Start planning your trip
สัมผัสอีกด้านของโตเกียว แผนเที่ยวโดยรถบัสในหนึ่งวัน จากชิบูย่าไปจนชมไฟประดับสถานีโตเกียว
ชวนมาสัมผัส unseen อีกด้านของโตเกียวกับแผนเที่ยวโดยรถบัสในหนึ่งวัน เดินทางจากชิบูย่า ขึ้นลงเที่ยวตามเส้นทาง ทั้งศาลเจ้าใหญ่ หรือแหล่งช้อปปิ้งของคนโตเกียวที่คนต่างชาติไม่รู้ ไปจนถึงสถานีโตเกียวเพื่อชมไฟประดับ (Illumination) ที่แสนงดงาม
เที่ยวโตเกียวเดิมๆ ให้ไม่ซ้ำซากจำเจ!
ใครๆ ก็มาเที่ยวโตเกียวกันหมด! เพราะแน่นอนว่าโตเกียวนั้นเป็นสถานที่แรกเลยก็ว่าได้ที่ทุกคนจะนึกถึงตอนวางแผนเที่ยว
หากใครได้มาหลายรอบ อาจจะเริ่มหมดมุก จะไปเที่ยวที่ไหนอีกดีน้อ? สถานที่ยอดนิยมก็ไปมาหมดแล้ว
หรือใครที่จะมาญี่ปุ่นครั้งแรก แต่อยากทำอะไรไม่เหมือนใคร
มาดูแผนเที่ยววันนี้ที่เราจะนำเสนอเลยดีกว่าค่ะ!
เราจะพาเที่ยวโตเกียวด้วย "รถบัส" ที่จะทำให้เราเห็นโตเกียวแปลกตาไป แถมด้วยพาเที่ยวในที่ๆ เอาไปเล่าให้ใครฟังจะต้องร้อง "ว้าว แปลกใหม่น่าสนใจเวอร์!"
9:30 เริ่มการเดินทางที่ชิบูย่า
เวลาประมาณ 9 โมงครึ่ง เรามายืนอยู่หน้าสถานีชิบูย่ากันค่ะ
ถ้าพูดถึงชิบูย่าก็ต้องนึกถึง ... น้องหมาฮาจิโค! และห้าแยกชิบูย่าอันแสนยุ่งเหยิง!
เมื่อเราแวะมาถึง เราก็ต้องไปทักทายเสียหน่อยค่ะ
จุดนัดพบที่ทุกคนรู้จัก รูปปั้นฮะจิโค
น้องหมาฮาจิโคนี้ เพื่อนๆ หลายท่านก็คงรู้เรื่องของมันดี เพราะโด่งดังขนาดถูกนำไปสร้างหนังฮอลลีวู้ดด้วยซ้ำไป
เรื่องราวของน้องหมาที่แสนซื่อสัตย์ ไปยืนเฝ้ารอนายของมันที่สถานีชิบูยะทุกวันๆ โดยไม่รู้ว่าเจ้านายของมันได้จากโลกนี้ไปเสียแล้ว ...
ความจงรักภักดีของมันนี่เองที่ทำให้คนญี่ปุ่นประทับใจ และสร้างรูปปั้นของมันยืนตระหง่านที่หน้าสถานีชิบูย่าตั้งแต่ปี 1948 มาเป็นเวลานานกว่า 60 ปีแล้วค่ะ
เมื่อฮะจิโคจากโลกนี้ไป ชาวญี่ปุ่นได้รวมกันไว้อาลัยให้กับมันที่สถานีชิบูย่าด้วย ส่วนร่างไร้วิญญาณอันภักดีนั้นได้ถูกนำไปฝังเคียงข้างกับหลุมศพของผู้เป็นเจ้าของที่จากโลกไปก่อนหน้าค่ะ
เป็นเรื่องที่ซาบซึ้งมากเลยใช่ไหมล่ะ!
ของขึ้นชื่อประจำชิบูย่า ห้าแยกชิบูย่า
อีกสิ่งหนึ่งเลยที่จะลืมไม่ได้ที่ชิบูย่าคือการไปชมห้าแยกที่คาดกันว่าเป็นหนึ่งในแยกที่มีการสัญจรของผู้คนสูงที่สุดในโลกเลยทีเดียวค่ะ
มีการกะประมาณกันว่าจำนวนคนที่เดินข้ามถนนใน 1 ครั้ง ในช่วงเวลาที่วุ่นวายสุดๆ น่าจะมีถึง 3,000 คน!
