【จังหวัดมิยาซากิ】เพลิดเพลินไปกับทั้งภูเขาและท้องทะเล! ออกสำรวจมนต์เสน่ห์แห่งธรรมชาติที่ยังไม่ถูกค้นพบ

"เขามิตาเกะ" ความงามของธรรมชาติและใบไม้เปลี่ยนสีชานเมืองโตเกียว

บริการนี้รวมโฆษณาที่ได้รับการสนับสนุน
"เขามิตาเกะ" ความงามของธรรมชาติและใบไม้เปลี่ยนสีชานเมืองโตเกียว

ขอแนะนำ "เขามิตาเกะ" (Mitake) จุดชมใบไม้เปลี่ยนสีลือชื่อ เดินทางง่าย เพราะอยู่แค่ชานเมืองโตเกียวเอง แถมที่นี่ยังเป็นฉากของเรื่องราวความรักจากนิยายอมตะ "ข้างหลังภาพ" อีกด้วยนะ! มาชมความสวยงามของธรรมชาติทั้งป่าเขาและสายธาร น้ำตก ที่สวยทุกฤดูกัน!

บทความโดย

สาวไทยในโตเกียว ลัลล้ากับการทำงาน ว่างๆ ก็แว่บไปเที่ยวและชิมของอร่อย สนใจวัฒนธรรมญี่ปุ่น รวมไปถึง Pop culture~♥

more

ทริปสุดคุ้ม เที่ยวภูเขาแสนสวย แถมได้ตามรอยวรรณกรรมอมตะอย่าง "ข้างหลังภาพ" ด้วย!

"ฉันตายโดยปราศจากคนที่รักฉัน แต่ฉันก็อิ่มใจที่ฉันยังมีคนที่ฉันรัก"
ประโยคเจ็บแทงใจแต่ก็ซาบซึ้งจนน้ำตาไหลประโยคนี้หลายคนคงเคยได้ยินจากนิยายหรือภาพยนตร์อมตะเรื่อง "ข้างหลังภาพ" บทประพันธ์ของนักเขียนชั้นครูอย่าง "ศรีบูรพา" กันมาแล้วนะคะ
และเรื่องราวความรักของหนุ่มน้อยนพพรกับคุณหญิงกีรตินั้น ฉากหนึ่งเลยที่ขาดไปไม่ได้ก็คือ ช่วงเวลาที่ทั้งสองคนได้มีเพียงกันและกันในป่าเขาที่แสนสวยงามของญี่ปุ่น
วันนี้เราเลยจะพาไปตามรอยภูเขาที่เป็นพยานความรักที่เกิดขึ้นของทั้งสองคนกันค่ะ!
ภูเขานี้คือ "เขามิตาเกะ" (Mitake) ซึ่งมีชื่อเสียงด้านธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ ซึ่งมีทั้งน้ำตกและสวนหินปกคลุมด้วยมอสเขียว รวมไปถึงเป็นสถานที่ชมใบไม้เปลี่ยนสีชื่อดังของโตเกียวแห่งหนึ่งเลยทีเดียว!
ไม่ว่าเพื่อนๆ จะอินหรือไม่อินกับข้างหลังภาพ แต่หากได้มาเที่ยวที่นี่ รับรองว่าจะต้องอินกับธรรมชาติแสนสวยแน่นอนค่ะ!

8:00 ออกเดินทางไปเขามิตาเกะจากสถานีชินจูกุ

วันนี้เริ่มการเดินทางแต่เช้าหน่อย! เพราะเราจะออกไปถึงชานเมืองโตเกียวกัน!
เริ่มการเดินทางที่สถานี JR ชินจูกุค่ะ
วันนี้ตั๋วซื้อง่ายๆ เพราะซื้อแค่ตั๋วธรรมดา ราคา 920 เยนของ JR ได้เลย
สถานีชินจูกุออกจะวุ่นวาย หลงง่ายสำหรับนักท่องเที่ยวทั้งขาใหม่และขาเก่าซะหน่อย
ใครไม่มั่นใจ สามารถไปอ่านบทความแนะนำภายในสถานีชินจูกุของเราได้เลยนะ!

