Start planning your trip
จากความเคลื่อนไหวสู่ความสงบนิ่ง : ทริป 3 วันจากกรุงโตเกียวสู่อิวาเตะ !
แม้ชื่อ "อิวาเตะ (Iwate)" อาจยังไม่คุ้นหูชาวไทยแต่ถ้าใครเป็นกูรูญี่ปุ่นตัวจริงต้องรู้จักชื่อนี้ดีในฐานะเมืองในฝันเพราะ "อิวาเตะ" มีทั้งธรรมชาติที่งดงามอย่าง "เกบิเคย์ (Geibikei)" ไปจนถึงมรดกโลกอายุเก่าแก่กว่าพันปีอย่าง "วัดชูซอนจิ (Chusonji)"
คำกล่าวที่ว่า "มาญี่ปุ่นกี่ครั้งก็ไม่เบื่อ" คงจะไม่เกินจริงเพราะประเทศนี้มีทั้งเมืองใหญ่ที่แสนคึกคักจนถึงเมืองต่างต่างจังหวัดที่เงียบสงบ
ยิ่งกว่านั้น ญี่ปุ่นยังมี 4 ฤดูกาลทำให้บรรยากาศของแต่ละเมืองแตกต่างกันทุกๆ สามเดือน !
และการเดินทางครั้งนี้ก็เริ่มที่กรุงโตเกียว
จากเมืองหลวงที่ไม่เคยหลับไหล...
สู่การล่องเรือใต้หุบเขาและการชมวัดเก่าแก่อายุพันปีที่เมือง "อิวาเตะ (Iwate)"
การเดินทางใช้เวลาเพียงสามวันด้วยรถไฟชิงคันเซนและ JR East Pass !
วันแรก
8.30 คิจิโจจิ (Kichijoji) : เขตที่น่าอยู่ที่สุดในโตเกียว !
ไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่เขต "คิจิโจจิ (Kichijoji)" เคยได้รับการโหวตจาก Recruit Sumai และอีกหลายสำนักว่าเป็น "เขตที่น่าอยู่ที่สุดในกรุงโตเกียวและในภูมิภาคคันโต" เพราะที่นี่มีครบครันทั้งสวนสาธารณะขนาดใหญ่ชื่อ "สวนอิโนคาชิระ (Inokashira Park)" ไปจนถึงห้างสรรพสินค้าและแหล่งชอปปิ้งอยู่หน้าสถานี
นอกจากนี้ คิจิโจจิยังเป็นที่ตั้งของ "สวนสัตว์อิโนคาชิระ (Inokashira Zoo)" อีกด้วย
แม้ชื่อจะดูไม่คุ้นเท่าไรแต่ถ้าบอกว่า "มันคือสวนสัตว์ที่มีช้างฮานาโกะ (Hanako)" ละก็ คนไทยคงต้องร้อง "อ๋อ" กันเลยทีเดียว
น่าเสียดายที่ฮานาโกะได้จากพวกเราชาวไทยและชาวญี่ปุ่นไปแล้วหลายปี...
แต่ถ้าใครแวะมาคิจิโจจิก็ยังจะเห็นอนุสาวรีย์ช้างฮานาโกะอยู่ด้านหน้าสถานี และอาจได้เห็นคุณลุงคุณป้าชาวญี่ปุ่นมานั่งพักข้างๆ รูปปั้นด้วยความคิดถึง
นอกจากนี้ ที่คิจิโจจิก็ยังมี "พิพิธภัณฑ์จิบลิ (Ghibli Museum)" ตั้งอยู่ไม่ไกล
เรียกได้ว่า ไม่ว่าจะมาคิจิโจจิด้วยเหตุผลใด ที่นี่ก็มีให้ครบทุกอย่าง
โดยเฉพาะใครที่สนใจแฟชั่นแนวสตรีท (Street Fashion) หรืองานศิลปะฝีมือคนรุ่นใหม่
คิจิโจจิคือสถานที่ที่ "พลาดไม่ได้" สำหรับการมาเที่ยวโตเกียวครั้งต่อไป !
