ทริปสำรวจธรรมชาติและที่เที่ยวลับ 3 วัน ผจญภัยกลางแจ้งในอิบารากิ
จังหวัดอิบารากิเป็นพื้นที่ซึ่งเต็มไปด้วยธรรมชาติอันอุดม เดินทางจากโตเกียวมาได้ง่ายๆ โดยรถยนต์หรือรถไฟ ขอแนะนำเส้นทางเที่ยวทริป 3 วันซึ่งจะพาไปสัมผัสธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ของอิบารากิ ตั้งแต่ศาลเจ้าโออิวะ สะพานแขวนริวจิน น้ำตกฟุคุโรดะ ไปจนถึงเส้นทางปั่นจักรยานอันงดงามที่เชื่อมระหว่างทสึจิอุระกับทสึคุบะ
ทริปสำรวจอิบารากิสุดตื่นเต้น
หากต้องการสัมผัสญี่ปุ่นจริงๆ วิธีหนึ่งที่ดีที่สุดคือเช่ารถขับไปนอกเมืองใหญ่ๆ กัน ประเทศญี่ปุ่นเต็มไปด้วยทิวทัศน์ธรรมชาติสุดประทับใจ และสถานที่ให้ผ่อนคลายรวมทั้งฟื้นฟูจิตใจและร่างกายได้
จังหวัดอิบารากิ (Ibaraki) คือสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งสามารถสัมผัสประสบการณ์ทั้งหมดนี้ได้ อิบารากิเป็นจังหวัดที่กว้างใหญ่ติดทะเล เดินทางจากโตเกียวไปได้ง่ายโดยรถยนต์หรือรถไฟ มีเส้นทางเดินป่า เส้นทางปั่นจักรยาน ทะเลสาบ และสวนสาธารณะ
ตัวอย่างเส้นทางเที่ยวทริป 3 วันนี้จะพาไปรู้จักส่วนหนึ่งของสถานที่ท่องเที่ยวมีเสน่ห์สุดภาคภูมิใจของอิบารากิกัน รวมทั้งกิจกรรมกลางแจ้งที่สนุกเพลิดเพลินในช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง รวมถึงสถานที่พักและร้านอาหารต่างๆ ระหว่างเส้นทางด้วย หยิบใบขับขี่แล้วขับรถออกไปสำรวจกันได้เลย
วันที่ 1 ช่วงเช้า: เดินป่าไปยังศาลเจ้าโออิวะ (Oiwa shrine)
ทริปสำรวจอิบารากินี้เริ่มต้นจากฮิตาจิไปสิ้นสุดที่ทสึจิอุระ หากมาจากโตเกียว ควรเช่ารถจากโตเกียวแล้วขับมาจะดีกว่า เช่ารถเสร็จก็มุ่งหน้าสู่จุดหมายแรกคือศาลเจ้าโออิวะกัน
ศาลเจ้าโออิวะเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่มีประวัติยาวนาน และยังได้รับการกล่าวถึงในฮิตาจิโนะคุนิฟุโดคิ (ปี 721) หนึ่งในวรรณกรรมเก่าแก่ที่สุดของญี่ปุ่น ในบริเวณนี้มีการพบซากปรักหักพังในพิธีกรรมทางศาสนาที่อยู่ในปลายยุคโจมง (กว่า 3,000 ปีก่อน) ในสมัยเอโดะคนของตระกูลผู้ครองแคว้นมิโตะได้มาเยือนศาลเจ้าแห่งนี้ซึ่งเป็นสถานที่ขอพรประจำแคว้น
เมื่อเทียบกับศาลเจ้าอื่นๆ ในญี่ปุ่น ศาลเจ้าแห่งนี้สักการะเทพเจ้าต่างๆ มากมาย โดยมีมากถึง 188 องค์ ในบริเวณศาลเจ้าแห่งนี้ มีศาลเจ้าที่แตกต่างกันถึง 12 แห่ง
บริเวณศาลเจ้าโออิวะได้รับการเรียกขานว่า "จุดรับพลังเสริมดวง" เนื่องจากเต็มไปด้วยพลังงานลึกลับ โดยเฉพาะในบริเวณศาลเจ้าโออิวะซึ่งเป็นฮนเด็น (วิหารหลัก) มีไฮเด็น (วิหารสักการะ) ซึ่งมีรูปปั้นหิน 2 องค์นั้นเป็นวิหารไม้ให้บรรยากาศเคร่งขรึมมากๆ
ซัมบงซุกิ (ขวา) ศาลเจ้าคาบิเระจิงกู (Kabire Jingu Shrine, ซ้าย) ศาลเจ้ากลางป่าลึก