"เขามิตาเกะ" ความงามของธรรมชาติและใบไม้เปลี่ยนสีชานเมืองโตเกียว

สถานีชินจูกุอันกว้างใหญ่ ... เราจะมานั่งรถไฟกันที่ชานชาลาเบอร์ 11-12 ซึ่งเป็นชานชาลาของสายจูโอ (Chuo Line) ค่ะ
ต้องระมัดระวังเรื่องรถที่วิ่งมา เพราะเราจะนั่งคันที่เขียนว่าไป "โอเมะ" (Ome) นะคะ
และแนะนำให้ขึ้นรถด่วนแบบ Rapid จะได้เร็วขึ้น! 
ระหว่างทางจะต้องลงเปลี่ยนรถหนึ่งครั้งที่สถานีโอเมะ (Ome) โดยต่อรถคันที่ไป โอคุทามะ (Okutama) ค่ะ
ส่วนสถานีเป้าหมายของเราก็คือมิตาเกะ (Mitake) 
เมื่อออกไปนอกเมืองมากๆ บางสถานีอาจจะไม่เปิดประตูอัตโนมัติ สังเกตที่ประตูรถทั้งด้านในและด้านนอกนะคะ จะมีปุ่มกดเปิดและปิดอยู่ เวลาขึ้นลงรถคนแรก - คนสุดท้าย อย่าลืมลองกดดูนะ!

ใครที่ยังไม่ได้ทานอาหารเช้า แนะนำให้หาขนมปังหรือข้าวปั้นรองท้องเอาไว้ก่อนนะคะ
เพราะวันนี้เราจะไปปีนเขากัน

10:00 ไปขึ้นภูเขามิตาเกะด้วยเคเบิ้ลคาร์

ใช้เวลาประมาณชั่วโมงครึ่งก็จะถึงสถานีมิตาเกะ ซึ่งเป็นสถานีเล็กๆ ตัวอาคารทรงญี่ปุ่นทำด้วยไม้ดูได้บรรยากาศมากค่ะ
ถึงสถานีจะเล็ก แต่ในฤดูใบไม้ร่วง ที่นี่จะเต็มไปด้วยผู้คนเลยทีเดียว
ด้านหน้าสถานีจะมีศูนย์ข้อมูลนักท่องเที่ยวอยู่ในอาคารไม้เช่นกัน และมีห้องน้ำด้วยค่ะ
เหมาะจะแวะเข้าไปรับแผนที่ภาษาอังกฤษ แล้วเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการเดินทาง

"เขามิตาเกะ" ความงามของธรรมชาติและใบไม้เปลี่ยนสีชานเมืองโตเกียว

ต่อจากนี้เราจะต้องนั่งรถบัสไปอีกนิดถึงจะถึงสถานีเคเบิ้ลคาร์ที่จะช่วยให้เราขึ้นภูเขาได้อย่างง่ายดาย
ออกจากสถานี ข้ามถนน เดินไปทางซ้ายมือไม่ไกล จะเจอรถบัสจอดรอนักท่องเที่ยวอยู่เลย
ราคาค่าโดยสารเที่ยวละ 280 เยน เราจะลงกันที่ป้าย ทาคิโมโตะเอคิ (Takimoto Eki)
รถจะมีแค่ชั่วโมงละ 1-2 เที่ยวเท่านั้น ก่อนไปเช็คเวลากันให้ดีๆ นะ!
* สามารถเช็คตารางเดินรถได้ในเว็บไซต์ของ Keio หน้านี้ (ภาษาญี่ปุ่น)

สำหรับวิธีการขึ้นรถบัสนั้น ตอนขึ้นอย่าลืมหยิบตั๋วใบสี่เหลี่ยมผืนผ้าเล็กๆ จากเครื่องที่อยู่ตรงทางขึ้นนะคะ
เวลาจะลงก็แค่ดูหมายเลขในตั๋วนั้นกับป้ายไฟที่อยู่ด้านหน้ารถว่า หมายเลขนั้นตอนนี้ราคากี่เยนแล้ว
แล้วหยอดเงินเท่าจำนวนลงในเครื่องด้านข้างคนขับพร้อมกับตั๋วได้เลยค่ะ
ถ้าหากไม่มีเหรียญพอดี จะต้องไปแลกเหรียญกับเครื่องที่ด้านข้างคนขับเหมือนกันนะ
ง่ายที่สุดคือ เติมเงินในบัตร IC Card (บัตรพวก Suica หรือ Pasmo) แล้วใช้แตะปี๊บๆ ที่เครื่องอ่านตอนขาขึ้นและขาลง แค่นี้ก็สะดวกสบายไร้กังวลแล้ว 

ระหว่างทางไปสถานเคเบิ้ลคาร์เองก็มีแม่น้ำและวิวสวยๆ อีกด้วยนะ
ถ้าใครชอบเดิน อาจจะใช้เวลาราวๆ 40 นาที เดินชมวิวแม่น้ำและป่าเขาจนไปถึงไปเคเบิ้ลคาร์แทนก็ได้ค่ะ

"เขามิตาเกะ" ความงามของธรรมชาติและใบไม้เปลี่ยนสีชานเมืองโตเกียว

พอลงจากรถบัสแล้วให้เดินขึ้นเนินไปนิดเดียว ทางด้านขวามือจะเห็นสถานีเคเบิ้ลคาร์ตั้งอยู่
เราก็แวะไปซื้อตั๋วกันเลย! 