วันนี้เรามาในเวลา 9 โมงครึ่ง ถือว่าจำนวนคนจะยังไม่เยอะที่สุด หากเป็นวันธรรมดา
ใครอยากดูเด็ดๆ จะขอแนะนำช่วงก่อนเข้างานวันธรรมดา (ก่อน 9 โมงเช้า) ช่วงเลิกงานวันธรรมดา (ประมาณ 6 โมงเป็นต้นไป) หรือมาในวันหยุด จะเห็นคนเดินไปมากันเพียบจนแทบลายตา
แต่ถ้ามาวันที่คนเยอะๆ ก็ต้องระมัดระวังในการถ่ายรูปด้วยนะคะ เพราะอาจจะไปชน หรือไปเกะกะใครเขาได้นะ
ถ่ายรูปที่ระลึกเสร็จแล้ว เราจะเดินไปทางขวามือ (ไม่ต้องข้ามถนน) เลียบไปด้านข้างป้อมตำรวจ ใต้สะพาน ออกมาจะเจอกับวงเวียนป้ายรถเมล์มากมายค่ะ
ป้ายที่เราจะขึ้นนั้น เดินตรงไปจนถึงหัวเลี้ยวก็จะถึงเลย
มองหาป้ายรถเบอร์ 51 ไว้นะคะ เราจะขึ้นรถที่เขียนว่า "都01" (โทะ01) สายเดียวทั้งวันเลยค่ะ เพื่อความเข้าใจง่าย
พอเจอแล้วก็ไปต่อแถวรอขึ้นรถกันดีกว่า
เนื่องจากวันนี้เรากะจะนั่งรถบัสกันทั้งวัน พอขึ้นรถไปปุ๊บ เราเลยจะบอกกับคนขับรถว่า "ขอตั๋วฟรีพาสหน่อย!"
ตั๋วพาสที่เราจะซื้อใช้กันก็คือ Toei One-day Pass (Toei Marugoto Kippu) ราคา 700 เยน ซึ่งจะใช้นั่งได้ทั้งรถใต้ดินของ Toei รถบัสของ Toei รถรางสายอาราคาวะ และรถไฟสาย Nippori-Toneri ได้ไม่จำกัดในหนึ่งวันค่ะ
เมื่อซื้อแล้ว ต่อจากนี้ไปเวลาขึ้นรถเมล์ ก็แค่โชว์หลังบัตรที่มีวันที่สวยๆ ใส่คนขับก็พอค่ะ
นอกจากนี้จะมีตั๋ววันแบบที่ใช้ได้แค่รถบัสเท่านั้น (Toei Bus One-day Pass) ในราคา 500 เยนค่ะ แต่วันนี้เราจะนั่งรถไฟใต้ดินด้วยนิดหน่อย จึงเลือกซื้อแบบ 700 เยน
สำหรับรายละเอียดของพาสนั้นสามารถหาอ่านเพิ่มเติมได้จากเว็ปไซต์อย่างเป็นทางการของ Toei ได้เลยค่ะ
10:00 รู้จักญี่ปุ่นผ่านศิลปะและสวนญี่ปุ่นที่ พิพิธภัณฑ์เนซุ (Nezu Museum)
เอื้อเฟื้อภาพล่างโดย : ©Mitsumasa Fujitsuka
นั่งรถบัสจากชิบูย่ามาลงที่ป้าย อาโอยาม่ากาคุอิง จูโทบุมาเอะ (Aoyamagakuin - Chutobu) ใช้เวลาแค่ประมาณ 6 นาที
พอลงรถแล้ว ให้เดินต่อไปอีกนิดหน่อย จะพบกับสี่แยกค่ะ ข้ามถนนก่อน แล้วค่อยเดินไปทางขวามือ จากนั้นเดินตรงไปเรื่อยๆ ประมาณ 10 นาที เราจะเจอกับอาคารสีดำสง่า ตระหง่านอยู่ทางขวามือ
ที่นี่คือพิพิธภัณฑ์เนซุ ที่คอยจัดแสดงผลงานศิลปะอันมีประวัติศาสตร์ค่ะ โดยสิ่งที่จัดแสดงจะหมุนเวียนไปเรื่อยๆ ทำให้มาอีกกี่ทีก็ได้ ไม่รู้เบื่อ
นอกจากนี้ยังมีสวนญี่ปุ่นที่แสนกว้างและร่มรื่นจนลืมไปเลยว่านี่เราอยู่ใจกลางกรุงโตเกียว!