Picture courtesy of Oiwa Shrine
ละแวกศาลเจ้าแต่ละแห่งรายล้อมด้วยต้นสนสูง มีรูปปั้น สระน้ำ โคมไฟ และเครื่องบูชาต่างๆ กระจายอยู่ทั่ว ว่ากันว่าต้นสนเหล่านี้มีอายุหลายร้อยปี
โดยเฉพาะต้นสน 3 ลำต้นซึ่งเรียกกันว่า ซัมบงซุกิ บริเวณใกล้ทางเข้า เป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์อายุกว่า 600 ปี
Picture courtesy of Oiwa Shrine
ละแวกศาลเจ้าไม่ได้มีแค่ทางเดินเล่น แต่บริเวณนี้ยังเหมาะกับการเดินป่าในฤดูใบไม้ผลิหรือฤดูใบไม้ร่วงด้วย
เส้นทางเดินป่าเริ่มต้นจากศาลเจ้าโออิวะไปถึงยอดเขา ใช้เวลาเดินเที่ยวละราว 1 ชั่วโมง โดยเฉพาะโอโมเตะซันโดซึ่งเป็นทางเข้าศาลเจ้านั้นค่อนข้างลาดชัน
ระหว่างเส้นทางมีชั้นดินแบ่งระหว่างยุคแคมเบรียน (500 ล้านปีก่อน) และยุคครีเทเชียส (100 ล้านปีก่อน) เป็นชั้นดินเก่าแก่ที่สุดของญี่ปุ่น ซึ่งบ่งบอกถึงความเก่าแก่ของภูเขาลูกนี้
เนื่องจากต้องเดินผ่านป่า ดังนั้นควรเตรียมรองเท้าที่แข็งแรง น้ำ และเสื้อผ้าที่ให้ความอบอุ่นร่างกายมาด้วย
ยอดเขาโออิวะถือเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ดูขลัง แต่เมื่อขึ้นไปถึงจะได้เห็นทิวทัศน์ธรรมชาติอันงดงามที่แผ่กว้างโดยรอบ
วันที่ 1 ช่วงบ่าย-เย็น: สะพานแขวนริวจิน (Ryujin Big Suspension Bridge)
Picture courtesy of Ryujin Big Suspension Bridge
จากนั้น ขับรถไปทางตะวันตก (ราว 30 นาที) มุ่งหน้าไปยังสะพานแขวนริวจิน ที่นี่สามารถเพลิดเพลินกับทิวทัศน์ที่สวยงาม อาหาร และการเดินป่า สะพานแขวนนี้ยาว 375 เมตร เป็นหนึ่งในสะพานแขวนสำหรับคนเดินข้ามที่ยาวที่สุดในญี่ปุ่น
สำหรับมื้อกลางวัน มีร้านอาหารโมริโนะคาเซะ (Mori no Kaze) อยู่เหนือร้านจำหน่ายของฝาก สามารถลิ้มรสโซบะ อุด้ง และเทโชคุ (อาหารชุด) พร้อมชมทิวทัศน์อันงดงามได้
Picture courtesy of Ryujin Big Suspension Bridge
นอกจากนี้ยังมีเส้นทางเดินป่ายาวซึ่งสามารถสำรวจทะเลสาบและภูเขา พร้อมเพลิดเพลินกับทิวทัศน์อันงดงามจากสะพานแขวนที่ทอดยาวในหุบเขา บางเส้นทางใช้เวลาเดินป่ารวม 3 - 5 ชั่วโมง
หากรู้สึกว่าการเดินป่าเป็นเรื่องยากไปสักหน่อย ก็ลองแวะมาเดินข้ามสะพานแขวนเพื่อถ่ายรูป ชมทิวทัศน์จากความสูง 100 เมตร และเยี่ยมชมริวจินคาริลลอน (Ryujin Carillon) ที่อยู่อีกฟากของสะพานแขวน สังเกตได้จากภาพวาดมังกรขนาดใหญ่ หากจองล่วงหน้า ยังสามารถลองกระโดดบันจี้จัมพ์จากสะพานแขวน หรือพายเรือแคนูในทะเลสาบได้ด้วย
Picture courtesy of Ryujin Big Suspension Bridge
บริเวณนี้ยังมีสถานที่สำหรับทำบาร์บีคิวและตั้งแคมป์ รวมถึงออนเซ็นเรียวกังที่สามารถเพลิดเพลินกับอาหารท้องถิ่น ผ่อนคลายเท้าอันเมื่อยล้า และพักผ่อนในห้องเสื่อทาทามิแสนสบายได้