ตั๋วคราวนี้ที่เราจะใช้กันเป็นตั๋วไปกลับราคา 1,110 เยน ใช้ยื่นให้นายตรวจตั๋วดูได้เลยค่ะ
ความพิเศษอีกอย่างก็คือตั๋วนี้มีอายุ 2 วัน ฉะนั้นถ้าใครอยากเที่ยวเขามิตาเกะให้จุใจด้วยการค้างในที่พักบนเขาสักคืนนึง ก็ยังใช้ตั๋วนี้กลับลงจากเขาในวันรุ่งขึ้นได้ด้วยล่ะ!
ภายในสถานียังมีร้านขายของฝากที่มีของน่าสนใจมากมาย โดยเฉพาะของกินจาก "วาซาบิ" ของขึ้นชื่อของที่นี่
มีแม้แต่ "ซอฟท์ครีมวาซาบิ" !
ขากลับมาแวะหาซื้อของติดไม้ติดมือกันได้นะ

10:30 ชมวิวสวยสุดๆ ของเขามิตาเกะ

"เขามิตาเกะ" ความงามของธรรมชาติและใบไม้เปลี่ยนสีชานเมืองโตเกียว

นั่งเคเบิ้ลคาร์ที่ได้ชมความสวยงามรอบข้าง และแอบหวิวเล็กๆ กับความสูง
ไม่ถึง 10 นาที เราจะมาถึงบนเขามิตาเกะกันค่ะ
ออกจากสถานีปุ๊บ ด้านขวามือจะมีจุดชมวิวก่อนเลย ในวันที่อากาศดี เราสามารถมองเห็นไปได้ไกลถึงหอคอยโตเกียว และโตเกียวสกายทรีเลย

"เขามิตาเกะ" ความงามของธรรมชาติและใบไม้เปลี่ยนสีชานเมืองโตเกียว

แวะชมวิวกันแล้ว เดินไปทางซ้ายมือของสถานีเคเบิ้ลคาร์ เราจะพบกับซุ้มประตูโทริอิสีแดงขับไปกับสีสันของต้นไม้ใบไม้ ...
ว่าแล้วเราก็มาเริ่มท่องไปในภูเขากันเลยดีกว่า! 

11:00 ศาลเจ้ามุซาชิมิตาเกะ (Musashi Mitake Jinja)

เดินตามเส้นทางไปเรื่อยๆ ระหว่างทางจะพบบ้านเรือนแบบเก่าๆ มากมายค่ะ หลายหลังให้บริการร้านอาหารและที่พักด้วยนะ
เมื่อเดินไปสักพัก เส้นทางก็จะชันขึ้น เป็นทางเดินขึ้นเขา
ใครเดินทางลาดแล้วรู้สึกเหนื่อย ในบางจุดจะมีขั้นบันไดให้ ในที่ชันมากๆ เดินบนขั้นบันไดจะรู้สึกสบายกว่านะคะ
ชมทัศนียภาพรอบข้าง พลางจินตนาการว่าตัวเองเป็นคุณหญิงกีรติ พอมาถึงยอดเขา เราจะเจอกับศาลเจ้าสำคัญของที่นี่ "ศาลเจ้ามุซาชิมิตาเกะ" ค่ะ

"เขามิตาเกะ" ความงามของธรรมชาติและใบไม้เปลี่ยนสีชานเมืองโตเกียว

แวะขึ้นไปไหว้พระกันสักหน่อยดีกว่า
ศาลเจ้านี้เป็นศาลเจ้าสำคัญที่มีประวัติศาสตร์มายาวนานมากทีเดียวค่ะ
โดยมีความเชื่อว่าภูเขาแห่งนี้เป็นสถานที่ศักดิสิทธิ์มาตั้งแต่สมัยตำนานการเกิดญี่ปุ่น ที่ต้นตระกูลจักรพรรดิ์ "ยามาโตะทาเครุ" ถูกปีศาจก่อกวนบนเขาแห่งนี้ แต่ได้รับความช่วยเหลือจากหมาป่าเทพ ทำให้หมาป่าเทพนั้นกลายเป็นเทพรับใช้ของ "ยามาโตะทาเครุ โนะ มิโคโตะ" แต่นั้นมา
ใครที่มาเที่ยวที่เขามิตาเกะ อาจจะสงสัยว่าทำไมมีคนพาสุนัขมาเที่ยวด้วยเยอะจัง?
นั่นก็เพราะสืบเนื่องมาจากตำนานนี้ ทำให้คนญี่ปุ่นนิยมนำสุนัขของตนเองมาแสวงบุญด้วยค่ะ

