Start planning your trip
นิกโก้ไม่ได้มีแค่วัด! ชมธรรมชาติสวยงามและประวัติศาสตร์รอบทะเลสาบชูเซนจิกับน้ำตกเคะกง
เราอาจรู้จักนิกโก้ในฐานะมรดกโลกที่มีวัดโทโชกูอันโด่งดัง แต่รู้ไหมว่าแถวนี้ยังมีธรรมชาติที่สวยงาม และเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่ลึกซึ้งของญี่ปุ่นให้แวะมาชมกันอีกด้วย เราจะพาไปชมรอบๆ ทะเลสาบจูเซนจิ น้ำตกเคะกง และสถานที่ทางประวัติศาสตร์ที่พึ่งเปิดให้เข้าชม
หลายท่านคงรู้จัก "นิกโก้" กันดี เนื่องจากเป็นบริเวณที่ได้รับการยอมรับให้เป็นถึงมรดกโลกจาก UNESCO แต่พอพูดถึงนิกโก้ พวกเรามักจะนึกถึงกันแต่วัดวาอาราม โดยเฉพาะโทโชกูที่เป็นไฮไลท์ของสถานที่นี้
แต่ว่า!! ที่จริงแล้ว นิกโก้ไม่ได้มีดีแค่วัดเท่านั้นหรอกนะคะ!
วันนี้เราจะขอแนะนำเส้นทางชมธรรมชาติสวยงาม และยังมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ในยุครุ่งเรืองของพื้นที่แถวนี้อีกด้วยล่ะ
เราขอเริ่มการเดินทางที่สถานีอาซากุสะในโตเกียว เพราะสถานีนี้มีรถไฟแสนสะดวกสำหรับเดินทางไปนิกโก้อยู่ค่ะ
นั่นก็คือ รถไฟด่วนพิเศษมุ่งตรงไปนิกโก้ของรถไฟสาย Tobu ค่ะ
เมื่อมาถึงอาซากุสะแล้ว ให้มองหาตึกสถานีที่ตั้งเด่นชัดแถวสี่แยกที่ใกล้ๆ วัดเซนโซจิได้เลย
เนื่องจากสถานีอาซากุสะมีสถานีของรถไฟหลายสาย จึงให้สังเกตอาคารสถานีเป็นตึกสูงอยู่บนดินเลย จะหาเจอง่ายที่สุดค่ะ
7:30 นั่งรถด่วนสาย Tobu แสนสบาย ปื้ดเดียวถึงนิกโก้
วันนี้เราออกเดินทางกันแต่เช้า แม้ในสถานีจะมี Tourist Information Center อยู่ แต่ก็จะยังไม่เปิดนะคะ เพราะว่าจะเปิดกันตอน 7:20 เป็นต้นไป ฉะนั้นเราต้องซื้อตั๋วเองจากเครื่องสถานเดียว
ข้อควรระวังก็คือ การซื้อตั๋วรถด่วนแบบ Limited Express นั้น จะต้องซื้อทั้งหมด 2 ใบค่ะ
คือ ตั๋วโดยสารธรรมดา ระยะทางตั้งแต่อาซากุสะถึงสถานีโทบุนิกโก้ (Tobu-Nikko) ราคา 1,390 เยน
สามารถกดซื้อได้จากหน้าจอแรก กดไปที่ราคา 1,390 เยน แล้วสอดเงินได้เลยค่ะ
จากนั้นต้องซื้อตั๋วนั่งรถด่วนอีกใบหนึ่ง โดยการกดที่ปุ่ม Ltd. Exp. Ticket
เลือกวัน สถานีต้นทาง (Asakusa) สถานีปลายทาง (Tobu-Nikko) จากนั้นจะมีรถกับเวลามาให้เลือกค่ะ
เมื่อเลือกรถคันที่จะนั่งได้แล้ว ก็กดเลือกจำนวนคนได้เลยค่ะ
จุดที่ต้องระวังอีกจุดนึงก็คือ ถ้าอยากนั่งด้วยกัน ตอนกดซื้อตั๋วรถด่วนจะต้องซื้อพร้อมกันทีเดียวนะคะ
ซึ่งตั๋วรถด่วนในวันนี้ของเรา ราคาอยู่ที่ 1,340 เยนค่ะ
แปลว่ารวมทั้งหมดแล้ว ค่ารถไฟหนึ่งท่านจะอยู่ที่ 1,390 + 1,340 = 2,730 เยน ค่ะ
แล้วเราก็จะได้ตั๋วมาสองใบแบบนี้ ว่าแล้วก็ลุยเข้าสถานีกันเลย!