นอกจากนี้ยังมีออนเซ็นเรียวกังหลายแห่งในไดโกะ (Daiko) พื้นที่ที่จะไปเที่ยวกันในวันที่ 2 ดังนั้นสามารถจองที่พักที่ชื่นชอบ หรือพักค้างคืนได้ด้วย
วันที่ 2 ช่วงเช้า: น้ำตกฟุคุโรดะ (Fukuroda Falls)
หลังจากการเดินป่าในวันแรก วันที่ 2 จะเน้นที่การสำรวจและผ่อนคลาย โดยเริ่มจากการเดินเล่นรอบๆ น้ำตกฟุคุโรดะ
น้ำตกฟุคุโรดะ สูง 120 เมตร กว้าง 73 เมตร น้ำตกจะไหลผ่านโหดหิน 4 ชั้น จึงมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า โยโดะ โนะ ทากิ (แปลว่า น้ำตก 4 ชั้น)
เลข 4 นี้ยังมีความสำคัญยิ่ง เนื่องจากน้ำตกแห่งนี้ขึ้นชื่อเรื่องความงามที่โดดเด่นทั้ง 4 ฤดูกาลซึ่งแตกต่างในแบบฉบับของตัวเอง ได้แก่ ดอกตูมอ่อนและอากาศเย็นสดชื่นในฤดูใบไม้ผลิ, ทิวทัศน์สีเขียวขจีในฤดูร้อน, สีแดงและสีเหลืองทองอันงดงามในฤดูใบไม้ร่วง และน้ำที่กลายเป็นน้ำแข็งในฤดูหนาว
บริเวณนี้ล้อมรอบด้วยทางเดินเล่นและสะพานแขวนขนาดเล็ก
เริ่มจากห้องจำหน่ายตั๋วทางทิศเหนือ ตรงกลางอุโมงค์มีอนุสาวรีย์ที่เรียกว่า ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของคู่รัก เมื่อเดินลอดอุโมงค์ไปก็จะถึงจุดชมวิว 3 ชั้นที่สามารถชื่นชมน้ำตกได้จากมุมต่างๆ
จากจุดนี้ สามารถเดินเลียบแม่น้ำกลับไปที่ร้านจำหน่ายของฝากและลานจอดรถที่ใกล้ที่สุดได้
ร้านอาหารอิตาเลียนตรงทางโค้ง: เพลิดเพลินกับมื้อกลางวันแสนอร่อย
ขอแนะนำร้านอาหารอิตาเลียนราอูล (Raul) เป็นจุดแวะรับประทานมื้อกลางวัน ใช้เวลาขับรถจากน้ำตกนานราว 40 นาที แต่สามารถเพลิดเพลินกับอาหารอิตาเลียนที่ดีที่สุดในอิบารากิได้
คุณราอูล เจ้าของร้านผู้มุ่งมั่นเรียนรู้เคล็ดลับการทำอาหาร ขณะตระเวนทำงานในร้านอาหารต่างๆ ทั่วยุโรป
คุณราอูลใช้จุดเด่นของอาคารดั้งเดิม ผสานกับเตาอบที่ใช้ฟืน สร้างสรรค์บรรยากาศใหม่ที่สบายและผ่อนคลาย เขาหลงใหลความหลากหลายของวัตถุดิบท้องถิ่นในอิบารากิ จึงนำผักสดๆ ในท้องถิ่นมารังสรรค์เป็นมื้อเย็นสุดพิเศษและอาหารเรียกน้ำย่อยที่เปลี่ยนเมนูทุกวัน
ตอนที่ผู้เขียนไปได้ลองชิมพาสต้าซอสโหระพา (Genovese Pasta) และพิซซ่ารูปดาวเมนูแสนอร่อยที่คุณราอูลภูมิใจนำเสนอ ทั้งสองเมนูนี้อร่อยมากๆ พาสต้าโฮมเมดราดด้วยซอสแบบจัดเต็ม และพิซซ่าที่อบมากำลังดี โรยด้วยเบคอนหอมๆ กรอบๅ
อาหารจัดเสิร์ฟพร้อมกับสลัดสุดพิเศษซึ่งใช้ผักที่ปลูกในจังหวัดอิบารากิ เช่น มันเทศและฟักทอง เป็นสลัดอร่อยที่สุดเท่าที่ผู้เขียนเคยลองมาในญี่ปุ่นเลย คุ้มค่าแก่การแวะมาชิมมากๆ
วันที่ 2 ช่วงบ่าย: สำรวจไดโกะมาจิและคาเฟ่ไดโกะสุดมีเอกลักษณ์
จากนั้น ขับรถกลับมาที่ไดโกะมาจิ (Daigomachi) เพื่อค้นหาของฝากและสำรวจประวัติศาสตร์ของเมืองกัน