หลังจากเดินชมเมืองชมสวนจนทั่วก็ต้องแวะทานมื้อใหญ่ที่ร้านคิชโช คิจิโจจิ (Kissho Kichijoji) ข้างสถานีที่มีชุด Steak เนื้อขึ้นชื่อสุดชุ่มฉ่ำ
หรือถ้าผ่านมาช่วงเที่ยงก็อาจจะสั่ง "ชุดอาหารกลางวัน" ในราคาแค่พันเยนนิดๆ ก็ได้
12.30 ชิบุยะ (Shibuya) : ห้าแยกแห่งความคึกคักและน้องหมาผู้ซื่อสัตย์
การเดินทาง : รถไฟสายเคย์โออิโนคาชิระ (Keio Inokashira) จากสถานีคิจิโจจิใช้เวลา 15 นาทีในราคา 200 เยน
ใครที่เพิ่งเคยมาโตเกียวครั้งแรกอาจไม่เข้าใจว่าทำไมเราจะต้องมาถึงชิบุยะเพียงเพื่อดู "คนข้ามถนน !"
แต่เมื่อได้มาเห็นด้วยตาตัวเองจะเข้าใจ...
เพราะ "ห้าแยกชิบุยะ (Shibuya Crossing)" ทั้งใหญ่ทั้งเต็มไปด้วยผู้คนมากมายมหาศาลที่ "ข้ามถนนพร้อมกัน" ด้วยหน้าตามุ่งมั่นและก็เป็นเรื่องมหัศจรรย์ที่ทุกคนไม่ยักชนกันเอง (ดังนั้นถ้าเห็นใครยืนงงๆ หรือเดินเงอะๆ งะๆ บนแยกนี้ก็รู้ได้ทันทีว่าเป็น "นักท่องเที่ยว" แน่ๆ)
สำหรับใครที่อยากเก็บภาพมุมสวยๆ ของห้าแยกแห่งนี้ก็ขอแนะนำว่าให้ถ่ายจากด้านบนเช่นจากร้านกาแฟสตาร์บัคส์ชั้นสองของตึก QFront หรือไม่ก็จากห้างชิบุยะฮิคาริเอะ (Shibuya Hikarie)
อีกหนึ่งจุดสนใจในย่านนี้ก็คงไม่พ้นรูปปั้นน้องหมา "ฮะจิโค (Hachiko)" ที่ยืนรอเจ้าของอยู่หน้าสถานีชิบุยะจนถึงวันสุดท้ายของชีวิต
(และบางทีก็มีน้องแมวมานอนข้างๆ กันด้วย !)
หลังถ่ายรูปเสร็จหากยังมีเวลาก็น่าจะลองเดินชมบรรยากาศรอบๆ ต่ออีกสักชั่วโมงเพราะชิบุยะถือว่าเป็น "ดินแดนแห่งแฟชัน" ที่ "ล้ำสุด" ของโตเกียว ของญี่ปุ่นและของเอเชียเลยก็ว่าได้ !
นอกจากนี้ที่ชิบุยะก็ยังเต็มไปด้วยร้านขนม ร้านอาหารจนถึงคาเฟเก๋ๆ และผับบาร์เท่ๆ แทบจะทุกมุม แถมด้วยร้านค้ามากมายให้ช้อปกันกระจายไปเลย
14.30 สวนสาธารณะชินจุกุเกียวเอน (Shinjuku Gyoen) : หลบความวุ่นวายในเมืองใหญ่สู่สวนพฤกษศาสตร์
การเดินทาง : รถไฟสายยามาโนเตะที่วิ่งเป็นวงกลมรอบกรุงโตเกียวใช้เวลาเพียง 7 นาทีในราคา 160 เยน
ไม่น่าเชื่อว่าใจกลางเมืองติดสถานีชินจุกุจะมี "สวนสาธารณะ" ใหญ่ในพื้นที่เกือบ 6 แสนตารางเมตร !