"เขามิตาเกะ" ความงามของธรรมชาติและใบไม้เปลี่ยนสีชานเมืองโตเกียว

ส่วนตัวศาลเจ้านั้นมีปรากฏด้วยชื่ออื่นในบันทึกในยุคเฮอันกว่าสองพันปีมาแล้วเลยทีเดียว
จากนั้นก็เป็นศาลเจ้าที่ได้รับความเชื่อถือในหมู่ซามูไรมาหลายยุค แม้แต่โทคุงาวะ อิเอยาสุ โชกุนคนสำคัญของญี่ปุ่น
รวมไปถึงเป็นหนึ่งในศาลเจ้าสำคัญของลัทธิบูชาภูเขาซึ่งมีคนมาฝึกตนมากมาย
แม้แต่ในปัจจุบันก็ยังให้บริการสำหรับผู้มาเยือนได้ลองฝึกตนแบบพระภูเขา (ยามาบุชิ)
ในหอสมบัติของศาลเจ้าจึงมีวัตถุสำคัญทางประวัติศาสตร์ รวมไปถึงชุดเกราะซามูไรโบราณอายุเกือบพันปีอีกด้วย

11:30 เดินป่าชมธรรมชาติแสนงามตามจุดต่างๆ ของเขามิตาเกะ

หลังจากไหว้พระกันเสร็จแล้ว ก็ได้เวลาเดินขึ้นลงเขาเพื่อไปตามหาความรัก เอ๊ย ความงามของเขามิตาเกะกัน!
ใครมีโอกาสพกคุณหญิงกีรติหรือนพพรส่วนตัวมา ได้โอกาสจับมือถือแขน ช่วยกันบุกป่าแล้วนะคะ

จุดชมวิว นากาโอะไดระ (Nagaodaira) 

"เขามิตาเกะ" ความงามของธรรมชาติและใบไม้เปลี่ยนสีชานเมืองโตเกียว

เดินย้อนลงบันไดมาถึงบริเวณทางแยกหน้าโทริอิ เราจะเจอทางด้านขวามือแบบนี้ ให้เลี้ยวไปตามทาง ไม่กี่นาทีจะพบทางแยกอีกครั้ง

"เขามิตาเกะ" ความงามของธรรมชาติและใบไม้เปลี่ยนสีชานเมืองโตเกียว

ที่ทางแยกนี้ เราจะขอพาเดินมาทางด้านซ้าย เพื่อไปยังจุดชมวิวนากาโอะไดระกันก่อนค่ะ

"เขามิตาเกะ" ความงามของธรรมชาติและใบไม้เปลี่ยนสีชานเมืองโตเกียว

จุดชมวิวนี้เราสามารถนั่งเพลินๆ ชมทัศนียภาพของภูเขาและท้องฟ้าแสนสวยได้
สภาพเปิดโล่งที่ชวนให้สบายใจแบบนี้ หาตามเมืองใหญ่ไม่ได้เด็ดขาดเลยล่ะ! 
คนที่มาเที่ยวหลายคนก็แวะพักทานข้าว ทานขนมกัน ฉะนั้นเราอาจจะเตรียมขนมเล็กๆ น้อยๆ มานั่งทานเล่นพักผ่อนพร้อมกับเพลินกับทิวทัศน์ก็ย่อมได้

น้ำตกนานาโยะ (Nanayo no Taki)

กลับมาตรงทางแยกเมื่อครู่อีกครั้งหนึ่ง ทางขวามือจะมีทางแยกสองทาง
ทางหนึ่งจะเป็นบันไดลงแสนชัน ส่วนอีกทางเป็นทางธรรมดา
หากเดินลงไปตามบันไดนี่ ด้านล่างจะเป็นน้ำตกนานาโยะค่ะ