ย่านนี้อบอวลไปด้วยบรรยากาศเงียบสงบในสมัยโชวะ (ปี 1926 - 1989) ยังมีอาคารเก่าๆ มากมายหลงเหลืออยู่ อย่างศาลเจ้าจูนิโช (Jyunisho Shrine) ที่สวยงามเหมาะกับการถ่ายรูป แต่หากกำลังมองหาสถานที่เพลิดเพลินไปกับบรรยากาศย้อนยุค ขอแนะนำคิจิอัน (Kijian) และไดโกะคาเฟ่ (daigo cafe)
Kijian เป็นแกลอรี่และร้านจำหน่ายเครื่องเขิน ตั้งอยู่ในอาคารเก่าที่สร้างเมื่อปี 1896 และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกชาติด้านวัฒนธรรมที่มีรูปร่าง ภายนอกมีเสน่ห์มากๆ พอๆ กับการตกแต่งภายใน
เครื่องเขินสีดำและสีแดงที่ทำด้วยมืออย่างประณีตสวยงาม สามารถใช้งานที่บ้านได้นาน เหมาะเป็นของฝากจากไดโกะมาจิมากๆ เปิดให้บริการเฉพาะวันเสาร์ถึงวันจันทร์เท่านั้น
จากนั้นก็แวะไปพักที่ daigo cafe ซึ่งตั้งอยู่ในอาคารที่สร้างเมื่อปี 1916 อาคารหลังนี้ก็ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกชาติด้านวัฒนธรรมที่มีรูปร่างเช่นกัน การตกแต่งภายในของคาเฟ่ส่วนใหญ่ตกทอดมาจากเจ้าของคนก่อน โดยบางส่วนได้รับจากคนในท้องถิ่น คาเฟ่มีบรรยากาศอบอุ่นและสบายๆ แถมมีเสียงดนตรีที่ผ่อนคลายและแสงไฟอันอบอุ่น ทำให้รู้สึกสบายจนเผลองีบขณะจิบน้ำชาขึ้นมาก็ได้
คาเฟ่แห่งนี้ให้บริการขนมหวานและอาหารแบบฟูลคอร์ส รวมถึงเมนูที่เปลี่ยนตามฤดูกาล ตอนที่ผู้เขียนไปเก็บข้อมูล ได้ลองลิ้มรสชีสเค้ก พายแอปเปิ้ล โคฉะ (ชาฝรั่งหรือชาดำ) และมัทฉะลาเต้ ของหวานทั้งสองเมนูเสิร์ฟพร้อมแอปเปิ้ลกรอบ ขนมอร่อยที่ผลิตในท้องถิ่น
เมื่อแวะมาที่นี่ อย่าลืมแวะเลือกชมสินค้าที่ร้านค้าเล็กๆ ซึ่งจำหน่ายสินค้าต่างๆ อย่างของฝากที่เป็นของกินและงานหัตถกรรมของท้องถิ่น
วันที่ 2 ช่วงเย็น: พักผ่อนที่ไดโกะออนเซ็น ยามาโซะ (Daigo Onsen YAMIZO)
Picture courtesy of Daigo Onsen YAMIZO
ยามพระอาทิตย์ตกดิน หลังขับรถเลียบไปตามแม่น้ำเป็นระยะทางสั้นๆ ก็จะถึง Daigo Onsen YAMIZO
Picture courtesy of Daigo Onsen YAMIZO
ออนเซ็นเรียวกังน่ารักแห่งนี้ให้บริการห้องพักแบบตะวันตกและแบบเสื่อทาทามิที่สะดวกสบาย รวมทั้งอาหารญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม อาหารปรุงจากวัตถุดิบท้องถิ่น โดยอาหารจานหลักสามารถเลือกเนื้อวัวฮิตาจิวากิว (Hitachi Wagyu Beef) หรือเนื้อไก่โอคุคุจิชาโมะ แบรนด์ไก่พันธุ์ชาโมะ (Shamo Chicken) ของจังหวัดอิบารากิได้ นอกจากยังมีเมนูมาตรฐาน อย่างซาซิมิสดๆ และเท็มปุระ ตลอดจนอาหารที่สร้างสรรค์ให้เข้ากับฤดูกาลต่างๆ ด้วย
ช่วงฤดูใบไม้ร่วงถึงฤดูหนาวยังสามารถเพลิดเพลินกับอ่างอาบน้ำลอยแอปเปิ้ลที่โด่งดังของ Daigo Onsen YAMIZO ซึ่งได้รับการแนะนำในสื่อต่างๆ ออนเซ็นที่อบอวลด้วยกลิ่นหอมจะช่วยให้จิตใจและร่างกายสดชื่น