วันนี้รถที่เราได้นั่งคือ Limited Express คันที่ชื่อว่า Kegon 5 ค่ะ
ตั๋วรถด่วนของเราจะมีเลขที่นั่งและตู้โดยสารอยู่แล้ว ก็เข้าไปนั่งตามนั้นได้เลยค่ะ
เพราะเป็นรถด่วนที่นั่งระยะยาว ที่นั่งของรถไฟจึงเรียกได้ว่านั่งสบาย หลับได้คาเก้าอี้เลยทีเดียว
หากมาหลายคนจะปรับเก้าอี้ให้หันเข้าหากัน เพื่อเตี๊ยมแผนเที่ยวก็ได้
หรือจะซื้ออาหารเช้าขึ้นมาทาน งีบเอาแรงสักนิดสำหรับคนแพ้ยามเช้าก็ยังได้ค่ะ
9:30 ถึงนิกโก้ ออกเดินทางเที่ยวได้!
ใช้เวลาประมาณเกือบ 2 ชั่วโมง เราก็จะมาถึงนิกโก้กันค่ะ
พอออกจากที่ตรวจตั๋วปุ๊บ เราจะแวะไปที่ Tourist Information Center ที่อยู่ภายในสถานีนั่นเลยเพื่อซื้อตั๋วกันก่อน
ตั๋วที่เราจะใช้วันนี้คือตั๋วที่ชื่อว่า Chuzenji Onsen Free Pass ราคา 2,200 เยนค่ะ
ซึ่งจะใช้ขึ้นลงรถบัสทั้งในบริเวณมรดกโลกไปจนถึงบริเวณทะเลสาบชูเซนจิได้แบบไม่อั้นตลอดเส้นทาง
แถมยังใช้ได้ถึง 2 วันอีกด้วยนะ!!
เรียกได้ว่าคุ้มสุดคุ้ม เพราะค่ารถบัสไปทะเลสาบชูเซนจิแบบจ่ายขาเดียวนั้น ก็ราคา 1,150 เยน เข้าไปแล้วล่ะค่ะ
วิธีการใช้ตั๋วก็แสนง่าย เพียงแค่ยื่นให้คนขับดู ก็เป็นที่เรียบร้อยค่ะ
พอซื้อตั๋วเสร็จ เดินออกมาหน้าสถานี ข้ามถนนตรงหน้า ก็จะเจอป้ายรถบัสอยู่เลย
เราจะไปกันที่ป้ายที่อยู่ด้านนอกสุด 2C for Chuzenji Onsen กัน
สวนอนุสรณ์พระราชวังตากอากาศนิกโก้ ทาโมะซาวะ
(Nikko Tamozawa Imperial Villa Memorial Park)
ก่อนจะถึงทะเลสาบชูเซนจิ เราจะแวะชมสถาปัตยกรรมญี่ปุ่นที่งดงาม แถมยังคุ้มค่าในการแวะสุดๆ
ถามว่าคุ้มยังไง? ต้องลองอ่านดูเลยค่ะ
แวะลงกันที่ป้ายเบอร์ 11 Nikko Tamozawa Goyotei Kinenkoen ค่ะ
ลงป้ายแล้วเดินย้อนแค่นิดเดียว ขวามือเราจะเจอทางเข้าเลย
สวนอนุสรณ์พระราชวังตากอากาศนิกโก้ ทาโมะซาวะ หรือ Nikko Tamozawa Imperial Villa Memorial Park
เป็นอาคารสถาปัตยกรรมแบบญี่ปุ่นที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์และมีสวนสวยๆ ล้อมรอบ ขนาดที่ได้รับการยอมรับให้เป็นหนึ่งในร้อยอุทยานประวัติศาสตร์ของประเทศเลยทีเดียว
จุดเด่นที่น่าสนใจที่ทำไมวันนี้เรามาแวะเวียน และบอกว่าคุ้มค่าสุดๆ ที่มาก็เพราะว่า อาคารแห่งนี้ถูกใช้เป็นที่พักอาศัยของบุคคลสำคัญหลากรูปแบบในแต่ละยุคเป็นเวลาหลายสิบปี ทำให้ภายในกลุ่มอาคารชุดเดียว เราสามารถเห็นรสนิยมของคนแต่ละยุค แต่ละฐานะ ไม่ว่าจะเป็นซามูไรหรือหน่อเนื้อเชื้อพระวงศ์ได้ในที่เดียว!