แรกเริ่มเดิมทีสวนแห่งนี้เป็นเขตพระราชฐาน (The Imperial Garden) และเพิ่งจะเปิดให้แก่สาธารณชนเข้าใช้เมื่อปี 1949 นี่เอง
ภายในสวนแห่งนี้ยังมีสวนย่อยๆ ที่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดีไม่ว่าจะเป็น "สวนหินแบบญี่ปุ่น" หรือ "สวนดอกไม้ฝรั่งเศส" และ "เรือนกระจกเขตร้อน" ที่เต็มไปด้วยต้นไม้แปลกตานานาพันธุ์
ใครที่มาชินจุกุจนเบื่อหรือเหนื่อยจากการซื้อเสื้อผ้ารองเท้าก็อาจแวะมานั่งมองท้องฟ้าและกลิ้งไปมาพื้นหญ้าสีเขียวแทนได้
ยิ่งถ้าใครมาสวนแห่งนี้ในฤดูใบไม้ร่วงก็จะได้เห็นใบไม้เปลี่ยนสีสวยๆ ละลานตา
และในฤดูใบไม้ผลิก็มีซากุระกว่า 1100 ต้นให้ชม
ค่าบัตรผ่านประตูสวนแบบ "ดูได้ทุกจุด" ก็แค่ 200 เยนเท่านั้น
โรงแรมแนะนำใกล้ชินจูกุ เกียวเอ็น
17.30 Central Tokyo Hotel : พักสบายๆ ใจกลางชินจูกุ !
การเดินทาง : ที่พักของเราคืนนี้อยู่ใกล้สถานีในระยะเดินเพียง 3 นาที (480 m) จากสถานีชินจูกุเท่านั้น!
เรียกว่าสมชื่อ "Central Tokyo" จริงๆ
และข้างโรงแรมก็ยังมีร้าน "ดองกี้โฮเต้" ที่ขายของสารพัดสิ่งตลอด 24 ชั่วโมงยอดนิยมของนักท่องเที่ยวอีกด้วย
ขยับไปนิดก็มีร้าน "บิ๊กคุโระ (BicQlo)" ที่รวมเอาร้านขายสินค้า IT ชื่อดังอย่าง "บิ๊กคาเมรา (BicCamera)" เข้ากับร้านเสื้อผ้ายอดนิยมของคนไทยอย่าง "ยูนิโคล (UniQlo)" เป็นตึกใหญ่ขนาด 8 ชั้น !
ใครลืมข้าวของ เสื้อผ้าไม่พอ หรืออยากหาซื้อของฝากเอาไว้เลย ก็สามารถช้อปได้อย่างแสนสบาย
สำหรับอาหารเย็นวันนี้ก็ขอแนะนำ "ซูชิมามิเระ (Sushi Mamire)" ที่เป็นร้านซูชิจานหมุนง่ายๆ สบายๆ ในราคาไม่แพงนัก
หากใครมาเดี่ยวก็อาจนั่งหน้าสายพานเลยเพื่อความสนุกสนานแต่ถ้าใครมาเป็นกลุ่มใหญ่ก็อาจสั่ง "ชุดปลาดิบซาชิมิ" สักหนึ่งที่แล้วเพิ่มข้าวปั้นเป็นคำๆ ของใครของมันก็ได้ !
นอกจากนี้ ที่ซูชิมามิเระ (Sushi Mamire) ก็ยังมีเมนูอื่นๆ เช่นของทอดของย่างให้เลือกมากมาย
และสาขานี้ก็ยังเปิด 24 ชั่วโมงอีกต่างหาก !