เดินเข้ามาด้านใน ชำระค่าเข้าชม 1,100 เยน หรือ 1,300 เยน หากมีนิทรรศการพิเศษ
เพียงแค่ตัวอาคารเองก็สวยงาม มีห้องจัดแสดงชั้นหนึ่ง 2 ห้อง และชั้นสอง 3 ห้อง ส่วนชั้นใต้ดินเป็นห้องสัมมนา
ภายในมีลิฟท์ให้บริการสำหรับคนใช้รถเข็นได้อย่างสะดวกสบาย แถมยังมีตู้ล๊อคเกอร์ให้ใช้ฟรีอีกด้วย (หยอดเหรียญ 100 เยนก่อน แล้วจะได้คืนตอนเอาของออก)
ร้านขายของฝาก ก็มีทั้งโปสการ์ดรูปงานศิลปะต่างๆ รวมไปถึงสินค้าที่ใช้ได้จริงอย่างกระเป๋า มาสกิ้งเทป ที่เป็นลวดลายแบบญี่ปุ่น
และที่นี่ยังมีสวนญี่ปุ่นที่แสนสวยงามค่ะ ความพิเศษอีกอย่างก็คือ การนำผลงานศิลปะมาประดับตามส่วนต่างๆ ของสวน ทำให้ได้บรรยากาศโดยไม่รู้สึกผิดปกติแต่อย่างใดเลย
ภายในสวนยังมีคาเฟ่อีกด้วย หลังเดินชมนิทรรศการ ก็สามารถมาเดินเล่นหย่อนใจในสวนนี้ได้อีกด้วยนะ
หลังจากเดินพิพิธภัณฑ์จนอิ่มใจแล้ว ก็ได้เวลาไปตามหาอะไรให้อิ่มท้องกันค่ะ
เราก็จะเดินกลับไปยังป้ายรถเมล์ทีนั่งมา หรือว่าพอเดินกลับมาถึงสี่แยก จะเดินไปทางขวามือ เพื่อไปยืนรอที่ป้ายรถบัสถัดไป ที่ป้าย มินามิอาโอยาม่านานะโจเมะ (Minami-Aoyama-Nanachome หรือ Minami-Aoyama 7) ก็ได้เหมือนกันค่ะ
12:00 ทานอาหารกลางวัน และเดินเที่ยว อาซาบุจูบัง (Azabu Juban) เมืองชิลล์ๆ ท่ามกลางโตเกียว
นั่งรถมาลงที่ป้ายหน้าสถานีรปปงงิ (Roppongi Sta.) ใช้เวลาประมาณ 5 นาที เราจะมาอยู่กลางย่านรปปงงิที่โด่งดังนั่นเอง
แต่เราจะพาไปหลบความวุ่นวายของรปปงงิที่สถานที่เดินเที่ยวของคนญี่ปุ่นใกล้ๆ นี้กันก่อนค่ะ
พอลงรถบัสมาปุ๊บ ให้สอดส่องสายตามองหาสถานีรถไฟใต้ดินสาย Toei Oedo ค่ะ
รถไฟสายนี้เป็นของ Toei ซึ่งเป็นเจ้าเดียวกับตั๋วพาสของเรา ฉะนั้นเราสามารถเอาตั๋วนี้สอดเข้าเครื่องตรวจตั๋วปื้ดเดียวผ่าน ไม่ต้องชำระเงินเพิ่มเลยจ้า
ลงไปรถไฟใต้ดินสาย Toei Oedo เพื่อนั่งรถไปยังสถานี Azabu Juban เพียงหนึ่งสถานี กระพริบตาก็ถึง แล้วออกทางออก 4 หรือ 5b จะมาโผล่ที่แหล่งช้อปปิ้ง "อาซาบุจูบัง" (Azabu Juban) ค่ะ
หลายๆ คนอาจจะเคยได้ยินชื่อ "อาซาบุจูบัง" มาจากการ์ตูนยอดฮิตสมัยผู้เขียนยังเอ๊าะๆ อย่าง เซเลอร์มูน
จวบจนถึงปัจจุบันนี้ อาซาบุจูบัง ยังเป็นแหล่งเดินเล่นสำหรับชาวญี่ปุ่น ซึ่งไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวทราบกันเท่าไหร่เลยค่ะ
ทั้งอาคารรอบๆ ที่ไม่มีตึกสูง รวมถึงอาคารเก่า หรือแม้แต่ถนนรถวิ่งยังปูด้วยอิฐจนอาจลืมไปเลยว่านี่กำลังเดินอยู่ใจกลางความเจริญของญี่ปุ่น ที่นี่เต็มไปด้วยร้านรวงหลายแบบที่ทำให้เห็นไลฟ์สไตล์ของคนญี่ปุ่น ทั้งร้านขายผลิตภัณณ์จากข้าวและข้าวหมัก ร้านยาแผนโบราณ ร้านเค้ก ร้านขนม คาเฟ่ ร้านอาหารทั้งญี่ปุ่นและอาหารฝรั่ง ร้านขายเครื่องสำอางค์แบบบ้านๆ หรือแม้แต่สวนสาธารณะเล็กๆ ของชุมชน
ไหนๆ วันนี้เราก็ได้นั่งรถบัสแบบชาวโตเกียวแล้ว เราก็มาเดินเมืองชิลล์ๆ แบบชาวโตเกียวกัน!