เมื่อเข้ามาภายในแล้ว ก็ต้องถอดรองเท้าเก็บ และหากใครมีกระเป๋าใบใหญ่ หรือเป้สะพาย จะมีล็อกเกอร์ให้ฝากของด้วย (ตอนเอาของออก ตู้จะคืนเหรียญออกมา) ทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้สัมภาระของเราไปกระแทกโดนสิ่งจัดแสดงในอาคารค่ะ
ภายในอาคารจะมีทั้งนิทรรศการอธิบายความเป็นมาของอาคารแต่ละส่วน ในแต่ละสมัยที่มาประกอบกัน
เริ่มจากการเป็นอาคารเดิมของตระกูลซามูไร ก่อนจะถูกถวายให้กับสมเด็จพระจักรพรรดิเพื่อเป็นสถานที่ตากอากาศตั้งแต่ปี 1899 และหลังจากนั้นจึงได้ตกทอดมาในตระกูลสมเด็จพระจักรพรรดิ์ และมีการต่อเติมอาคารเพื่อใช้งานตามรสนิยมและยุคสมัย และใช้สืบต่อกันมาจนถึงปี 1947 โดยมีสมเด็จพระจักรพรรดิ์และองค์ชายในราชวงศ์มาประทับร่วม 6 พระองค์เลยทีเดียว
เมื่อเดินไปตามทาง เราจะได้ชมอาคารที่มีลักษณะเด่นแตกต่างกันออกไปค่ะ
ภายในอาคารชุดเดียวที่เชื่อมกันหมดนั้น มีทั้งห้องทรงงานที่เป็นสไตล์ญี่ปุ่นผสมกับยุโรป
หรือมีแม้แต่อาคารส่วนที่ยังคงความเป็นญี่ปุ่นอย่างชัดเจนจากยุคซามูไร
สวิตช์ไฟโบราณที่เรียงกันอยู่นี้คงทำให้เราได้รู้สึกถึงประวัติศาสตร์อันยาวนานที่ไหลเอื่อยอยู่ในอาคารแห่งนี้ได้อย่างดีทีเดียวค่ะ
เมื่อเดินชมกันเสร็จแล้วเราก็ออกมายืนรอรถบัสที่ป้ายเดิมค่ะ
เทคนิคในการเที่ยวบริเวณนี้อีกอย่างก็คือ พอลงรถแล้วให้ถ่ายรูปตารางเวลาของรถบัสเอาไว้ค่ะ เนื่องจากจำนวนรถบัสไม่ได้มีบ่อยขนาดนั้น หากมีตารางเวลาติดตัวไว้ เราจะได้กะเวลาเที่ยวถูก ไม่ต้องมายืนรอรอบัสนานค่ะ
หรือใครสะดวก จะเปิดเช็คข้อมูลในเวปไซต์ของ Tobu Bus ก็ย่อมได้
12:00 เติมพลังด้วยปลาเรนโบว์เทราต์ ของขึ้นชื่อของนิกโก้ที่ Chez Hoshino
เรานั่งรถบัสกันต่อมาที่ป้ายเบอร์ 28 Funenoeki Chuzenji ค่ะ
ระหว่างทางเราจะได้ขึ้นเนินเขาที่ชวนมึนที่สุดแห่งหนึ่งอันมีชื่อว่า อิโรฮะซากะ (Irohazaka)
เส้นทางที่มีทางเลี้ยวโค้งเกิน 90 องศาไม่รู้กี่ครั้งนั้น ในฤดูใบไม้ร่วงจะกลายเป็นสีส้มแดงของใบไม้เปลี่ยนสีที่งดงามจนต้องตะลึงเลยล่ะค่ะ
เมื่อมาถึงที่หมายแล้ว ลงมาจะพบทะเลสาบชูเซนจิพร้อมสายลมเย็นสดชื่นเลยทีเดียว!