ถ้าใครยังไม่เหนื่อยจากการเดินชมเมืองก็อาจออกไปตระเวณราตรีในย่านแสงสีแถว "คาบูกิโจ (Kabukicho)" ซึ่งมีร้านรวงตอนกลางคืนมากมายโดยเฉพาะร้านอาหารและร้านเหล้า
หรือจะเดินหามื้อดึกทานใน "โกลเดนไก (Golden Gai)" และ "โอโมอิเดะโยโคโจ (Omoideyokocho)" ถนนเส้นสั้นๆ เต็มไปด้วยร้านอาหาร อยู่ใกล้สถานีชินจูกุ ที่นี่ให้บรรยากาศราวกับย้อนกลับไปสมัยสงครามโลกครั้งที่สองเลยเชียวล่ะ
วันที่ 2
6.30 Tokyo Station : การเดินทางแสนสะดวกด้วย JR East Pass !
การเดินทาง : ด้วยรถไฟ JR สายชูโอ (Chuo) ใช้เวลา 12 นาทีในราคา 200 เยน
สถานีโตเกียวถือเป็นจุดเชื่อมต่อใหญ่สำหรับใครที่อยากเดินทางไปต่างจังหวัดแถมตัวสถานีเองก็ยังมีอะไรให้เดินชมเยอะมากตั้งแต่โครงสร้างเชิงสถาปัตยกรรมแบบ "ตึกแดง (Red Brick)" และเพดานสูงดูคลาสสิคที่ตัวอาคารด้านหน้า อาคารนี้ผ่านวันเวลามายาวนานกว่าร้อยปีแน่ะ (สถานีโตเกียวก่อสร้างเมื่อปี 1914 !)
นอกจากนี้ในสถานียังมีร้านค้า ร้านอาหารมากมายอีกด้วย
ใครที่มีเวลาเหลือเฟือระหว่างรอก็อาจเดินชมตัวตึกและพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์การรถไฟในญี่ปุ่นไปเรื่อยๆ ก็ยังได้
หรือก่อนจะขึ้นรถไฟ จะเลือกซื้อ "ข้าวกล่องรถไฟ (Ekiben)" ที่มีมากมายนับร้อยแบบด้านในตัวสถานีก่อนก็ย่อมได้
เพราะว่าชินคันเซนอนุญาตให้เราทานอาหารบนรถได้
การทานข้าวกล่องเพลินๆ ระหว่างมองวิวสองข้างทางผ่านหน้าต่างรถไฟจึงกลายเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของการเดินทางสู่ต่างจังหวัดในประเทศญี่ปุ่น
และราคา Ekiben ที่เห็นในภาพก็ตกราวๆ 900 - 1,300 เยนเท่านั้น
งบไม่ต่างจากร้านอาหารง่ายๆ ข้างทางทั่วไปแต่เลือกวิวที่อยากนั่งชมระหว่างทานได้ตามใจเราเลย
11.30 เกบิเคย์ (Geibikei Gorge) : ล่องเรือชมหน้าผาพร้อมอาหารท้องถิ่น
การเดินทาง : ขึ้นชิงคันเซนจากสถานีโตเกียวมาลงที่สถานีอิชิโนเซกิ (Ichinoseki) แล้วต่อรถไฟ JR สายโอฟุนาโตะ (Ofunato) กิอีก 30 นาทีมายังสถานีเกบิเคย์ (Geibikei) ด้วย JR Pass
จากความวุ่นวายในเมืองใหญ่สู่ความเงียบสงบและเสียงน้ำไหลใต้หน้าผาหินสูงกว่าร้อยเมตรระยะทางยาวกว่า 2 km
ที่ "เกบิเคย์" แห่งนี้เราสามารถล่องเรือลำเล็กๆ ไปตามทางพร้อมกับทานอาหารกลางวันที่ใช้วัตถุดิบท้องถิ่น
บางคนเรียกขาน "เกบิเคย์" ว่า "แกรนด์แคนยอนแห่งญี่ปุ่น"
ดูจะไม่เกินจริงไปเลย...
