิ" (Jizakana Sushi) เซ็ทซูชิ 9 คำจากปลาที่จับได้ในท้องถิ่น อย่างวันนี้ที่ได้ลิ้มลองไปได้แก่ปลาเมะได คินเมะได โฮโอ หรือ "นาวะคิริ" ในภาษาชาวบ้าน แต่ชื่อจริงคือ "คุโระขิบิ คามาสุ" และอื่นๆ ราคา 1,750 เยน มาพร้อมซุปร้อนๆ เช่นเดียวกัน

เรียกได้ว่า ถ้าอยากลิ้มลองปลาของท้องถิ่น ต้องแวะมาที่นี่!

12:40 เรียนรู้พลังอันยิ่งใหญ่ของธรรมชาติที่ พิพิธภัณฑ์ภูเขาไฟอิซุโอชิมะ (Izuoshima kazan Museum)

กินข้าวกลางวันอร่อยๆ ก็อย่าลืมเช็คเวลารถบัสนะ แล้วเรานั่งกลับมาที่ป้าย B5 Kazanhakubutsukan-mae กันค่ะ ใช้เวลาประมาณ 25 นาที 650 เยน

ชวนไปติดเกาะที่โตเกียว! 2 วัน 1 คืน

ลงจากรถแล้วมองไปฝั่งตรงข้ามจะเห็นทางเข้ากว้างขวางและทางเดินสูงขึ้นไปถึงตัวอาคาร ที่นี่คือ "พิพิธภัณฑ์ภูเขาไฟอิซุโอชิมะ" (Izuoshima kazan Museum) ค่ะ มีค่าเข้า 500 เยน

ชวนไปติดเกาะที่โตเกียว! 2 วัน 1 คืน

ที่นี่บันทึกเรื่องราวของภูเขาไฟมิฮาระที่อยู่กลางเกาะนี้ รวมถึงให้ความรู้เรื่องภูเขาไฟ แสดงหินภูเขาไฟประเภทต่างๆ ที่คนไทยต้องไม่เคยเห็นกันแน่ๆ และยังมีข้อมูลของภูเขาไฟทั่วโลกด้วย
เมืองไทยเราโชคดีที่ไม่มีภูเขาไฟ แต่หากแวะมาที่นี่ เราจะได้รู้จักกับพลังอันยิ่งใหญ่ที่แฝงเอาไว้ในธรรมชาติได้ดีเลยค่ะ

14:50 เดินทางถึงท่าเรือ เตรียมกลับโตเกียว!

การมาติดเกาะของเราก็ใกล้จบลงแล้ว! เสร็จจากพิพิธภัณฑ์ก็กลับไปที่ป้ายรถบัสที่เราลงมากันค่ะ แล้วนั่งรถไปลงยังท่าเรือของวันนั้นๆ ซึ่งสามารถสอบถามได้จากโรงแรม หรือดูจากป้ายที่จะแปะไว้ที่ท่าเรือก็ได้ค่ะ

นั่งรถกลับมายังป้าย B1 ป้าย Motomachi-ko สำหรับท่าเรือโมโตมาจิ ค่ารถ 130 เยน
หรือนั่งมาที่ป้ายท่าเรือโมโตมาจินี่แหละ แต่ต่อรถสาย A ไปยังป้าย A16 Okata-ko สำหรับท่าเรือโอคาตะค่ะ ค่ารถช่วงที่ต่อรถไปท่าเรือโอคาตะอีก 360เยน
รอบๆ ท่าเรือทั้งสองมีร้านขายของฝากอยู่ด้วย ใครมาถึงก่อนเวลาก็แวะช้อปกันชิลล์ๆ ก่อนขึ้นเรือได้เลยค่ะ