เราจะข้ามถนนแล้วเดินย้อนกลับนิดนึง จะเจอร้านอาหารบรรยากาศสบายๆ เหมือนอยู่ในบ้านแบบตะวันตก ร้าน "Chez Hoshino"
ภายในร้านนอกจากจะมีบรรยากาศดูอบอุ่นแล้ว ภาพที่ตกแต่งในร้านยังมีการสลับเปลี่ยนตามโอกาส และภายในร้านยังมีเปียโนตั้งอยู่ ซึ่งในบางโอกาสจะมีการจัดคอนเสิร์ตเล็กๆ ในร้านอีกด้วยค่ะ
พูดถึงอาหารขึ้นชื่อของนิกโก้แล้ว หลายท่านอาจจะนึกถึงยุบะ หรือ ฟองเต้าหู้
แต่ท่านใดที่อยากทานอะไรมีเนื้อมีหนังหน่อย "ปลาเรนโบว์เทราต์" หรือ "นิจิมาสุ" เอง ก็เป็นของขึ้นชื่อไม่แพ้กัน
ซึ่งร้าน Chez Hoshino แห่งนี้มีคอร์สอาหารกลางวันที่ใช้ปลาเรนโบว์เทราต์ ปรุงแบบฝรั่งเศส ด้วยการปรุงรสเพียงเล็กน้อย ชุบแป้งเพียงบางๆ ก่อนจะนำไปทอดด้วยเนยจนหอมกรุ่น แต่นุ่มไปจนถึงข้างใน ราดด้วยซอสสูตรพิเศษของทางร้านเอง ในคอร์สยังเสิร์ฟพร้อมซุปประจำวัน ข้าวหรือขนมปัง ของหวาน และชาหรือกาแฟหลังอาหาร
ทั้งหมดนี้ทานได้ในราคาเพียง 2,200 เยน (ยังไม่รวมภาษี) เท่านั้นค่ะ!
13:20 ล่องเรือก่อนเที่ยวชมสถานที่สำคัญรอบทะเลสาบชูเซนจิ
เมื่อทานอาหารเสร็จแล้ว เดินกลับมาบริเวณที่เราลงรถเมล์ ริมทะเลสาบจะมีอาคารหนึ่งตั้งอยู่ ที่นั่นคือจุดขายตั๋วและท่าเรือสำหรับล่องทะเลสาบชูเซนจิค่ะ
สำหรับคอร์สในการล่องเรือนั้นมีด้วยกันหลายคอร์ส วันนี้เราจะมานั่งเรือจากจุดที่เราอยู่ คือ Funenoeki ไปลงที่ Tachiki Kannon ราคา 1,240 เยนต่อท่าน ใช้เวลาประมาณ 50 นาทีกัน
สามารถซื้อตั๋วกับคนขายก็ได้ หรือจากตู้ขายอัตโนมัติก็ได้เหมือนกันค่ะ
ในเรือมีที่นั่งสะดวกสบาย มีห้องน้ำ และมีที่นั่งในตัวเรือถึงสองชั้น ส่วนชั้นบนสุดจะเป็นดาดฟ้าเรือที่ไปชมวิวได้เช่นกัน
ลมแรงพอสมควร ใครถือของอะไรต้องระวังนิด แต่อากาศดี เย็นสบายมากค่ะ
ระหว่างทางจะมีเสียงอธิบายสองข้างทางเป็นภาษาญี่ปุ่นและอังกฤษตลอด
และเรือลำนี้มีการจอดที่ท่าเรืออื่นด้วย ระมัดระวังอย่าลงผิดที่กันนะคะ
ที่อยู่
2478 Chugushi, Nikko, Tochigi
เวลาทำการ
9:00 - 17:00
บริการwifi
ไม่ได้
ประเภทของบัตรเครดิต