อากาศหนาวๆ ต้องโอเด้งร้อนๆ ที่ ฟุคุชิมะยะ (Fukushimaya)
ส่วนอาหารในฤดูหนาวๆ แบบนี้ เห็นทีจะไม่แนะนำ "โอเด้ง" ก็คงจะไม่ได้!
ที่ร้านฟุคุชิมะยะ เป็นร้านอาหารที่ขายแต่โอเด้ง เป็นหลักค่ะ รวมถึงจัดเป็นเซ็ทอาหารกลางวันให้ทานพร้อมกับข้าวได้ในราคาคุ้มค่า
"โอเด้ง" คืออาหารประเภทต้ม ซึ่งเอาลูกชิ้นปลาหลายแบบ ไชเท้า ไข่ต้ม บุก สาหร่าย และอื่นๆ มาต้มทิ้งไว้ในน้ำซุปร้อนๆ ให้รสชาติเข้าเนื้อ และไช้เท้านุ่มมมม จนใช้ตะเกียบกดก็หั่นให้ขาดได้
และเป็นอาหารประจำฤดูหนาวของญี่ปุ่นเลยล่ะค่ะ
สำหรับสมัยนี้ แค่อากาศเริ่มเย็นขึ้นในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ก็จะเห็นร้านสะดวกซื้อหลายร้านเริ่มเอาโอเด้งออกมาขายแล้ว
วันนี้เราเดินเที่ยวท่ามกลางลมเย็นของโตเกียว แบบนี้ต้องทำให้ร่างกายอบอุ่นด้วยโอเด้งรสชาติล้ำลึกซะแล้ว!
อาหารที่สั่งเลยเป็น "ฟุคุชิมะยะ โนะ โอเด้ง เทโชคุ" (Fukushimaya no Oden Teishoku) แปลง่ายๆ ตรงตัวได้เลยว่า ชุดอาหารโอเด้งของร้านฟุคุชิมะยะ
ในชุดประกอบด้วยโอเด้ง 6 อย่าง เสิร์ฟพร้อมข้าวสวยร้อนๆ ผักดอง เครื่องเคียง และถั่วตุ๋น
โอเด้งปกตินั้นจะเป็นรสชาตินุ่มละมุน ทานแล้วอบอุ่นค่ะ แต่ถ้าใครชอบรสเข้มๆ จะแนะนำให้สั่งเป็นชุด มิโสะโอเด้งเทโชคุ (Miso Oden Teishoku) แทน ซึ่งจะเป็นการต้มเครื่องในน้ำซุปทีปรุงด้วยเต้าเจี้ยวมิโสะ รสชาติจะเค็มหวานมากกว่าค่ะ
เนื่องจากมื้อนี้สั่งเป็นเซ็ทโอเด้งรสชาติปกติมาแล้ว ผู้เขียนเลยขอสั่งมิโสะโอเด้งจานเล็ก เป็นกิวสุจิ (เอ็นวัวตุ๋น) แทน จานนี้จะรสชาติข้นมัน ตัวเอ็นวัวนั้นนุ่ม ทานง่ายมากๆ ค่ะ
การทานโอเด้งนั้น จะมีกระปุกสีเหลืองเล็กๆ มาด้วย ด้านในคือมัสตาร์ดค่ะ ถ้าใครชอบเผ็ดร้อนนิดๆ ก็ปาดมัสตาร์ดมาไว้ข้างจานตัวเอง แล้วแตะทานกับโอเด้งก็ได้
เซ็ทอาหารโอเด้งราคาอยู่ที่ 1,275 เยน และกิวสุจิตุ๋นมิโสะราคา 410 เยนค่ะ