เพราะระหว่างทางซ้ายขวาที่เรือค่อยๆ ล่องไป เราจะได้เห็นผาหินรูปร่างหน้าตาแปลกประหลาดไปจนถึงยิ่งใหญ่อลังการ
ระหว่างนั้น เราก็จะได้ฟังนายท้ายเรือขับกล่อมบทเพลง "เกบิโออิวาเคะ (Geibioiwake)" ว่าด้วยเรื่องราวในอดีตอันยาวไกลก่อนจะมาเป็นแก่งผาเกบิเคย์ไปพร้อมๆ กับชิมข้าวหุงปลาอายุหม้อใหญ่ (ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม 2,000 เยน)
และถ้าใครมาเกบิเคย์ในฤดูหนาวก็จะได้เห็นหิมะสีขาวโปรยปรายจากท้องฟ้า
บรรยากาศในฤดูหนาวนั้นจะดูงดงมบริสุทธิ์ราวกับสรวงสวรรค์บนพื้นแผ่นดินเลยทีเดียว
แถมบนเรือมีโต๊ะอุ่นขาบริการฟรี เป็นประสบการณ์หาได้ยากยิ่ง
รวมเวลาทั้งหมด 90 นาทีแลกกับเงินแค่ 1500 เยนก็ถือว่าถูกมาก !
สำหรับอาหารบนเรือสามารถเลือกได้ตามใจจากร้านที่ขายตั๋วในงบประมาณตั้งแต่สองพันเยน
14.30 วัดชูซอนจิ (Chusonji Temple) : วิหารทองคำอายุพันปี
การเดินทาง : ด้วยรถไฟ JR สายโทโฮคุ (Tohoku) จากสถานีอิชิโนเซกิ (Ichinoseki) มาลงที่สถานีฮิราอิซุมิ (Hiraizumi) ด้วย JR Pass
ก่อตั้งขึ้นครั้งแรกในปี 850 โดยนักบวชชื่อ "เอนนิน (Ennin)" หลังจากนั้นวัดชูซอนจิก็ได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์ต่อเติมครั้งใหญ่ในช่วงศตวรรษที่สิบสองโดยเจ้าเมืองโอชู (Oshu) ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ในแถบอิวาเตะในยุคนั้นที่ชื่อ "ฟุจิวาระโนะ คิโยฮิระ (Fujiwara no Kiyohira)" ด้วยความมุ่งหวังว่าจะให้วัดแห่งนี้เป็นที่พักดวงวิญญาณของผู้เสียชีวิตจากสงครามเก้าปีแห่งโทโฮคุ
เนื่องจากผ่านกาลเวลามายาวนาน ทำให้วัดนี้เกือบประสบภัยหลายอย่างทั้งจากสงครามและไฟไหม้ แต่ก็กลับรอดและดำรงอยู่มาได้จนถึงปัจจุบันนี้
วัดชูซอนจิได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากยูเนสโก (Unesco) เมื่อปี 2011 ที่ผ่านมาด้วย
สิ่งทำให้วัดชูซอนจิแห่งนี้กลายเป็นจุดสนใจของทั้งนักท่องเที่ยวและคนญี่ปุ่น ก็คือ วิหารหลังหนึ่งที่มีชื่อเสียงมากเป็นพิเศษ
นั่นก็คือ "คอนจิคิโด (Konjikido)" หรือ "วิหารทองคำ" ที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ประดิษฐานรูปปั้นของ "อมิดาเนียวไร (Amida Nyorai)" หรือ "พระอมิตาพุทธะ" พระพุทธเจ้าแห่งความเมตตาตามความเชื่อศาสนาพุทธในนิกายมหายานนั่นเอง
นอกจากนี้ ภายในวัดชูซอนจิยังมีสมบัติของประเทศญี่ปุ่นเก็บอยู่มากกว่าสามพันชิ้น
สำหรับค่าใช้จ่ายนั้น พื้นที่ส่วนใหญ่ของวัดชูซอนจิไม่เก็บค่าเข้า ยกเว้นแต่วิหารทองคำที่คิดค่าเข้าชม 800 เยน
18.30 ยูเซนชิดาเตะ (Yusen Shidate) : พักผ่อนสบายๆ ในสไตล์ญี่ปุ่นพร้อมบ่อน้ำร้อนส่วนตัว !