วันที่ 3 ช่วงเช้า: ปั่นจักรยานบนเส้นทางปั่นจักรยาน Tsukuba Kasumigaura Ring Ring Road
วันสุดท้ายเราจะมุ่งหน้าไปที่ทสึจิอุระ (Tsuchiura) และใช้เวลาทั้งวันสนุกกับการปั่นจักรยาน ดังนั้น สามารถคืนรถเช่าตอนเช้าได้เลย
สามารถเช่าจักรยานได้ที่ Ring Ring Square บนชั้น 1 ของสถานีทสึจิอุระ (Tsuchiura) ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสาขาของบริษัทให้บริการรถเช่าของโตโยต้าและนิสสัน ทางที่ดีควรจองจักรยานไว้ล่วงหน้านะ
ทสึจิอุระเป็นเมืองที่อยู่ติดกับทะเลสาบคาซึมิกาอุระ (Lake Kasumigaura) ซึ่งเป็นทะเลสาบที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของญี่ปุ่น นอกจากนี้ยังเป็นสถานที่ที่เหมาะในการปั่นจักรยาน เนื่องจากมีทางเข้าถึงทั้งเส้นทางเขาทสึคุบะและเส้นทางคาซึมิกาอุระ
จากนี้ ขอแนะนำคอร์สเส้นทางรถไฟทสึจิอุระสายเก่า (Former Tsukuba Railway Course) อันที่จริงทุกเส้นทางล้วนงดงามมากๆ แต่เส้นทางนี้จะสวยงามเป็นพิเศษในฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งเป็นช่วงที่ดอกซากุระบานสะพรั่งตามเส้นทางปั่นจักรยาน และเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับการปั่นจักรยานแบบสบายๆ
เส้นทางยาวรวมราว 40 กิโลเมตร แต่ตั้งเป้าไว้ที่สระโฮโจ (Hojo Pond) เผื่อมีเวลาไม่มากพอก็ดีนะ
วันที่ 3 ช่วงบ่าย: สำรวจธรรมชาติและประวัติศาสตร์ของทสึคุบะ
ก่อนเริ่มต้นออกเดินทางในเส้นทางปั่นจักรยาน สามารถแวะไปชมสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ของทสึจิอุระ อย่างสวนคิโจ (Kijo Park) ซึ่งมีซากปราสาท บริเวณนี้ปั่นจักรยานได้ง่าย และไม่ค่อยมีรถวิ่งสวนกัน
ระหว่างทางสามารถแวะพักที่จุดพักฟูจิซาวะ (Fujisawa Roadside Rest Area) และลานประวัติศาสตร์ซากปราสาทโอดะ (Oda Castle Historic Site) ได้ แม้ปราสาทโอดะจะไม่มีสิ่งก่อสร้างหลงเหลืออยู่ แต่เป็นลานกว้างที่สวยงามซึ่งมีคูน้ำ สระน้ำ และพิพิธภัณฑ์เล็กๆ
เมื่อปั่นถึงสระโฮโจ จะมองเห็นยอดเขาทสึคุบะซึ่งมียอดเขาแฝดอยู่ไกลๆ ที่นี่ยังเป็นจุดที่ต้นซากุระบานสะพรั่งในฤดูใบไม้ผลิ ทำให้บริเวณนี้กลายเป็นสีชมพูสวยมากๆ
ในบริเวณใกล้เคียง ยังมองเห็นลานซากโบราณสถานฮิราซาวะคังกะ (Hirasawa Kanga Remains) ซึ่งว่ากันว่าสร้างขึ้นในช่วงทศวรรษที่ 700
ในบริเวณนี้มีร้านอาหารประเภทเส้นและเทโชคุหลายร้านใกล้ถนนสายหลัก หากปั่นจักรยานต่อไปอีกหน่อยก็ถึงมัตสึยะ เซเม็งโจ (Matsuya Seimen-jo) ซึ่งผลิตและจำหน่ายเส้นโฮมเมด
วันที่ 3 ช่วงเย็น: มุ่งหน้ากลับโตเกียวเหรอ? หรือ...
