Start planning your trip
วันเดย์ทริปบนเกาะอาวาชิมะและเกาะชิชิจิมะ เกาะลี้ลับในจังหวัดคากาวะ! ชมโอคุสุ หิ่งห้อยทะเล และงานศิลป์
จังหวัดคากาวะที่จัด "เทศกาลศิลปะนานาชาติเซโตะอุจิ" มีเกาะท่องเที่ยวยอดนิยมมากมายอย่างเกาะนาโอชิมะและเกาะโชโด สำหรับผู้ที่ชอบความเงียบสงบและธรรมชาติ ขอแนะนำเกาะชิชิจิมะและเกาะอาวะชิมะ ชมธรรมชาติลี้ลับอย่างหิ่งห้อยทะเลและต้นการบูรยักษ์ รวมทั้งเสพศิลปะอารมณ์ขันกันครับ
เกาะชิชิจิมะและเกาะอาวะชิมะที่สัมผัสได้ถึงความลี้ลับของธรรมชาติ?
จังหวัดคากาวะ (Kagawa) ซึ่งเป็นสถานที่จัดงาน "เทศกาลศิลปะนานาชาติเซโตะอุจิ (Setouchi Triennale)" เทศกาลศิลปะร่วมสมัยที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น มีเกาะห่างไกลที่ได้รับความนิยมอย่างเกาะนาโอชิมะ (Naoshima Island)ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น "สถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งศิลปะร่วมสมัย" และเกาะโชโดชิมะ (Shodoshima Island)ที่นับได้ว่าเป็นพื้นที่ตากอากาศที่มีทิวทัศน์งดงามที่สุด
แต่นอกจากเกาะห่างไกลที่มีชื่อเสียงเหล่านี้แล้ว ในจังหวัดคากาวะยังมีเกาะอีกมากมายที่สัมผัสถึงธรรมชาติที่งดงามและช่วงเวลาอันเงียบสงบได้
เกาะชิชิจิมะ (Shishima Island) อยู่ในเมืองมิโทโยะ ทางตะวันตกของจังหวัดคากาวะ เป็นเกาะเล็กๆ ที่มีระยะทางรอบเกาะน้อยกว่า 4 กิโลเมตร มีประชากรประมาณ 20 คนเท่านั้น เพราะอย่างนั้น จึงทำให้สัมผัสได้กับพลังของธรรมชาติที่อยู่ในทุกหนทุกแห่ง ที่นี่มี "โอคุสุ" ต้นการบูรยักษ์ที่มีชื่อเสียงมาก
ในญี่ปุ่นมีการนับถือต้นไม้ใหญ่เป็นตัวแทนของเทพเจ้ามาตั้งแต่ในอดีต "ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์" นี้โดยทั่วไปแล้วจะได้รับการคุ้มครองภายในศาลเจ้าขนาดใหญ่ แต่ทว่า "โอคุสุ" บนเกาะชิชิจิมะแห่งนี้ ตั้งอยู่ท่ามกลางภูเขาที่เต็มไปด้วยต้นไม้เขียวขจีและพลังชีวิตลี้ลับ
ข้างๆ เกาะชิชิจิมะมีเกาะอาวะชิมะ (Awashima Island) ซึ่งเป็นสถานที่จัดงาน "เทศกาลศิลปะนานาชาติเซโตะอุจิ 2019" ในฤดูใบไม้ร่วง (วันที่ 28 กันยายน - 4 พฤศจิกายน 2019)
เกาะอาวะชิมะเป็นเกาะแห่งกะลาสีเรือ ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงเรียนฝึกอบรมการเดินเรือแห่งแรกของญี่ปุ่น และยังเป็นสถานที่ซึ่งมีชื่อเสียงอันดับต้นๆ ของญี่ปุ่นในการชมหิ่งห้อยทะเลที่สร้างสีสันให้กับทะเลยามค่ำคืน ยิ่งไปกว่านั้น ยังเพลิดเพลินกับศิลปวัตถุที่แฝงไปด้วยอารมณ์ขันตามจุดต่างๆ ในเกาะได้อีกด้วย
บทความนี้ ขอแนะนำตัวอย่างทริป 1 วัน 1 คืนที่จะพาเราไปสัมผัสกับเสน่ห์ของเกาะชิชิจิมะและเกาะอาวะชิมะกัน!