ชั้นหนึ่งของร้านมีขายโอเด้งแบบซื้อกลับบ้านได้ด้วย แต่เราที่จะไปเที่ยวกันต่อคงไม่สะดวกถือตะลอนๆ ต่อไปนัก ก็ขอแนะนำน้ำซุปโอเด้ง ขวดละ 421 เยน ให้กลับไปต้มกินเองที่บ้านได้เลย
13:50 กลับมาเที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังที่ รปปงงิฮิลล์ (Roppongi Hills)
เดินเล่นกันแล้วก็ขึ้นรถไฟสายเดิม สาย Toei Oedo ฟรีด้วยบัตรเบ่งฟรีพาสกลับมาที่สถานีรปปงงิค่ะ ไหนๆ ก็มาถึงที่นี่แล้ว จะพลาดสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังอย่างรปปงงิฮิลส์ (Roppongi Hills) ได้ยังไง!
อาคาร Roppongi Hills นั้นคืออาคารสูงที่มีลานกว้างลอยฟ้า พร้อมรูปปั้นแมงมุมยักษ์อันเป็นสัญลักษณ์ โดยอาคารสูงนั้นประกอบด้วยส่วนที่เป็นห้างสรรพสินค้า มีร้านรวงและร้านอาหารมากมาย รวมถึงโรงภาพนตร์ หอศิลปะ และอาคารสำนักงาน
หรือก็คือ เป็นศูนย์บันเทิงและธุรกิจครบวงจร สมกับเป็นเมืองหลวงโตเกียว!
นอกเหนือจากห้างแล้ว เราจะขอแนะนำสถานที่หย่อนใจอื่นๆ อีกนิดนะคะ
สวนโมริ (Mori Garden)
สวนโมริเป็นสวนเล็กๆ ที่อยู่ด้านข้างของ Roppongi Hills ค่ะ แม้จะเล็ก แต่ก็จัดตกแต่งอย่างสวยงาม ร่มรื่น เป็นจุดผ่อนคลายและมีจุดน่าถ่ายรูปด้วยนะ!
จุดที่น่าสนใจก็คงจะเป็นน้ำตกเล็กๆ ที่ส่งเสียงทำให้รู้สึกสบายใจ และประติมากรรมรูปหัวใจที่เอาไว้ถ่ายรูปสวยๆ อวดเพื่อนได้เลย
สถานีโทรทัศน์อาซาฮี
อาคารที่อยู่ข้างๆ สวนโมริที่พึ่งจะแนะนำไปนั้นคืออาคารที่ทำการและสตูดิโอของสถานีโทรทัศน์อาซาฮีค่ะ
ชั้นหนึ่งของที่นี่เปิดให้บุคคลทั่วไปเข้าชมได้ โดยจะมีจุดถ่ายรูปโดยจำลองฉากมาจากรายการหรือละครยอดนิยมค่ะ
นอกจากนี้ยังมีตั้งซุ้มของวิเศษและฉากของการ์ตูนเรื่องโดราเอม่อน ขวัญใจตลอดการของผู้เขียนด้วยค่ะ
แถมยังมีทั้งร้านขายของที่ระลึกจากรายการยอดนิยมของช่องอาซาฮีด้วยนะคะ
บอกเลยว่าใครชอบดูรายการทีวี ละคร หรือการ์ตูนญี่ปุ่น ต้องลองแวะมาชมและมาซื้อสินค้าน่าสนใจกันเลยจ้า!