ไม่ได้
ภาษาที่รับ
ญี่ปุ่น อังกฤษ (เครื่องขายตั๋วอัตโนมัติ)
เมนูภาษาอื่น
อังกฤษ
สถานีใกล้ที่สุด
ป้ายรถบัส Funenoeki Chuzenji
วีธีการเดินทาง
นั่งรถบัสที่วิ่งไป Chuzenji Onsen ลงที่ป้าย Funenoeki Chuzenji
ราคา
แล้วแต่ระยะทางที่นั่ง ตั้งแต่ 600 -1,250 เยน
เบอร์โทรศัพท์
0288-55-0360
HPทางการ
http://www.chuzenjiko-cruise.com/
สัมผัสชีวิตท่านทูตที่สวนอนุสรณ์บ้านพักตากอากาศราชทูตจากตะวันตก
เมื่อลงเรือที่ท่า Tachiki Kannon แล้ว เดินเล่นเลียบริมน้ำมาทางขวามือเรื่อยๆ ราวๆ 10 นาที
เราจะพบกับสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์แห่งใหม่ที่พึ่งเริ่มเปิดให้เข้าชมกันในปี 2016 นี้เอง นั่นคืออนุสรณ์บ้านพักตากอากาศของทูตจากชาติตะวันตกค่ะ
ในสมัยก่อนนั้น บริเวณรอบทะเลสาบชูเซนจิถือว่าเป็นทำเลที่สะดวก แถมยังสวยงาม อากาศดี อากาศไม่ร้อนมากในหน้าร้อน ฤดูใบไม้ผลิก็มีดอกไม้สวยๆ ฤดูใบไม้ร่วงก็มีใบไม้แดงงามๆ ทำให้เป็นที่นิยมในหมู่ท่านทูตชาวตะวันตกที่จะมาสร้างบ้านพักตากอากาศเอาไว้ค่ะ
จนมีคำกล่าวกันว่า "ย้ายกระทรวงต่างประเทศมาไว้ที่ทะเลสาบชูเซนจิ" เลยทีเดียว
โดยที่แรกที่เราจะเจอก็คือ สวนอนุสรณ์บ้านพักตากอากาศราชทูตอังกฤษ (British Embassy Villa Memorial Park)
สวนอนุสรณ์บ้านพักตากอากาศราชทูตอังกฤษ (British Embassy Villa Memorial Park)
ที่แรกที่เราจะเจอคืออาคารสีเข้มริมทะเลสาบ มีหน้าต่างบานใหญ่รับลมและแสงอาทิตย์ได้ดี
ที่นี่เป็นบ้านพักตากอากาศเก่าของ Ernest Satow นักการทูตอังกฤษคนสำคัญในการปฏิรูปเมจิ (1868 – 1912) และได้รับการบูรณะขึ้นเพื่อเปิดให้คนรุ่นหลังได้รับชม
ภายในจัดแสดงข้าวของในสมัยนั้น และประวัติของนักการทูตคนนี้เอาไว้ค่ะ
ทั้งยังมีที่นั่งหันหน้าเข้าหาทะเลสาบให้ได้นั่งพักผ่อนกันให้สบายใจด้วย
ส่วนชั้นสองนั้นมีร้านกาแฟที่จะสั่งอาหารเครื่องดื่มง่ายๆ บางครั้งยังมีการแสดงดนตรีคลาสสิคสดอีกด้วย
มาลองจิบน้ำชายามบ่าย ดูดีมีสไตล์แบบผู้ดีอังกฤษ ก็ได้บรรยากาศไม่เลวเลยล่ะค่ะ!