8:30 - 8:50 น. : ขึ้นเรือเฟอร์รี่จากท่าเรือมิยาโนะชิตะ (Miyanoshita Port) ไปเกาะชิชิจิมะ!
การเดินทางไปยังเกาะชิชิจิมะ ก่อนอื่นให้ไปท่าเรือมิยาโนะชิตะที่อยู่ในเขตมิโทโยะกันครับ เราจะขึ้นเรือเฟอร์รี่เที่ยว 8:30 น. กันที่นี่
* ใกล้กับท่าเรือมิยาโนะชิตะมีลานจอดรถ
* ในกรณีที่เดินทางมาท่าเรือมิยาโนะชิตะด้วยรถบัส จากสถานีทาคุมะ (Takuma) สาย JR โยะซัง (JR Yosan Line) ใช้เวลาเดิน 25 นาที หรือนั่งรถบัส "สายทาคุมะ" เที่ยว 7:59 น. ไปลงรถป้าย "ทาคุมะโชชะ (Takuma Chosha)" รถบัสหยุดให้บริการในวันอาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์
ตั๋วโดยสารสามารถซื้อได้ที่เครื่องจำหน่ายตั๋วอัตโนมัติในเรือ ค่าโดยสารไปเกาะชิชิจิมะ 340 เยน
9:00 - 11:00 น. : ไปดู "โอคุสุ" ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่มีพลังชีวิตลี้ลับ
เมื่อไปถึงเกาะชิชิจิมะแล้ว ให้มุ่งหน้าไปยังโอคุสุ ที่มีชื่อเสียงของเกาะกันเลย ลูกศรน่ารักๆ ที่ทำเป็นรูปเต่า (รูปบนขวา) และกระดาษติดแปะที่เขียนว่า "โอคุสุแห่งเกาะชิชิจิมะ" (รูปบนซ้าย) เป็นจุดเด่นของที่นี่
เมื่อไปถึงเกาะชิชิจิมะแล้ว ให้มุ่งหน้าไปยังโอคุสุ ที่มีชื่อเสียงของเกาะกันเลย ป้ายบอกทางรูปเต่าน่ารักๆ (รูปบนขวา) และป้ายกระดาษที่เขียนว่า "โอคุสุแห่งเกาะชิชิจิมะ" (รูปบนซ้าย) เป็นจุดเด่นของที่นี่
ในเมืองใหญ่จะเต็มไปด้วยเสียงประดิษฐ์มากมาย ทั้งเสียงของรถยนต์ รถไฟ หรือเสียงเพลงจากร้านค้าต่างๆ แต่บนเกาะชิชิจิมะที่ไม่มีรถยนต์แม้แต่คันเดียว เราจะได้ยินแค่เสียงร้องของแมลงและนก เสียงเสียดสีกันของต้นไม้ใบหญ้าเท่านั้น เมื่อเดินบนเขา คุณจะตกตะลึงกับการบรรเลงเพลงออเคสตร้าสุดอลังการของธรรมชาติ
เดินประมาณ 30 นาที ก็จะถึง "โอคุสุ" แล้วครับ
"โอคุสุ" อายุกว่า 1,200 ปี สูงราว 40 เมตร ยืนตระหง่านกลางภูเขาที่มองเห็นทะเลในเซโตะ (Seto Inland Sea) เมื่อเข้าไปใกล้ๆ เราจะสัมผัสได้ถึงพลังชีวิตที่แข็งแกร่ง
เมื่อผู้เขียนจ้องมองต้นไม้ยักษ์ที่เฝ้าดูการเกิดตายของผู้คนมากว่า 1,000 ปี ก็รู้สึกว่าความกังวลเล็กๆ น้อยๆ หายไป และจิตใจสงบขึ้น หากคุณมาที่ "โอคุสุ" ลองตั้งใจฟังความรู้สึกของตัวเองอย่างเงียบๆ ดูนะครับ