การเดินทาง : ขึ้นรถไฟ JR สายโทโฮคุ (Tohoku) จากสถานีฮิราอิซุมิ (Hiraizumi) มาลงที่สถานีฮานามาคิแอร์พอร์ทด้วย JR Pass แล้วต่อแท็กซี่อีกราว 10 นาทีสู่ย่านบ่อน้ำร้อนชื่อ "ฮานามาคิออนเซน (Hanamaki Onsen) หรือติดต่อให้ทางที่พักมารับด้วยรถของโรงแรมฟรีก็ได้
ออนเซนที่ไหนๆ ก็มีแต่โรงแรมที่มี "บ่อน้ำร้อนส่วนตัว" ให้ถึงในห้องพักนั้นหาไม่ได้ง่ายๆ หรอกนะ !
ยูเซนชิดาเตะ (Yusen Shidate) ตั้งอยู่ในขุนเขาใหญ่แวดล้อมไปด้วยทิวป่าสีเขียวขจีในฤดูร้อนซึ่งจะเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้มในฤดูใบไม้ร่วงแต่ถ้าใครแวะมาโรงแรมแห่งนี้ในฤดูหนาวก็จะเห็นแต่สีขาวโพลน ตรงข้ามกับสีชมพูสดใสของซากุระที่สะพรั่งในฤดูใบไม้ผลิ
แต่ไม่ว่าจะฤดูกาลใดที่นี่ก็มี "ออนเซน" หรือบ่อน้ำร้อนให้บริการ
ยามเย็นนั่งฟังเสียงดนตรีแบบญี่ปุ่นแท้ๆ จาก "ชามิเซน" ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีสามสายของญี่ปุ่น ที่จะมาบรรเลงสดขับกล่อมอยู่บริเวณชั้นหนึ่งของโรงแรมแบบไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
ก่อนจะทานอาหารค่ำครบชุดตามแบบญี่ปุ่นดั้งเดิมที่เรียกว่า "ไคเซคิ (Kaiseki)" ที่ใช้วัตถุดิบท้องถิ่นตามฤดูกาล อาหารมาเป็นเซ็ททั้งของต้ม ของย่าง ของดองน้ำส้มไปจนถึงจานหลักและของหวานครบครันตามธรรมเนียม โดยคำนึงถึงธรรมชาติและฤดูกาล
อย่างอาหารในรูปนี้ก็เป็นของว่างที่ใช้ผักในฤดูใบไม้ร่วงเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็น รากบัว เกาลัด เห็ด เป็นต้น จึงทำให้อาหารมีความอร่อยจากวัตถุดิบถึงที่สุด!
เมื่อทานอาหารเสร็จ กลับมาพักผ่อนที่ห้อง ก็สามารถหย่อยใจด้วยการจิบสาเกอุ่นๆ ไปพลางระหว่างแช่บ่อน้ำร้อนในห้องส่วนตัวได้
ย่านฮานามาคิออนเซนไม่เพียงแต่โด่งดังในแถบภูมิภาคโทโฮคุ (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของญี่ปุ่น) เท่านั้นแต่ยังเป็นที่รู้จักไปทั่วประเทศในฐานะที่เป็นบ้านเกิดของ "มิยาซาวะ เคนจิ (Miyazawa Kenji)" ซึ่งเป็นนักประพันธ์เลื่องชื่อชาวญี่ปุ่น
และยูเซนชิตาเตะ (Yusen Shidate) ก็พิเศษกว่าใครตรงที่มีบ่อน้ำร้อนส่วนตัวให้ถึงในห้องนอน !