ยังไงอย่าลืมเช็คท่าเรือในตอนเช้าที่ออกจากที่พัก และเผื่อเวลาไปที่ท่าเรือให้ทันด้วยนะคะ
อย่างวันที่ผู้เขียนมานั้น ต้องขึ้นเรือกลับตอน 15:10 ที่ท่าเรือโอคาตะ จึงต้องออกจากพิพิธภัณฑ์ตั้งแต่เวลาประมาณ 13:50 เพื่อนั่งรถบัสไปต่อที่ป้าย Motomachi-ko ไปจนถึงป้าย Okata-ko ในเวลาประมาณ 14:50 ค่ะ มีค่ารถทั้งหมด 490 เยน

17:00 กลับสู่ชีวิตคนเมือง

ชวนไปติดเกาะที่โตเกียว! 2 วัน 1 คืน

ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงบนเรือ เราก็จะกลับมาอยู่ที่ท่าเรือทาเคชิบะ ใจกลางโตเกียวอีกครั้ง เป็นอันสิ้นสุดการเดินทางไปติดเกาะที่ได้ทั้งความรู้ ได้เห็นอะไรสวยๆ แถมยังได้ความงามพริ้งกลับมาด้วย! 
ไปติดเกาะที่โตเกียว เที่ยวไม่เหมือนใครแบบนี้ ทั้งสนุก ทั้งคุ้ม จนต้องเก็บไปเม้าท์!!

สรุปการเดินทาง

วันแรก
ท่าเรือทาเคชิบะ → ท่าเรือโอคาตะ → โอชิมะ ฟุรุซาโตะ ไทเคงคัง → ฮามะโนะก้าจังเมชิ → เทศกาลดอกสึบากิที่สวนสาธารณะโอชิมะ → พิพิธภัณฑ์ดอกสึบากิและสวนสัตว์โอชิมะ → ท่าเรือโมโตมาจิและ Sunset Palm Line → โฮเทลชิราอิวะ
วันที่สอง 
โฮเทลชิราอิวะ → พิพิธภัณฑ์เปลือกหอย Palais la Mer → ท่าเรือฮาบุและพิพิธภัณฑ์โอโดริโกะโนะซาโตะ → มินาโตะซูชิ → พิพิธภัณฑ์ภูเขาไฟอิซุโอชิมะ → ท่าเรือโอคาตะ → ท่าเรือทาเคชิบะ

ค่าเดินทางทั้งหมด : ค่าเรือ 14,040 เยน (ราคาเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาล) ค่ารสบัส 2,730 เยน ค่าแท็กซี่ 1,320 เยน (เดินทางสองคนเหลือคนละ 660 เยน)
ใช้จ่ายอื่นๆ : ค่าอาหาร 2,700 เยน (เดินทางสองคน นำค่าอาหารในบทความนี้หารสอง) ค่าที่พักพร้อมอาหารเย็นและอาหารเช้า ราคาประมาณ 12,030 เยน (ราคาแตกต่างกันไปตามแต่ละช่วงเวลา และจำนวนคนเข้าพัก) ค่าของฝาก 250 เยน ค่าเข้าร่วมกิจกรรมผลิตน้ำมันสึบากิ 2,160 เยน ค่าเข้าสถานที่ต่างๆ 900 เยน
รวมค่าใช้จ่ายใน 2 วัน 1 คืน ต่อ 1 คนตามแผน : ประมาณ 35,470 เยน

Supported by Tokyo Convention&Visitors Bureau

บทความโดย

Kogetsu(GREATERTOKYO_Explorer)

สาวไทยในโตเกียว ลัลล้ากับการทำงาน ว่างๆ ก็แว่บไปเที่ยวและชิมของอร่อย สนใจวัฒนธรรมญี่ปุ่น รวมไปถึง Pop culture~♥

more
เนื้อหาในบทความนี้อ้างอิงจากการเก็บข้อมูลในช่วงเวลาที่เขียนบทความ อาจมีการเปลี่ยนแปลงของรายละเอียดสินค้า บริการ ราคาในภายหลังได้ กรุณาตรวจสอบกับสถานที่นั้นอีกครั้งก่อนการไปใช้บริการ
นอกจากนี้ บทความอาจมีลิงก์โฆษณา โปรดพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจซื้อหรือจอง

อันดับ