สวนอนุสรณ์บ้านพักตากอากาศราชทูตอิตาลี (Italian Embassy Villa Memorial Park)
เดินไปตามทางต่อจากสวนอนุสรณ์บ้านพักตากอากาศราชทูตอังกฤษอีกประมาณ 5 นาที คราวนี้เราจะเจออาคารไม้ที่มีลวดลายสีสลับสวยงาม
ที่นี่คือ สวนอนุสรณ์บ้านพักตากอากาศราชทูตอิตาลีซึ่งได้รับการบูรณะขึ้นเช่นกัน
ภายในจัดแสดงข้าวของ ความเป็นอยู่ของสมัยก่อน ตั้งแต่ห้องรับแขก ห้องทำงาน ไปจนถึงห้องนอนเลยทีเดียว
และที่นี่ก็มีที่นั่งพักหันหน้ารับลมไปทางทะเลสาบเหมือนกันค่ะ รวมถึงมีร้านกาแฟเล็กๆ ให้บริการที่ห้องริมสุดของอาคารด้วย
ที่นี่น่าสนใจอีกอย่างคือที่นี่มีทางเดินสั้นๆ เข้าไปในทะเลสาบที่ด้านหน้าอาคารซึ่งถูกใช้เป็นท่าเทียบเรือค่ะ
ไปยืนรับลม ชมวิวตรงนั้นก็สวยไม่หยอกเลยล่ะ
สำหรับค่าเข้าชมทั้งสองที่นั้นราคาที่ละ 200 เยน แต่ถ้าซื้อตั๋วสำหรับเข้าทั้งสองที่แบบเซ็ท จะเหลือราคาเพียง สองที่ 300 เยนเท่านั้นค่ะ
16:20 ชมพลังของธรรมชาติที่น้ำตกเคะกง
เมื่อหย่อนใจในสไตล์ท่านทูตกันเสร็จแล้ว เรามาเดินย้อนกลับไป
หากย้อนไปจนถึงท่าเรือ เราสามารถนั่งเรือกลับไปที่ Funenoeki แล้วต่อรถบัสไปที่เป้าหมายต่อไปของเราได้
หรือไม่อย่างนั้นก็สามารถเรียกรถแท็กซี่จากบริเวณถนนเมื่อเดินเลยสวนอนุสรณ์บ้านพักตากอากาศราชทูตอังกฤษค่ะ
ใครที่มาด้วยรถบัส ให้ลงที่ป้าย 26 Chuzenji onsen แล้วเดินมานิดนึงจะเจอร้านขายขนม ของฝาก และทางเข้าลิฟท์ไปน้ำตกค่ะ
น้ำตกเคะกง (Kegon no taki) โด่งดังที่เป็นน้ำตกสูง ตกลงมาสายเดียว และได้รับการบรรจุเป็นหนึ่งในร้อยสุดยอดน้ำตกของญี่ปุ่นค่ะ
สำหรับวิธีการไปชมนั้นจะมีลิฟท์ให้ลงไปดูความสวยงามในความสูงพอเหมาะค่ะ
แม้ว่าด้านข้างของสถานีลิฟท์จะมีที่ให้ชมฟรีอยู่ แต่เราขอแนะนำให้ลงลิฟท์ไปดู เพราะว่าสวยงามกว่าจริงๆ ค่ะ
เมื่อลงลิฟท์มา อากาศจะค่อนข้างเย็น เพราะมีละอองน้ำจากน้ำตก
จุดนี้จะมีที่ให้ชมวิวสองชั้นด้วยกันค่ะ ค่อยๆ เดินชม ถ่ายรูปกับน้ำตกเป็นที่ระลึกได้
ใครรู้สึกหนาวๆ ก็สามารถซื้อนมอุ่นๆ จิบไปพลางยืนชมความงามของธรรมชาติได้ด้วยค่ะ
และแน่นอนว่าในฤดูใบไม้ร่วง น้ำตกสวยๆ แห่งนี้จะถูกประดับประดาด้วยใบไม้สีสดใส ให้ความสวยงามไปอีกแบบด้วย
เรียกว่าจะมาฤดูไหน ก็ตื่นตาตื่นใจทั้งนั้นเลยล่ะ!