15:30 ศาลเจ้าฮิเอ ศูนย์รวมศรัทธาท่ามกลางตึกระฟ้า
เมื่อเดินรปปงงิกันเสร็จแล้ว คราวนี้เราจะไปเป้าหมายต่อไปกัน ยังจำป้ายรถบัสเดิมที่ลงตอนมาถึงรปปงงิได้ไหมคะ เรากลับไปยังป้ายนั้น เพื่อขึ้นรถสายเดิมไปลงยังป้าย "ทาเมะอิเคะ" (Tameike) ใช้เวลาเพียงประมาณ 10 นาทีค่ะ
พอลงจากรถแล้ว ก็เดินต่ออีกหน่อยจนเจอสี่แยก เดินข้ามสี่แยกไปก่อนแล้วค่อยเดินไปทางซ้ายมือ จากนั้นเดินตรงไปเรื่อยๆ ประมาณ 13 นาที เราจะเห็นเสาโทริอิสีขาวอันใหญ่ยักษ์เด่นอยู่ท่ามกลางตึกสูงระฟ้าที่เรียงรายไปทั่วเขตธุรกิจแห่งนี้ค่ะ
ความพิเศษอีกอย่างหนึ่งก็คือ ศาลเจ้าที่ตั้งอยู่บนเนินสูงนี้มี "บันไดเลื่อน" ให้บริการด้วยสำหรับคนที่เที่ยวมาเหนื่อยแล้ว หรืออาจจะมากับผู้ใหญ่ที่ขาไม่ค่อยดีแล้วด้วยล่ะ
ศาลเจ้าฮิเอนี้มีเรื่องเล่าขานมาตั้งแต่ปี 1478 แต่ตอนนั้นไม่ได้ตั้งอยู่ในที่ปัจจุบัน ซึ่งย้ายมาในปี 1659 หลังจากเกิดเพลิงไหม้ รวมแล้วอายุก็หลายร้อยปีอยู่
เทพเจ้าที่นี่คือ โอยามะคุอิโนะคามิ (Oyamakui no Kami) ซึ่งเป็นเทพแห่งภูเขา ศาลเจ้านี้จึงอยู่บนเนินนั่นเอง
เทพเจ้าองค์นี้มีข้ารับใช้เป็นลิง ทำให้เราเห็นรูปปั้นของลิงอยู่ด้านหน้าอาคารของศาลเจ้าด้วยค่ะ และตัวรูปปั้นลิงนั้นก็มีรูปปั้นที่เป็นลิงอุ้มเด็กทารกอยู่ ผู้คนจำนวนมากจึงเชื่อว่าที่นี่สามารถใช้โชคในเรื่องของการตั้งครรภ์ ความปลอดภัยของเด็กค่ะ
17:00 สถานีชิมบาชิ ทานปูให้เต็มที่กับร้าน "คานิจิโกกุ" (Kani Jigoku)
มาถึงตรงนี้เราอาจจะเริ่มหิวกันแล้ว มาเดินกลับไปที่ป้ายรถบัสเดิมกันค่ะ เดี๋ยวเราจะไปหาข้าวเย็นทานกันแล้ว!
จากป้ายรถบัสทาเมะอิเคะ เรานั่งไปลงที่ป้าย "สถานีชิมบาชิ คิตะกุจิ" (Shimbashi Sta. Kitaguchi (North Exit) ) ใช้เวลาประมาณ 10 นาที
ลงรถมาแล้ว มองไปตามทางจะเห็นสะพานใหญ่ๆ อยู่ เดินไปตามทางนั้นได้เลยค่ะ พอถึงสี่แยก มองไปทางขวามือจะเห็นถนนที่สองข้างทางเต็มไปด้วยป้ายไฟ ข้ามถนนไปตามทางนั้นเลย เดินไปนิดเดียว ซ้ายมือจะเห็นหัวรถจักรของรถไฟแบบเก่าอยู่ ตรงนั้นคือลานหน้าสถานีรถไฟชิมบาชิค่ะ มองถัดไปอีกหน่อยจะเห็นอาคารใหญ่ซึ่งเป็นเป้าหมายของเราค่ะ
เดินเข้าไปในอาคารนิวชิมบาชิ (New Shimbashi Building) เมื่อเดินเข้าจากประตูที่หันหน้าไปทางลานกว้างหน้าสถานีรถไฟ จะมีบันไดเลื่อนอยู่ขวามือเลย เดินลงบันไปเลื่อนไป แล้วกลับหลังหัน เดินตรงไปจนสุดทาง
ร้าน "คานิจิโกกุ" จะอยู่ทางขวามือตรงหัวมุมเลยค่ะ เพียงแค่เดินเข้าใกล้ก็ได้กลิ่นของปูลอยออกมาแล้ว!