เมื่อเดินจาก "โอคุสุ" ไปเล็กน้อย ก็ไปยังจุดพักผ่อนที่มองเห็นทิวทัศน์สวยงามและขึ้นไปบนยอดเขาได้ สำหรับคนที่มีแรงเหลือเฟือลองไปกันดูนะครับ เราจะได้ยินเสียงหวูดเรือดังมาแต่ไกล เห็นนกบินเอื่อยๆ ทำให้รู้สึกเหมือนอยู่ในความฝัน
11:00 - 12:00 น. : แวะพักที่ "คุซุคุซุ (Kusu-Kusu)" จุดพักผ่อนกันเถอะ
หลังจากเดินเล่นรอบๆ "โอคุสุ" แล้ว ให้ลองไป "คุซุคุซุ จุดพักผ่อนเกาะชิชิจิมะ" ที่อยู่ใกล้ๆ ท่าเรือกันครับ
ที่นี่เป็นจุดพักผ่อนซึ่งดูแลโดยคู่สามีภรรยาที่ย้ายมาเกาะชิชิจิมะเพราะหลงใหลใน "โอคุสุ" นอกจากจะเพลิดเพลินกับไอศกรีมและเครื่องดื่มอย่างชาสมุนไพรได้แล้ว ยังสามารถซื้อโปสการ์ดและเครื่องปั้นดินเผาที่ทำขึ้นโดยศิลปินผู้หลงรักเกาะแห่งนี้ด้วย
ภายใน "คุซุคุซุ" ที่รีโนเวทจากบ้านญี่ปุ่นเก่านั้น อบอวลไปด้วยบรรยากาศย้อนยุคที่ชวนให้นึกถึงสมัยโชวะของญี่ปุ่น เมื่ออยู่ในอาคารไม้ที่มีแสงแดดอ่อนๆ สาดส่องเข้ามา ทำให้รู้สึกเหมือนกาลเวลาค่อยๆ ผ่านไปอย่างช้าๆ
12:00 - 13:00 น. : ไปดูแพะบนเกาะกัน
หลังจากแวะพักที่ "คุซุคุซุ" กันแล้ว ก่อนที่เรือเที่ยวถัดไปจะมา เราไปเดินเล่นในเกาะสักเล็กน้อยกันครับ
ใกล้ๆ กับท่าเรือมีแพะน่ารักๆ ชาวบ้านเลี้ยงไว้ เมื่อเห็นภาพแพะที่เป็นมิตรกับผู้คนกินหญ้า เราก็อาจจะเริ่มรู้สึกผ่อนคลายขึ้นตามด้วย
เมื่อเดินเลียบชายฝั่งไปเรื่อยๆ เราจะเห็นกระท่อมเล็กๆ หลายหลัง นี่คือสุสานแห่งเกาะชิชิจิมะนั่นเอง เมื่อก่อนชาวเกาะชิชิจิมะจะสร้างสุสานเป็นรูปบ้านบนหลุมฝังศพของผู้เสียชีวิต แม้ปัจจุบันประเพณีการฝังศพจะหายไปหมดแล้ว แต่ผู้คนก็ยังเดินทางมากราบไหว้เป็นประจำทุกวัน
แม้ร่างกายจะมลายหายไปแล้ว แต่วิญญาณยังดำรงอยู่ในกระท่อมเล็กๆ เหล่านี้ และคอยปกปักษ์คุ้มครองพวกเราอยู่ เมื่อคิดแบบนี้ หัวใจก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นมา บริเวณนี้เป็นสถานที่สำคัญของผู้คนที่นี่ จึงควรอยู่ในความสำรวมครับ
13:05 - 13:35 น. : เดินทางจากเกาะชิชิจิมะ ไปเกาะอาวะชิมะกัน!