"เขามิตาเกะ" ความงามของธรรมชาติและใบไม้เปลี่ยนสีชานเมืองโตเกียว

ซึ่งผู้เขียนก็ขอบอกว่าทางลงไปน้ำตกนั้นชันมากจริงๆ รวมถึงลงไปแล้วยังต้องปีนขึ้นมาอีกด้วย
หากใครมีปัญหาด้านสุขภาพ อาจต้องระมัดระวังนะคะ
หรืออาจหลีกเลี่ยงไปเดินเส้นทางด้านขวามือที่เป็นทางราบกว่าก็ได้ แต่ก็จะพลาดชมน้ำตกนี้ไป

หากใครแข็งแรงปึ๋งปั๋ง เราขอแนะนำให้ตะลุยไปด้วยกันเลย!
การที่เส้นทางค่อนข้างลำบาก ก็เพราะว่าเส้นทางนี้ยังคงความเป็นธรรมชาติอยู่นั่นเองค่ะ
ก่อนจะไปถึงน้ำตกนั้น เราสามารถชมความตระการตาของธรรมชาติที่สวยงามได้ตลอดเส้นทางเลย

"เขามิตาเกะ" ความงามของธรรมชาติและใบไม้เปลี่ยนสีชานเมืองโตเกียว

พอมาถึงน้ำตกนานาโยะ ก็พักหายใจ สูดอากาศบริสุทธิ์ของป่ากันให้เต็มปอด ก่อนที่เราจะเดินทางต่อไปค่ะ

"เขามิตาเกะ" ความงามของธรรมชาติและใบไม้เปลี่ยนสีชานเมืองโตเกียว

ใกล้ๆ กับทางที่เราเดินมานั้น จะมีทางขึ้นเขาไปด้วยทางที่ทำจากบันไดโลหะสลับไปกับรากไม้อันน่าพิศวง

หินผาเทงงู (Tengu Iwa)

"เขามิตาเกะ" ความงามของธรรมชาติและใบไม้เปลี่ยนสีชานเมืองโตเกียว

เมื่อปีนเขาขึ้นมาจนสุดทาง เราจะเจอก้อนหินใหญ่เบิ้ม!
ก้อนหินนี้ถูกเรียกว่า "หินผาเทงงู" เนื่องจากว่ารูปร่างนั้นมีส่วนหนึ่งยืดยาวออกไป เหมือนกับจมูกของ "เทงงู" สิ่งมีชีวิตในตำนานญี่ปุ่นที่เป็นผู้ปกปักษ์รักษาภูเขานั่นเองค่ะ
ด้านบนของหินผานี้มีรูปปั้นอยู่ด้วย แต่ต้องปีนโซ่ขึ้นไปศักการะ
ใครยังมีแรงฮึด ก็ปีนขึ้นไปเลย! แต่ระมัดระวังด้วยนะคะ

สวนหิน (Rock Garden)

"เขามิตาเกะ" ความงามของธรรมชาติและใบไม้เปลี่ยนสีชานเมืองโตเกียว

ชมธรรมชาติสวยงามไปตามทางอีกเล็กน้อย เราจะเข้าสู่บริเวณที่เรียกรวมๆ กันว่า สวนหิน หรือ ร็อคการ์เด้น
สาเหตุที่เรียกเช่นนี้ก็เพราะแถวนี้เต็มไปด้วยก้อนหินน้อยใหญ่เรียงรายไปตามลำธาร
แถมยังมีมอสสีเขียวสดปกคลุมก้อนหินไปทั่วจนมีความสวยงามตามแบบสวนหินของญี่ปุ่นเลยทีเดียวค่ะ
เส้นทางแถวนี้ไม่ค่อยมีทางชันขึ้นลง เราจึงค่อยๆ เดินชมสวนหินพร้อมกับฟังเสียงน้ำไหลให้ลืมโล่งใจ ลืมทุกข์ไปได้เลยค่ะ

น้ำตกอายะฮิโระ (Ayahiro no Taki)

"เขามิตาเกะ" ความงามของธรรมชาติและใบไม้เปลี่ยนสีชานเมืองโตเกียว

ปลายทางของสวนหิน เราจะพบกับน้ำตกอีกแห่งหนึ่งซึ่งมีซุ้มประตูโทริอิตั้งอยู่ด้านหน้าบ่งบอกถึงความศักดิ์สิทธิ์
เพราะน้ำตกแห่งนี้เป็นสถานที่ฝึกตนของศาลเจ้ามุซาชิมิตาเกะนั่นเอง
ฉากการฝึกตนด้วยการนั่งหรือยืนใต้น้ำตกแบบในภาพยนตร์นั้นยังมีอยู่จริงจนถึงปัจจุบันนี้เลยนะคะ!