พูดถึงของดีฤดูหนาวของญี่ปุ่น อีกอย่างนึงที่พลาดไม่ได้ก็คือ "ปู" ค่ะ!
สำหรับร้านนี้มีความพิเศษตรงที่ นอกจากจะมีอาหารทะเลหลายอย่างรวมไปถึงปูแล้ว ที่นี่ยังรวมเอาปูหลากหลายสายพันธุ์มาให้ชิมเปรียบเทียบได้เลย ไม่ว่าจะเป็นปูหิมะ ปูทาราบะ หรือปูขน เลือกสั่งได้ว่าจะทานแบบต้มหรือย่าง แถมยังมีปูสดๆ กับปูเป็นๆ โชว์อยู่ในร้าน จึงสามารถเลือกดูได้ก่อนด้วย
ทานเสร็จไปเมาท์กับใครเขาได้ว่าเรานี่แหละรู้จริงเรื่องปูญี่ปุ่น!
และแน่นอนว่าที่นี่มีเมนูตามสไตล์ร้านเหล้าญี่ปุ่น "อิซากายะ" ด้วยค่ะ
ค่าใช้จ่ายมื้อนี้คงต้องบอกว่าแล้วแต่จะสั่งจริงๆ แต่ก็จะอยู่ประมาณท่านละ 5,000 เยน
* ต้องจองล่วงหน้าเท่านั้น ทางร้านขอสงวนสิทธิ์ไม่รับลูกค้า walk-in
* ต้องจองเป็นภาษาญี่ปุ่นเท่านั้น และมีผู้ที่สื่อสารภาษาญี่ปุ่นได้ในกลุ่ม
* ภายในร้านสามารถสูบบุหรี่ได้
19:30 สถานีโตเกียว เทศกาลประดับไฟ มารุโนะอุจิ
ทานอาหารเย็นจนเต็มอิ่มแล้ว เราจะปิดทริปหนึ่งวันโดยรถบัสกันที่การไปชมของดีหน้าหนาวอีกอย่างของญี่ปุ่นที่ขาดไม่ได้เลย ซึ่งก็คือ การประดับไฟ หรือ อิลลูมิเนชั่น (Illumination) นั่นเอง!
เดินลงรถไฟใต้ดินสาย Toei Asakusa เพื่อนั่งรถไฟไปยังสถานีถัดไป สถานีฮิงาชิกินซ่า (Higashi Ginza) แน่นอนว่าใช้ตั๋ววันของเรานั่งได้ฟรีเช่นกัน
พอลงที่สถานีฮิงาชิกินซ่าแล้ว เดินออกไปยังทางออก A1 ออกมาจะเจอกับป้ายรถบัส กินซ่ายงโจเมะ (Ginza-Yonchome หรือ Ginza 4) ตรงหน้าเลย
คราวนี้มารอรถเมล์ แต่เราจะไม่ขึ้นสาย 都01 แล้ว ครั้งนี้เราจะรอรถสาย 都04 หรือ 都05-1/05-2 กันค่ะ ขึ้นไปแล้วลงที่ป้ายสุดท้าย ป้าย สถานีโตเกียว ประตูมารุโนะอุจิทิศใต้ (Tokyo Sta. Marunouchi-Minamiguchi หรือ Marunouchi South Exit) ค่ะ
เราจะโผล่มาที่หน้าสถานีโตเกียวเลย! รอบๆ นี้จะมีหลายอาคารที่ประดับไฟและต้นคริสต์มาส รวมถึงถนนมารุโนะอุจิเอง ก็กลายร่างเป็นถนนที่มีแสงสีทองเรืองรองสองข้างทาง แถมยังกั้นไม่ให้รถวิ่งด้วยล่ะ (จนถึงสามทุ่ม)
ตามอาคารบริเวณนี้มีการตกแต่งไฟประดับคริสต์มาสโดยการออกแบบของศิลปินนักจัดดอกไม้ คุณ Nicolai Bergmann ในธีม "Blooming Anniversary" ค่ะ
ถนน Marunouchi Nakadori
ถนนสายนี้ตั้งอยู่ถัดจากสถานีโตเกียวไปเพียงแค่นิดเดียวเท่านั้น
ด้วยหลอดไฟ LED เกือบหนึ่งล้านดวง (ประมาณ 980,000 ดวง) ถูกนำมาใช้เปลี่ยนต้นไม้สองร้อยต้น ในระยะทางประมาณ 1.2 กิโลเมตรให้ส่องแสงสีทองสว่างดูหรูหราด้วยสีแชมเปญโกลด์ไปตลอดเส้นทางที่เรียงรายด้วยต้นไม้