เมื่อขึ้นลิฟท์กลับขึ้นมา เราก็เตรียมตัวกลับสถานีโทบุ นิกโก้กันค่ะ
บริเวณรอบๆ นี้มีร้านขายของฝากและขนมอยู่ด้วย ระหว่างที่รอรถอยู่ก็สามารถแวะช้อปปิ้งกันได้
พูดถึงของขึ้นชื่อแถวนี้ก็มีฟองเต้าหู้ ซึ่งรอบๆ นี้ก็มีร้านขายซาลาเปาไส้หมูผสมฟองเต้าหู้ หรือ โครอกเกะ (มันและหมูบดชุบแป้งทอด) ผสมฟองเต้าหู้
นอกจากนี้ก็ยังมี นมรสเลมอน ที่มีขายทั้งนมเป็นกล่อง และทำเป็นไอศครีมโคนให้ลองทานค่ะ
แต่ที่จะแนะนำอีกอย่างคือไอศครีมแบบซอฟท์ครีม ราดซอสสตรอเบอรี่สูตรพิเศษของทางร้านขนมและของฝาก Restuarant Nikko ในเครือโรงแรม Kojoen ที่อยู่ด้านหน้าใกล้กับถนนค่ะ
เพราะจังหวัดโทจิกิที่นิกโก้ตั้งอยู่นั้นก็ดังด้านสตรอเบอรี่ด้วย
แบบนี้มีเหรอที่คนไทยจะอดใจไหว!
ซอฟท์ครีมหอมๆ เย็นๆ กับซอสพร้อมสตรอเบอรี่เป็นลูกๆ ถ้วยนี้ ราคาเพียง 350 เยนเท่านั้่นค่ะ
18:30 เตรียมกลับโตเกียวที่สถานี Tobu-Nikko
เมื่อซื้อของ ทานขนมเสร็จแล้ว เดินมาจนถึงถนน แล้วข้ามถนนไปฝั่งตรงข้าม เดินไปทางซ้ายมือนิด ป้ายรถเมล์จะอยู่หน้าแถบร้านอาหารและของฝากค่ะ
หากเดินไปผิดทางจะเจอปั๊มน้ำมัน ให้เดินกลับมาอีกข้างนะคะ
พอเราขึ้นรถปุ๊บ ที่เหลือก็แค่นั่งยาวจนถึงสถานีโทบุ นิกโก้อีกครั้งค่ะ
สำหรับตั๋วขากลับโตเกียวนั้น ก็ยังต้องซื้อสองใบ ใช้วิธีการเหมือนตอนเช้าเลย
แต่ในบางเวลาอาจจะไม่มีรถด่วนวิ่งจากสถานีโทบุ นิกโก้นะคะ
ถ้าหากกดไปแล้วไม่มีเวลาที่ต้องการ เราสามารถซื้อตั๋วรถด่วนจากสถานี ชิโมะอิมาอิจิ (Shimo-Imaichi) ได้ค่ะ
แล้วนั่งรถแบบธรรมดาจากโทบุ นิกโก้ ไปลงเพื่อต่อรถด่วนที่สถานี ชิโมะอิมาอิจิ
แต่หากซื้อตั๋วแบบนี้ ต้องระมัดระวัง เช็คเวลารถจากสถานีโทบุ นิกโก้ ไปถึงสถานีชิโมะอิมาอิจิ โดยเผื่อเวลาต่อรถเอาไว้ด้วยนะคะ
สำหรับงานนี้เราพาเที่ยวนิกโก้หนึ่งวันในโซนธรรมชาติกัน
แต่ตั๋ว Chuzenji Onsen Free Pass ของเรานั้น จริงๆ แล้วใช้ได้ถึงสองวันค่ะ
ฉะนั้นหากเพื่อนๆ คิดว่าไหนๆ ก็มาแล้ว อยากเที่ยวให้คุ้ม หรืออยากเที่ยวโซนมรดกโลกด้วย ก็สามารถหาที่พักค้างคืน แล้วใช้พาสอันนี้เที่ยวในวันต่อไปได้เลยค่ะ