ต้นสนที่นั่งของเทงงู (Tengu no Koshikake Sugi)

"เขามิตาเกะ" ความงามของธรรมชาติและใบไม้เปลี่ยนสีชานเมืองโตเกียว

เดินไปตามทางเรื่อยๆ คราวนี้เรากำลังจะย้อนกลับไปที่หน้าศาลเจ้ามุซาชิมิตาเกะแล้วค่ะ
ใช้เวลาอีกประมาณ 30 นาที ลองสังเกตข้างทางด้านซ้ายมือไปเรื่อยๆ เราจะพบกับต้นสนใหญ่ต้นหนึ่งอยู่ข้างๆ กับซุ้มประตูโทริอิ
ต้นสนต้นนี้มีรูปร่างที่แปลกกว่าต้นอื่นอยู่ที่ มีกิ่งใหญ่หนึ่งยื่นโค้งออกมาราวกับเป็นที่นั่ง
ทำให้ถูกตั้งชื่อว่าเป็น "ต้นสนที่นั่งของเทงงู"
ผู้คุ้มครองภูเขาอย่างเทงงูอาจจะใช้ที่นี่นั่งพักผ่อนระหว่างบินตรวจความเรียบร้อยของเขามิตาเกะก็ได้นะ

14:30 กลับมาถึงหน้าทางเข้าศาลเจ้ามุซาชิมิตาเกะ

* เวลาในการเดินอาจต่างกันไปตามบุคคล รวมทั้งเส้นทางอาจจะใช้เวลาต่างกันได้ประมาณ 30 นาที ไม่รวมเวลาแวะพักผ่อน ซึ่งระหว่างทางจะมีจุดพักผ่อนอยู่เป็นระยะๆ

เดินวนครบหนึ่งรอบ เราจะกลับมาถึงหน้าศาลเจ้ามุซาชิมิตาเกะกันอีกครั้งค่ะ!
นี่มันก็เริ่มสายแล้ว ได้เวลาเติมพลังหลังออกกำลังกายเดินป่ากันแล้วล่ะ

"เขามิตาเกะ" ความงามของธรรมชาติและใบไม้เปลี่ยนสีชานเมืองโตเกียว

เดินลงบันไดมาตามทางที่ใช้มาในตอนเช้า เราจะผ่านย่านร้านค้าที่มีร้านขายของกินและของฝากเรียงรายอยู่
ขอแนะนำให้ลองเดินหาของฝากตรงนี้ก็ไม่เลวเลยนะ

ร้านขายของฝาก จิโมโตะยะ (Chimotoya)

"เขามิตาเกะ" ความงามของธรรมชาติและใบไม้เปลี่ยนสีชานเมืองโตเกียว

ร้านที่จะขอแนะนำเลยคือ "จิโมโตะยะ" ที่อยู่ตรงกลางๆ ย่านร้านค้าเลยค่ะ
ในร้านมีของฝากน่าสนใจมากมาย ทั้งถั่วหรือผักดองรสวาซาบิที่แสนอร่อย เผ็ดนิดกำลังดี
หรือใครไม่ชอบของรสจัด ก็มีขนมเซมเบ้ที่ทำจากโกโบ ได้รสชาติแบบญี่ปุ่น
ใครไม่อยากได้ของกิน ก็มีของฝากอื่นๆ เช่น ตุ๊กตากระรอกบินแสนน่ารักอีกด้วย

ซดอุด้งร้อนๆ ที่ร้านโคริซัง (Korisan)

เดินออกจากย่านร้านค้า ลงเนินมาจะพบกับบ้านหลังเล็กน่ารักและดูเป็นญี่ปุ่นโบราณอยู่ตรงปลายเนินเลย
บ้านหลังนี้คือร้านอาหารและคาเฟ่ "โคริซัง" ที่เราจะมาแวะทานอาหารกลางวันกันล่ะ

"เขามิตาเกะ" ความงามของธรรมชาติและใบไม้เปลี่ยนสีชานเมืองโตเกียว

ภายในร้านที่ตกแต่งให้ความรู้สึกเหมือนบ้านของคนญี่ปุ่นสมัยก่อนนี้มีตุ๊กตาหรือของแต่งรูปทานุกิอยู่มากมาย
พอลองถามกับเจ้าของร้าน เขาก็เล่าว่าคำว่า "โคริ" ในชื่อร้านนั้น หมายถึง ทานุกิที่มีอายุแล้ว ซึ่งคนญี่ปุ่นเชื่อว่าทานุกิที่มีอายุมากจะมีอิทธิฤทธิ์แปลงกายและชอบหลอกนักเดินทางนั่นเอง
แต่คุณเจ้าของร้านก็บอกมานะว่า อาหารที่ร้านอร่อยคุ้มราคาจริง ไม่ได้หลอกใครทั้งนั้น