วันที่ 3
9.30 สถานีโมริโอกะ (Morioka Station) : เมืองใหญ่หัวใจแห่งอิวาเตะ
การเดินทาง : บริการรถบัสจากที่พักมายังสถานีฮานามาคิแอร์พอร์ท (Hanamaki Airport Station) แล้วขึ้นรถไฟ JR สายโทโฮคุ (Tohoku) อีกราว 10 นาทีด้วย JR Pass หรือขึ้นชินคันเซนตรงมาจากโตเกียว
สถานีนี้ถูกเรียกว่า "ประตูสู่อิวาเตะ" และสถานีโมริโอกะแห่งนี้ก็เป็นทั้งศูนย์กลางความเจริญที่พรั่งพร้อมด้วยย่านการค้าไปจนถึงร้านอาหารมากมาย
ถ้าใครอยากมาเที่ยวภูมิภาคโทโฮคุ (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของญี่ปุ่น) แต่ไม่รู้จะเริ่มต้นตรงไหน...
เราขอแนะนำให้มา "สถานีโมริโอกะ" กันก่อนเลย !
สถานีโมริโอกะมักจะถูกใช้เป็นแค่เมืองใหญ่สำหรับรวบรวมข้อมูลการเดินทางหรือว่าช็อปปิ้งเท่านั้น
แต่ถ้าใครมีเวลาสักหนึ่งวันที่นี่ หรือจะแวะระหว่างเดินทางไปตอนเหนือสุดของประเทศ ก็ยังมีที่เที่ยวน่าสนใจอีกมากมาย
ใกล้ๆ สถานียังมี "ซากปราสาทโมริโอกะ (Morioka Castle)" ที่อยู่ในระยะเดินไม่กี่ก้าวจากตัวสถานีด้วย
สำหรับอาหารขึ้นชื่อของโมริโอกะก็คงไม่พ้นโซบะหลากหลายชนิด
โดยเฉพาะ "วังโกะโซบะ (Wanko Soba)" ที่จัดมาในถ้วยเล็กๆ แต่เติมได้ไม่อั้น !
เจ้าตัวการ์ตูนน่ารักเหนือป้ายของ JR ในรูปด้านบนนั่นแหละ คือมาสคอตที่ออกแบบจากวังโกะโซบะของเมืองนี้
ที่น่าตกใจอีกอย่างคือมีแผ่นพับแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวเป็นภาษาไทยให้หยิบฟรีๆ เยอะมาก !
เตรียมตัวเที่ยวได้อย่างสะดวกสบายแน่นอน
10.30 ฟาร์มโคอิวาอิ (Koiwai Farm) : ชมไร่ใต้เขาและการแสดงแกะกับน้องหมา !
การเดินทาง : ขึ้นรถบัสสาย 10 วิ่งตรงจากหน้าสถานีใหญ่โมริโอกะ (Morioka) มายังฟาร์มโดยไม่แวะจอดในราคา 700 เยน
ใครที่มาญี่ปุ่นบ่อยๆ และชอบเข้าร้านสะดวกซื้อคงจะต้องเคยเห็น "ผลิตภัณฑ์นม" ยี่ห้อ "โคอิวาอิ (Koiwai)" กันมาบ้างเพราะว่าฟาร์มแห่งนี้คือฟาร์มเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศแถมยังเปิดให้คนเข้าชมได้พร้อมกิจกรรมมากมายให้สนุกสนานตลอดวัน !
ไม่ว่าจะเป็นการขี่ม้ารอบคอกหรือชมทุ่งดอกคอสมอสที่บานตลอดสี่ฤดู
ไปจนถึงการแสดงน้องหมาต้อนแกะที่แสนน่ารัก
หรือจริงๆ แล้ว จะแค่นอนแผ่มองฟ้าไกลๆ บทผืนหญ้าของภูเขาอิวาเตะก็มีความสุขแล้ว
ก่อนกลับก็แวะทานอาหารกลางวันมื้อใหญ่ที่ใช้ผลิตผลสดๆ จากไร่ในราคาชุดละ 2200 เยน พร้อมเดินชมของฝากที่พลาดไม่ได้อย่างชีสและขนมสารพัดที่ทำจากนมวัวแท้ๆ
ค่าบัตรผ่านประตูของทั้งไร่ก็แค่ 800 เยนเท่านั้น
ยกเว้นใครที่อยากจะนั่งรถไฟจิ๋วชมรอบๆ ฟาร์มพร้อมบริการนำเที่ยวจากทัวร์ขนาดมินิก็จ่ายเพิ่มเป็น 1600 เยน
ออกจะแสนสบาย คลายอารมณ์ขนาดนี้ ถ้าใครยังไม่อยากกลับโตเกียวก็อยู่ต่อได้ ตราบใดที่มี JR Pass อยากจะกลับวันไหนก็ตามสบาย !