เรือเฟอร์รี่จะออกจากเกาะชิชิจิมะไปเกาะอาวะชิมะในเวลา 13:05 น. เนื่องจากจะไม่มีเที่ยวเรือจนถึงเวลา 16:40 น. ดูเวลาและไปขึ้นเรือให้ทันด้วยนะครับ ใช้เวลาเดินทางไปเกาะอาวะชิมะราว 30 นาที เมื่อถึงท่าเรือแล้ว จะมีงานศิลป์น่ารักๆ คอยรอต้อนรับเราอยู่ครับ
* อาวาโรฮะโชคุโด (Awaroha Shokudo) และเลอพอร์ตอาวะชิมะ (Le Port Awashima) ที่จะแนะนำในบทความนี้ อยู่ฝั่งตะวันตกของเกาะอาวะชิมะ ส่วนคามิชินเด็น (Kamishinden) ที่เรือจะแวะจอดระหว่างทางนั้นอยู่ฝั่งตะวันออกของเกาะอาวะชิมะ ดังนั้นระมัดระวังอย่าลงผิดนะครับ
* อาวาโรฮะโชคุโด (Awaroha Shokudo) และเลอร์พอร์ทอาวะชิมะ (Le Port Awashima) ที่จะแนะนำในบทความนี้ อยู่ฝั่งตะวันตกของเกาะอาวะชิมะ ส่วนคามิชินเด็น (Kamishinden) ที่อยู่ระหว่างทางอยู่ฝั่งตะวันออกของเกาะอาวะชิมะ ดังนั้นควรต้องระมัดระวังอย่าลงผิดนะครับ
13:45 - 15:00 น. : "อาวาโรฮะโชคุโด (Awaroha Shokudo)" คาเฟ่ซึ่งเป็นที่รักของเหล่าศิลปิน
เลี้ยวซ้ายที่แยกแรก แล้วเดินเลียบชายฝั่งไปเรื่อย ๆ
Picture courtesy of Mitoyo City Tourism Exchange Bureau
เดินราว 5 นาที ก็จะเห็น Awaroha Shokudo ที่ตกแต่งด้วยของต่างๆ ที่ชวนนึกถึงทะเลในเซโตะ
Picture courtesy of Mitoyo City Tourism Exchange Bureau
Awaroha Shokudo ให้บริการอาหารหลายอย่างที่ทำจากวัตถุดิบในเกาะอาวะชิมะ
เมนูแนะนำคือ "อาวาโรฮะเทโชคุ" (ราคารวมภาษี 1,900 เยน) ที่ใช้ปลาต่างๆ อย่าง ปลาซุซุกิและปลาโบระ โดยทั่วไปปลาซุซุกิและปลาโบระจะมีกลิ่นคาวมาก ถ้าอยู่ในคุณภาพน้ำไม่ดี ดังนั้นในเมืองใหญ่จึงไม่ค่อยนิยมนำมากิน แต่เพราะน้ำทะเลที่เกาะอาวะชิมะสะอาด จึงสามารถลิ้มลองเมนูเลิศรสนี้ได้ครับ
Picture courtesy of Awaroha Shokudo
คู่สามีภรรยาที่บริหาร Awaroha Shokudo ได้กลายเป็นสะพานเชื่อมระหว่างศิลปินกับผู้อาศัยบนเกาะ และให้การสนับสนุน "เทศกาลศิลปะนานาชาติเซโตะอุจิ" อยู่เบื้องหลังมาตั้งแต่ปี 2010
ดังนั้น ใน Awaroha Shokudo จึงมีสิ่งของต่างๆ ที่ศิลปินทั้งหลายสร้างสรรค์ขึ้นมอบเพื่อแสดงความขอบคุณอย่าง "แกงกะหรี่อาวาโรฮะ" (ราคารวมภาษี 1,300 เยน) จานนี้ ข้าวที่เสิร์ฟมีรูปร่างคล้ายเกาะอาวะชิมะนั้น ก็มาจากแม่พิมพ์ที่ศิลปินผู้รัก Awaroha Shokudo สร้างสรรค์ขึ้น
Picture courtesy of Mitoyo City Tourism Exchange Bureau
นอกจากความคิดเรื่องการสนับสนุนศิลปินทั้งหลายแล้ว คู่สามีภรรยาร้าน Awaroha Shokudo ยังมีความคิดที่ "อยากให้คุณตาและคุณยายที่อยู่บนเกาะร่าเริงแข็งแรง" ดังนั้น จึงมีเมนูของหวานอย่าง "พุดดิ้ง อะ ลา โหมด (Pudding à la mode)" ที่ได้รับความนิยมในญี่ปุ่นช่วงที่ทั้งคู่ยังหนุ่มสาว รวมถึงพาร์เฟต์ต่างๆ ให้บริการด้วย