"เขามิตาเกะ" ความงามของธรรมชาติและใบไม้เปลี่ยนสีชานเมืองโตเกียว

แวะทานอุด้งชมจันทร์ร้อนๆ (ซึคิมิอุด้ง) ที่มีพระจันทร์ไข่แดงอยู่ตรงกลาง ตบท้ายด้วยไอศครีมแบบญี่ปุ่น
ใครยังมีเนื้อที่ในท้องเหลืออยู่ก็ยังมีบุกตุ๋นจนรสชาติน้ำซอสซึมลึกและลูกกวาดหนึบหนับมิซึอาเมะให้ทานเล่นอีกด้วย
(บุกและมิซึอาเมะ สามารถซื้อทานได้จากหน้าร้านเช่นกัน)

ซึคิมิอุด้ง ราคา 800 เยน, ไอศครีมแบบญี่ปุ่น ราคา 400 เยน,  บุกตุ๋นและมิซึอาเมะราคาอย่างละ 100 เยน

16:00 ลงเขา กลับเข้าสู่แสงสีเมืองโตเกียว

พอเวลาประมาณ 16:00 ก็ได้เวลากลับสู่ตัวเมืองโตเกียวเสียที
เดินกลับทางเดิมมาพร้อมกับใช้ตั๋วเคเบิ้ลคาร์ที่ซื้อมาตอนเช้า นั่งรถกลับไปยังสถานี แล้วจากนั้นก็นั่งรถกลับสู่ชินจูกุเหมือนกับตอนขามาได้เลยค่ะ

"เขามิตาเกะ" ความงามของธรรมชาติและใบไม้เปลี่ยนสีชานเมืองโตเกียว

และสินค้าขากลับที่น่าสนใจก็มีอยู่ที่สถานีของรถเคเบิ้ลคาร์นี่แหละ เพราะที่นี่มีขาย "วาซาบิสด" ด้วย มากันเป็นต้นๆ เลยทีเดียว
โดยราคาจะแตกต่างกันไปตามเชือกที่ผูกอยู่นะคะ
สำหรับนักท่องเที่ยวอาจจะซื้อหากลับไปยากหน่อย แต่ถ้าใครยังพักอยู่ที่ญี่ปุ่นอีกหลายวัน หรือจะแวะไปเยี่ยมคนที่อยู่ในญี่ปุ่นต่อ เรียกได้ว่าเป็นของที่น่าสนใจเลยล่ะ!

สำหรับผู้ที่อยากจะอยู่บนเขาต่ออีกสักหน่อย ก็ควรระมัดระวังเรื่องเวลา เนื่องจากทั้งเคเบิ้ลคาร์และรถบัสที่จะนั่งกลับไปสถานีนั้นจะหมดเวลาหกโมงกว่าค่ะ
ต้องคำนวณดีๆ เผื่อเวลานั่งพาหนะแต่ละอย่างต่อกันด้วยนะ

ในครั้งนี้ผู้เขียนได้มาเยือนในฤดูใบไม้ร่วงที่เป็นช่วงเวลาเด็ดของเขามิตาเกะก็จริง แต่ฤดูกาลอื่นๆ ที่เขานี้ก็สวยไม่แพ้กันนะ!
ในฤดูร้อน ที่นี่ยังมีทุ่งดอกเรงเกะโชมะ (ดอกไม้ในสกุลเดียวกับพวงแก้วกุดั่นซึ่งมีต้นกำเนิดในญี่ปุ่น) ให้ชมอีกด้วย
รวมถึงยังมีกิจกรรมทั้งการแสดงศิลปะแบบญี่ปุ่นแท้ๆ ตามฤดูกาล หรือการร่ายรำบูชาเทพเจ้าของศาลเจ้าซึ่งเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมได้ตามช่วงเวลาต่างๆ ตลอดปีอีกด้วย

แถมให้อีกนิด!
หากจะเที่ยวแบบญี่ปุ่นให้จุใจและคลายเหนื่อยจากการปีนเขา จากเขามิตาเกะนั้นยังมีออนเซ็นให้แวะใช้บริการก่อนกลับที่พักด้วย
อย่างเช่น ระหว่างทางที่นั่งรถไฟสายโอเมะกลับชินจูกุ เราสามารถแวะที่สถานี JR คาเบะ (Kabe) 
หน้าสถานีนี้มีออนเซ็นชื่อ อุเมะโนะยุ (Ume no Yu) ที่เปิดให้เข้าใช้บริการได้จนถึงห้าทุ่มเลยทีเดียวล่ะ (แช่น้ำได้ถึง 23:30)