การประดับไฟที่ถนนมารุโนะอุจิ นากาโดริ นั้นจัดอย่างต่อเนื่องมาแล้วถึง 16 ปีค่ะ
นอกจากความสวยงามแล้ว ทางผู้จัดยังคำนึงถึงสภาพแวดล้อม โดยการเลือกใช้หลอด LED แบบประหยัดพลังงานซึ่งพัฒนาให้ใช้พลังไฟฟ้าน้อยลงเรื่อยๆ อีกด้วย
และด้วยความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมแบบนี่ล่ะค่ะที่ทำให้การประดับไฟถนนมารุโนะอุจิ นากาโดริ ได้รับการรับรองให้เป็น "มรดกทิวทัศน์ยามค่ำคืนของญี่ปุ่น" ในปี 2016
ไม่เพียงแค่เราจะได้สนุกกับเทศกาล และได้ถ่ายรูปสวยๆ แล้ว เรายังรับรู้ถึงความใส่ใจตามสไตล์คนญี่ปุ่นได้
หลังจากชมไฟสวยๆ เสร็จ คงเริ่มหนาวกันแล้ว ได้เวลากลับไปพักผ่อนอิ่มใจที่ที่พักกันแล้วล่ะ!
เป้าหมายสุดท้ายอยู่ที่สถานีโตเกียว ต้องบอกว่าไม่ว่าจะพักอยู่โซนไหน ก็กลับสะดวกแน่นอน
แถมที่ใกล้ๆ กันยังมีสถานี Otemachi ที่มีรถไฟของ Toei สาย Mita จึงสามารถใช้ One-day Pass ของเราต่อได้ด้วย ถ้าวางแผนกลับที่พักดีๆ เรียกว่าตั๋วนี้คุ้มค่าจนถึงวินาทีสุดท้ายจริงๆ ค่ะ!
อย่างเช่น หากใครพักที่ชินจูกุ สามารถนั่งรถได้แบบนี้เลย
สถานี Otemachi สาย Mita → ลงสถานี Jimbocho เปลี่ยนรถเป็นสาย Toei Shinjuku → สถานีชินจูกุ
หรือใครพักที่สถานีอุเอโนะ ก็สามารถกลับแบบนี้ได้
สถานี Otemachi สาย Mita → ลงสถานี Kasuga เปลี่ยนรถเป็นสาย Toei Oedo → สถานี Ueno Okachimachi
ยังไงลองดูเส้นทางรถกับสถานีที่พักดูนะคะ บางทีอาจจะไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเลยนะ
สรุปการเดินทาง
สถานีชิบูยะ → พิพิธภัณฑ์เนซุ → อาซาบุจูบัง → ร้านอาหาร ฟุคุชิมะยะ → รปปงงิฮิลล์ → สวนโมริ → สถานีโทรทัศน์อาซาฮี → ศาลเจ้าฮิเอ → สถานีชิมบาชิ → ร้านอาหาร คานิจิโกกุ → สถานีโตเกียวฝั่งมารุโนะอุจิ → เดินชมอิลลูมิเนชั่นบริเวณสถานีโตเกียว มารุโนะอุจิ → สถานีโตเกียว
ค่าเดินทางทั้งหมด : ค่ารถ Toei Marugoto Kippu 700 เยน
ใช้จ่ายอื่นๆ : ค่าอาหาร 6,685 เยน ค่าช้อปปิ้งและของฝากต่างๆ แล้วแต่บุคคล
รวมค่าใช้จ่ายใน 1 วัน/1 คนตามแผน : ประมาณ 7,385 เยน (ไม่รวมค่าซื้อของอื่นๆ)
Supported byToei Transportation
สาวไทยในโตเกียว ลัลล้ากับการทำงาน ว่างๆ ก็แว่บไปเที่ยวและชิมของอร่อย สนใจวัฒนธรรมญี่ปุ่น รวมไปถึง Pop culture~♥
นอกจากนี้ บทความอาจมีลิงก์โฆษณา โปรดพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจซื้อหรือจอง