หากมีโอกาสมาที่ Awaroha Shokudo เราอาจได้เห็นภาพของคุณตาคุณยายที่ออกเดทอย่างสนุกสนาน พลางรำลึกถึงครั้งสมัยที่ยังหนุ่มสาวก็ได้ครับ
15:00 - 16:00 น. : ไป "พิพิธภัณฑ์ทางทะเลอาวะชิมะ (Awashima Maritime Museum)" อาคารไม้ที่มีประวัติยาวนานกว่า 100 ปี
หลังกินอาหารแล้วก็ไป "เลอพอร์ตอาวะชิมะ (Le Port Awashima)" ที่พักของวันนี้กันครับ แม้จะเริ่มเช็คอินได้ตั้งแต่ 16:00 น. เป็นต้นไป แต่สามารถฝากสัมภาระไว้ที่เคาน์เตอร์ได้ครับ
จากนั้น ก็ไปที่ "พิพิธภัณฑ์ทางทะเลอาวะชิมะ" ซึ่งอยู่ในพื้นที่เดียวกันต่อครับ
ในปี 1897 มีการก่อตั้งโรงเรียนฝึกอบรมการเดินเรือแห่งแรกของญี่ปุ่นบนเกาะอาวะชิมะ เหล่าลูกเรือที่จบจากโรงเรียนนี้ล้วนขึ้นเรือพาณิชย์และแล่นออกไปในทะเลทั่วโลก
แม้โรงเรียนแห่งนี้จะถูกปิดไปในปี 1987 แต่ปัจจุบันอาคารไม้ในสมัยนั้นยังได้รับการอนุรักษ์เป็นอย่างดีในฐานะ "พิพิธภัณฑ์ทางทะเลอาวะชิมะ" เมื่อเดินเข้าไปด้านใน จะรู้สึกราวกับได้ยินเสียงฝีเท้าอันมีชีวิตชีวาของเหล่านักเรียนวัยเยาว์ในสมัยนั้น ที่นี่เป็นอาคารที่มีบรรยากาศดีมาก จึงมักมีคนแต่งชุดคอสเพลย์มาถ่ายรูปครับ
อีกจุดใน "พิพิธภัณฑ์ทางทะเลอาวะชิมะ" ที่อยากให้ไปเยือนคือ "โซโกะโซโกะ โซโซโชะ (Sokosoko-Souzousho)" ในห้องนิทรรศการชั้น 1 ซึ่งมีการจัดแสดงสิ่งของต่างๆ ที่ศิลปินฮิบิโนะ คัตสึฮิโกะพบเจอในก้นอ่าวอาวะชิมะ ผู้ชมจะเกิดจินตนาการว่า "ทำไมสิ่งของเหล่านั้นถึงลอยไปติดฝั่งได้?" และเขียนความเห็นลงในกระดาษวาดรูป
สิ่งที่จัดแสดงในนิทรรศการมีมากมาย เช่น ขวดที่มีเพรียงหินเกาะ, เศษไม้รูปร่างแปลกๆ, ก้อนอิฐพุพัง ไม่แน่ว่าอาจมีของบางอย่างลอยมาจากประเทศของคุณก็เป็นไปได้ครับ
16:00 - 18:00 น. : ไปตามหาศิลปะทุ่นลอยน้ำ ของขึ้นชื่อในเกาะอาวะชิมะกันเถอะ
ในเกาะอาวะชิมะมีไฮไลต์ที่น่าสนใจอย่างวัดบงนนจิ (Bonnonji Temple) แหล่งรวมศรัทธาของผู้อยู่อาศัยบนเกาะ, นิชิฮามะ (Nishihama Beach) ซึ่งเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตก และโจโนะยามะ (Jo-no-yama) จุดชมวิวที่สวยงามที่สุด แต่ที่ผู้เขียนอยากแนะนำคือการเดินเล่นอย่างอิสระแบบไม่ต้องถือแผนที่ครับ
เรือเล็กที่ลอยสงบนิ่งริมหาด ศาลเจ้าเล็กๆ ที่ผู้คนบนเกาะให้ความสำคัญอย่างมาก บ้านญี่ปุ่นโบราณที่มีประวัติยาวนาน....ระหว่างที่เดินไปเรื่อยๆ โดยไร้จุดหมายอยู่นั้น เราก็จะได้เห็นทิวทัศน์ที่ล้ำค่าดั่งทรัพย์สมบัติมากมายเหล่านี้