เส้นทางระหว่างสระโฮโจกับสถานีทสึชิอุระ (Tsuchiura) ยาวราว 23 กิโลเมตร ใช้เวลาปั่นราว 2 ชั่วโมงโดยไม่หยุดพักหรืออ้อม ดังนั้นถ้าแวะพักรวมทั้งรับประทานอาหารกลางวันระหว่างทางราว 1 ชั่วโมงด้วย อาจใช้เวลาไปกลับสระโฮโจรวมราว 5 - 6 ชั่วโมง
จุดเช่าจักรยาน Ring Ring Road รวมทั้ง Ring Ring Square Tsuchiura ปิดทำการเวลา 16.00 น. ดังนั้นอย่าลืมเผื่อเวลาให้มากพอ อย่าปั่นจักรยานเพลินจนเลยเวลานะ
Picture courtesy of Hoshino Resorts BEB5 Tsuchiura
หากต้องการเพลิดเพลินไปกับมนต์เสน่ห์ของอิบารากิอีกสักหน่อย สามารถพักค้างคืนที่ Hoshino Resorts BEB5 Tsuchiura โรงแรมหรูในบรรยากาศสบายๆ เหมาะสำหรับนักปั่นจักรยานได้ หากเช่าจักรยานไว้นานกว่า 1 วัน สามารถนำเข้ามาจอดในโรงแรมหรือที่ห้องพักได้
Picture courtesy of Hoshino Resorts BEB5 Tsuchiura
ที่โรงแรมยังมีกิจกรรมมากมายให้เพลิดเพลิน อย่างกิจกรรมการปั่นจักรยานชมพระอาทิตย์ขึ้นที่โรงแรมจัด ผู้เข้าพักจะได้รับถุงใส่ขนมกับกาแฟ หรือ Fender Bender Smoothie กิจกรรมปั่นจักรยานทำสมูทตี้
เมื่อพร้อมกลับบ้าน สามารถนั่งรถไฟจากสถานีทสึจิอุระกลับโตเกียวได้ง่ายๆ
ไปเพลิดเพลินกับธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ของอิบารากิกัน
หวังว่าตัวอย่างเส้นทางเที่ยวซึ่งมีทิวทัศน์งดงามน่าทึ่งและสถานที่ทางประวัติศาสตร์มากมายนี้ จะจุดประกายความสนใจในอิบารากิให้ ทริปต่อไปลองแวะพักผ่อนที่ฮิตาจิ ไดโกะ และทสึจิอุระในอิบารากิซึ่งเต็มไปด้วยธรรมชาติกัน
อ่านเพิ่มเติมได้ที่
Author:Cassie
Sponsored by Ibaraki Prefecture
บัญชีส่งเสริมการขายของ MATCHA สำหรับการโฆษณาองค์กรและรัฐบาลท้องถิ่น เรามุ่งมั่นที่จะให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านของเราอย่างสนุกสนาน
นอกจากนี้ บทความอาจมีลิงก์โฆษณา โปรดพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจซื้อหรือจอง