หรือนอกจากนี้ทาง Tobu เองยังมีตั๋ว Free Pass อื่นๆ ที่น่าสนใจอีกนะคะ
ถ้าเป็นโซนนิกโก้ ตั๋วที่น่าสนใจอีกอย่างก็คือ NIKKO ALL AREA PASS ที่ครอบคลุมทุกบริเวณของนิกโก้ ไม่ว่าจะเป็น โซนมรดกโลก โซนธรรมชาติริมทะเลสาปที่เราพามาชมในบทความนี้ ไปจนถึงบริเวณคินุกาวะออนเซ็นด้วยล่ะ! ตั๋วแบบนี้ใช้งานได้ถึง 4 วัน 3 คืนเลยทีเดียว
ใครอยากมาเก็บทุกประสบการณ์ของนิกโก้ เรียกได้ว่าตั๋วนี้แหละ เหมาะซะยิ่งกว่าเหมาะอีก!
สำหรับข้อมูลตั๋วต่างๆ สามารถเข้าไปชมได้ที่เวบไซต์ภาษาไทยของ Tobu Railway เลยค่ะ
ใครอยากเช็คเส้นทางที่เที่ยวก่อนว่าคุ้มจะซื้อตั๋วแบบไหน ลองดูเวบไซต์ของ Tobu Bus ประกอบได้เลยนะ
เที่ยวนิกโก้ ไม่ได้มีดีแค่มรดกโลกเท่านั้น
หากครั้งหน้าเพื่อนๆ มาเที่ยวนิกโก้ ลองเผื่อเวลามาเที่ยวชมบริเวณนี้กันบ้างนะคะ
สรุปการเดินทาง
สถานีอาซากุสะ → สถานีโทบุ นิกโก้ → สวนอนุสรณ์พระราชวังตากอากาศนิกโก้ ทาโมะซาวะ → ร้านอาหาร Chez Hoshino → ล่องทะเลสาบชูเซนจิ → สวนอนุสรณ์บ้านพักตากอากาศราชทูตอังกฤษ→ สวนอนุสรณ์บ้านพักตากอากาศราชทูตอิตาลี → น้ำตกเคะกง → สถานีโทบุ นิกโก้ → สถานีอาซาคุสะ
ระยะเวลาเดินทางโดยรถไฟจากสถานีอาซากุสะุถึงสถานีโทบุ นิกโก้ ประมาณ 2 ชั่วโมง
ค่าเดินทางทั้งหมด : ค่ารถไฟไปกลับจากสถานีอาซากุสะถึงสถานีโทบุ นิกโก้ 5,400 เยน, Chuzenji Onsen Free Pass ราคา 2,200 เยน ค่าล่องเรือ 1,150 เยน และค่าแทกซี่ไปน้ำตกเคะกงประมาณ 730 เยน
ใช้จ่ายอื่นๆ : ค่าอาหาร 2,376 เยน ค่าเข้าชมสถานที่ต่างๆ รวม 1,360 เยน ค่าขนม 350 เยน
รวมค่าใช้จ่ายใน 1 วัน/1 คนตามแผน : ประมาณ 13,366 เยน
Supported by TOBU Railway Co., LTD.
สาวไทยในโตเกียว ลัลล้ากับการทำงาน ว่างๆ ก็แว่บไปเที่ยวและชิมของอร่อย สนใจวัฒนธรรมญี่ปุ่น รวมไปถึง Pop culture~♥
นอกจากนี้ บทความอาจมีลิงก์โฆษณา โปรดพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจซื้อหรือจอง