ขณะที่เดินอยู่ในเกาะอาวะชิมะ จะมองเห็นงานศิลป์น่ารักๆ ในทุกหนทุกแห่ง นั่นคือศิลปะที่ทำจากทุ่นลอยน้ำ ศิลปินที่อาศัยอยู่บนเกาะเริ่มสร้างขึ้นเมื่อประมาณ 20 กว่าปีที่แล้ว ปัจจุบันได้กลายเป็นของขึ้นชื่อบนเกาะอาวะชิมะ
การแสดงสีหน้าของศิลปะทุ่นลอยน้ำแต่ละตัวต่างกัน หัวเราะอย่างไร้เดียงสา ยิ้มแบบเขินอาย หรือทำหน้าง่วง....."มีคนหน้าตาแบบนี้คนใกล้ตัวเราด้วยนะ" เมื่อดูแล้วจินตนาการเช่นนี้ ก็จะทำให้สนุกขึ้นอีกไม่น้อยครับ
ห่างออกไปอีกสักหน่อย ทางตะวันออกของเกาะอาวะชิมะ มี "บุยบุยการ์เด้น (Buoy-Buoy Garden)" สวนที่เต็มไปด้วยผลงานศิลปะทุ่นลอยน้ำมากมาย
18:00 - 20:00 น. : กินมื้อเย็นที่ Le Port Awashima
Picture courtesy of Le Port Awashima
เมื่อกลับมาที่ Le Port Awashima ก็ไปกินมื้อเย็นกันครับ ที่นี่เสิร์ฟมื้อเย็นเป็นไคเซคิเรียวริ อาหารญี่ปุ่นแบบฟูลคอร์สที่ใช้วัตถุดิบตามฤดูกาล สำหรับผู้ที่อยากทราบว่ามีเมนูอะไรบ้าง สามารถสอบถามพนักงานได้ตอนจองนะครับ
อาหารสามารถเลือกเป็นบาร์บีคิวก็ได้ครับ ลองปรึกษากับทางร้านตอนจองดูนะครับ
ประมาณ 20:00 น. : ไปชมหิ่งห้อยทะเลที่สวยราวกับโลกแห่งความฝันกัน
Picture courtesy of Le Port Awashima
ที่ Le Port Awashima มีการจัดกิจกรรมชมหิ่งห้อยทะเลสำหรับผู้เข้าพัก หิ่งห้อยทะเลเป็นสัตว์ที่มีเปลือกแข็งขนาดเล็กอาศัยอยู่ในทะเล เมื่อได้รับการกระตุ้นจะเปล่งแสงเป็นสีน้ำเงินขึ้นมา
เนื่องจากทะเลรอบๆ เกาะอาวะชิมะใสสะอาด จึงมีหิ่งห้อยทะเลอยู่มากมาย หากจับหิ่งห้อยทะเลเหล่านี้ไปวางไว้บนหาดทราย ก็จะดูราวกับสวนดอกไม้แสงแสนสวย
แสงของหิ่งห้อยทะเลเต็มไปด้วยความเงียบสงบน่าอัศจรรย์ ต่างกับไฟประดับที่มนุษย์สร้างขึ้น เบื้องบนมีท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวงดงาม ส่วนเบื้องล่างมีแสงของหิ่งห้อยทะเล และเสียงคลื่นลมที่ได้ยินเท่านั้น.....เป็นอีกหนึ่งค่ำคืนที่ลืมไม่ลงจริงๆ ครับ
ที่ Le Port Awashima นอกจากจะพักในห้องพักเตียงแฝดของโรงแรมแล้ว ยังสามารถพักในบ้านเคบิน (บ้านสไตล์กระท่อม) ซึ่งทำให้สัมผัสกับค่ำคืนในอาวะชิมะได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นครับ
เช้าวันรุ่งขึ้น เรือที่กลับไปยังท่าเรือมิยาโนะชิตะ จะมีรอบเวลา 7:25 น. หรือ 11:30 น. ที่ Le Port Awashima มีอาหารเช้าให้บริการด้วยครับ
ข้อควรระวังในการเที่ยวเกาะชิชิจิมะและเกาะอาวะชิมะ
ตอนไปเที่ยวเกาะชิชิจิมะและเกาะอาวะชิมะ มีสิ่งที่ต้องระวังหลายข้อ ดังนี้ครับ