สรุปข้อควรระวังที่ควรเตรียมตัวในการมาเที่ยวเขามิตาเกะ

- เตรียมชุดที่เหมาะสมกับฤดูกาล และรองเท้าต้องเป๊ะ!
เพราะเส้นทางที่เราจะใช้ในวันนี้เป็นเส้นทางบนป่าเขาที่ไม่ใช่บันไดสวยๆ ค่ะ
ฉะนั้นขอให้เตรียมรองเท้าและชุดให้พร้อม รองเท้านั้นอย่างน้อยๆ ควรจะเป็นรองเท้าผ้าใบค่ะ เก็บรองเท้าสวยๆ ไว้ใส่ในตัวเมืองโตเกียวเลยดีกว่า

- เสื้อผ้า เนื่องจากขึ้นภูเขา อากาศอาจจะเย็นลงอีกเล็กน้อย แต่พอได้ออกแรงเดินป่าแล้วจะรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาบ้าง
ถ้าไม่แน่ใจ เราขอแนะนำให้สะพายเป้แล้วใส่เสื้อนอกที่ถอดได้ง่ายมา
พอรู้สึกร้อนก็ถอดออกมาใส่เป้ พอเริ่มหนาวก็นำเสื้อออกมาใส่ได้เลย!

 - พอเลยย่านร้านค้า ก็ไม่มีขายอาหารและเครื่องดื่มแล้ว จึงควรเตรียมเครื่องดื่มและขนมขบเคี้ยวเล็กน้อยไปเอง แต่ต้องเก็บขยะกลับมาทิ้งเองด้วยนะ!

- เส้นทางบางส่วนค่อนข้างชัน ขอให้ระมัดระวังระหว่างการเดินทางนะคะ
ถ้าเตรียมตัวมาพร้อมแล้วล่ะก็ รับรองว่าได้สนุก สบายใจไปกับธรรมชาติแสนสวยงามอย่างเต็มที่แน่นอนค่ะ

สุดท้ายนี้ผู้เขียนขอยืนยันว่า ... กระโปรงสวย รองเท้าแจ่มแบบคุณหญิงกีรติ ขึ้นยอดเขานี้ไม่ไหวแน่ๆ ค่ะ ... TT-TT 

สรุปการเดินทาง

สถานีชินจูกุ → สถานีมิตาเกะ → เคเบิ้ลคาร์ → บนเขามิตาเกะ → ศาลเจ้ามุซาชิมิตาเกะ → จุดชมวิวนากาโอะไดระ → น้ำตกนานาโยะ → หินผาเทงงู  → สวนหิน → น้ำตกอายะฮิโระ → ต้นสนที่นั่งของเทงงู → ร้านขายของฝาก จิโมโตะยะ → คาเฟ่โคริซัง → เคเบิ้ลคาร์ → สถานีมิตาเกะ → สถานีชินจูกุ

ค่าเดินทางทั้งหมด : ค่ารถไฟ 1,860 เยน ค่ารถบัส 560 เยน และค่าเคเบิ้ลคาร์ 1,090 เยน

ใช้จ่ายอื่นๆ : ค่าอาหาร 800 เยน ค่าขนม 600 เยน ค่าช้อปปิ้งและของฝากต่างๆ แล้วแต่บุคคล

รวมค่าใช้จ่ายใน 1 วัน/1 คนตามแผน : ประมาณ 4,910 เยน (ไม่รวมค่าซื้อของ)

Supported by Tokyo Convention&Visitors Bureau

บทความโดย

Kogetsu(GREATERTOKYO_Explorer)

สาวไทยในโตเกียว ลัลล้ากับการทำงาน ว่างๆ ก็แว่บไปเที่ยวและชิมของอร่อย สนใจวัฒนธรรมญี่ปุ่น รวมไปถึง Pop culture~♥

more
เนื้อหาในบทความนี้อ้างอิงจากการเก็บข้อมูลในช่วงเวลาที่เขียนบทความ อาจมีการเปลี่ยนแปลงของรายละเอียดสินค้า บริการ ราคาในภายหลังได้ กรุณาตรวจสอบกับสถานที่นั้นอีกครั้งก่อนการไปใช้บริการ
นอกจากนี้ บทความอาจมีลิงก์โฆษณา โปรดพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจซื้อหรือจอง

อันดับ