16:00 สถานี Morioka เดินทางกลับโตเกียว
หลังจากเพลิดเพลินกับธรรมชาติและน้องแกะน่ารักแล้ว เราเดินทางกลับไปยังสถานี Morioka ก่อนจะนั่งรถด่วนชินคังเซนด้วยบัตร JR Pass ของเรา
เราจะกลับถึงโตเกียวกันในเวลาประมาณ 19:00
ใครหิวแล้วก็สามารถหาอาหารทานได้ทั้งภายในและรอบสถานีโตเกียวเลย
แถมต่อรถกลับที่พักก็ยังสะดวกมากด้วย
สรุปการเดินทาง
วันแรก : คิจิโจจิ (Kichichoji) > ชิบุยะ > ชินจุกุ > เข้าพักที่ Central Tokyo Hotel
วันที่สอง : สถานีโตเกียว (Tokyo Station) > เกบิเคย์ (Geibikei Gorge) > วัดชูซอนจิ (Chusonji Temple) > ที่พักยูเซนชิดาเตะ (Yusen Shidate)
วันที่สาม : สถานีฮานามาคิแอร์พอร์ท (Hanamaki Airport Station) > สถานีโมริโอกะ (Morioka Station) > ฟาร์มโคอิวาอิ (Koiwai Farm) > กลับสู่กรุงโตเกียว
ค่าเดินทางทั้งหมด : การเดินทางทั้งในกรุงโตเกียวและต่างจังหวัดเน้นใช้ JR East Pass แบบเหมาห้าวันราคา 22,000 เยน (ราคาอาจแตกต่างไปแล้วแต่การทำโปรโมชันช่วงนั้นๆ), ค่ารถบัสไปฟาร์มโคอิวาอิเที่ยวละ 700 เยน
ค่าที่พัก : ที่พักโรงแรม Central Tokyo คืนละ 8,000 - 12,000 เยนต่อคืน (รวมอาหารเช้า), ค่าที่พัก ยูเซนชิดาเตะ (Yusen Shidate) คนละ 27,000 - 36,000 เยนต่อคืน (รวมอาหารเช้าและเย็น) ราคาที่พักต่างๆ อาจเปลี่ยนแปลงตามช่วงเวลา
ใช้จ่ายอื่นๆ : ค่าข้าวกล่องรถไฟขาไปและขากลับรวม 2,200 เยน, ค่ามื้อกลางวันที่คิชโช คิจิโจจิ 1,500 เยน, ค่าอาหารที่ซูชิมามิเระประมาณ 2,500 เยน, ค่าอาหารกลางวันระหว่างล่องเรือ 2,000 เยน (เลือกได้), ค่าอาหารมื้อกลางวันที่ฟาร์มโคอิวาอิราคา 2,200 เยน, ค่าบัตรเข้าชมสวนสาธารณะชินจุกุเกียวเอน 200 เยน, ค่าล่องเรือที่เกบิเคย์ (Gebikei) 1,500 เยน, ค่าชมวัดชูซอนจิ (Chusonji) 800 เยน, ค่าบัตรผ่านประตูฟาร์มโคอิวาอิ (Koiwai Farm) 800 เยน
รวมค่าใช้จ่ายใน 3 วันต่อ 1 คนตามแผน : ประมาณ 72,100 - 85,100 เยน
นอกจากนี้ บทความอาจมีลิงก์โฆษณา โปรดพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจซื้อหรือจอง