1.Awaroha Shokudo เปิดบริการเฉพาะวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์เท่านั้น อีกแห่งที่สามารถกินอาหารกลางวันได้คือที่ Le Port Awashima เวลา 11:30 - 14:00 น. ในวันที่ Awaroha Shokudo ปิดให้มาใช้บริการที่นี่แทนครับ
2. กิจกรรมชมหิ่งห้อยทะเลจัดเฉพาะช่วงเดือนมิถุนายนถึงกันยายน สอบถามช่วงเวลาแน่นอนที่จัดกิจกรรมได้ที่ Le Port Awashima
3. สถานที่จำหน่ายขนมและเครื่องดื่มบนเกาะชิชิจิมะคือ "จุดพักผ่อนเกาะชิชิจิมะ คุซุคุซุ" ส่วนบนเกาะอาวะชิมะคือ "ร้านสะดวกซื้อบนเกาะ ทาเคะอุจิ" ที่อยู่ใกล้กับท่าเรือ แต่เนื่องจากมีวันหยุดไม่แน่นอน จึงแนะนำให้พกขนมและเครื่องดื่มไปเองดีกว่าครับ
4. ตอนเดินทางไปเกาะชิชิจิมะและเกาะอาวะชิมะ สามารถใช้บริการOcean Taxi (เรือสปีดโบ๊ท)ได้ครับ กรณีที่มีผู้โดยสารเยอะหรืออยากเดินทางแบบยืดหยุ่น แนะนำให้ใช้บริการ Ocean Taxi นี้จะสะดวกกว่าครับ ให้บริการเฉพาะภาษาญี่ปุ่นเท่านั้น สอบถามเพิ่มเติมได้ที่บริษัทส่งเสริมการท่องเที่ยวเกาะชิชิจิมะ และอิเซยะ (Iseya) สำหรับค่าบริการของบริษัทส่งเสริมการท่องเที่ยวเกาะชิชิจิมะ จากท่าเรือมิยาโนะชิตะไปเกาะชิชิจิมะ ผู้โดยสาร 1 - 3 คน อยู่ที่ 3,000 เยนครับ
5. เกาะชิชิจิมะในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงกันยายนมีแมลงเยอะมาก แนะนำให้พกสเปรย์ไล่แมลงไปด้วยครับ
6. เรือเฟอร์รี่สามารถขนจักรยานไปโดยจ่ายเพิ่ม 200 เยนครับ
7. บนเกาะชิชิจิมะและเกาะอาวะชิมะ มีบางจุดที่ไม่สามารถให้บริการในภาษาอังกฤษหรือภาษาจีนได้ จึงควรศึกษาบทความ MATCHA ประโยคภาษาญี่ปุ่นพื้นฐานแสนสำหรับการท่องเที่ยวญี่ปุ่นเตรียมไว้ก็ดีนะครับ
นอกจากนั้น การเดินทางไปเกาะอาวะชิมะ ท่าเรือสุดะ (Suda Port) ที่ใช้เวลาเดินทางจากท่าเรือมิยาโนะชิตะ 10 นาทีโดยรถยนต์ ก็สะดวกเช่นกัน
มีสิ่งน่าสนใจมากมายรอบๆ เช่น หาดชิชิบุกาฮามะ (Chichibugahama)
ทะเลในเซโตะที่อยู่ในจังหวัดคากาวะ เป็นทะเลอันเงียบสงบ มีเกาะชิชิจิมะและเกาะอาวะชิมะที่เราจะได้ยินเสียงคลื่นของทะเลในเซโตะขับกล่อมราวกับฟังเสียงเพลงกล่อมเด็ก อยากให้ลองตามรอยบทความนี้ ออกตามหาสมบัติอันล้ำค่าที่เป็นของตัวเราเท่านั้นกันครับ!
ใกล้ๆ เกาะชิชิจิมะและเกาะอาวะชิมะ มีสิ่งที่น่าสนใจมากมายอย่างหาดชิชิบุกาฮามะ ที่ว่ากันว่าเป็น "จุดชมวิวพระอาทิตย์ตกที่งดงามที่สุดในญี่ปุ่น" หากไปเกาะชิชิจิมะและเกาะอาวะชิมะแล้ว ลองไปท่องเที่ยวที่ต่างๆ โดยรอบด้วยนะครับ
In cooperation with Rest Area of Shishijima Island Kusukusu, Awaroha Shokudo, Le Port Awashima
นอกจากนี้ บทความอาจมีลิงก์โฆษณา โปรดพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจซื้อหรือจอง