Start planning your trip
ชวนไปเก็บสตรอเบอร์รี่ แวะช้อปปิ้งเอาท์เล็ท แล้วไปชมไฟประดับสุดอลังการที่สวนดอกไม้อาชิคางะ ไปง่ายๆ ใกล้โตเกียว!
ชวนไปเที่ยวใกล้ๆ โตเกียว ครบครันในวันเดียวทั้งเก็บสตรอเบอร์รี่สดๆ ลูกโต หวานหอมจากสวน แวะช้อปปิ้งสินค้าแบรนด์เนมในราคาแสนถูก สุดคุ้มที่ Sano Premium Outlets แล้วปิดท้ายด้วยการชมไฟประดับสุดอลังการที่สวนดอกไม้อาชิคางะ (Ashikaga Flower Park)
เก็บสตรอเบอร์รี่ลูกโตหวานอร่อย ช้อปปิ้งแบรนด์เนมแสนสนุก ชมไฟประดับอลังการ จะมีทริปไหนโดนใจขนาดนี้ได้บ้าง!?
เป้าหมายในการมาเที่ยวญี่ปุ่นของใครหลายๆ คน แน่นอนว่าคือการมาชมซากุระ แต่นอกจากนั้นแล้วก็ยังมีเป้าหมายอื่นๆ อีกที่เพื่อนๆ ฝันเอาไว้ใช่ไหมล่ะคะ!?
ทริปที่จะชวนไปในวันนี้ถือว่าตอบโจทย์ของคนไทยแน่นอนเลย! เพราะว่าทั้งได้เก็บสตรอเบอร์รี่กินจนฉ่ำใจ ได้ช้อปปิ้งแบรนด์เนมในราคาคุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้มที่เอาท์เล็ท ก่อนจะปิดท้ายด้วยการชมไฟประดับอิลลูมิเนชั่นที่งดงามอลังการขนาดติดอันดับ 1 ใน 3 อิลลูมิเนชั่นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในภูมิภาคคันโตเลยค่ะ
ทั้งหมดนี้ใช้เวลาแค่วันเดียว เดินทางไปกลับจากโตเกียว
จะหาทริปที่ไหนรวมกิจกรรมโดนใจคนไทยเอาไว้ได้ขนาดนี้อีก!
งั้นมาเริ่มเดินทางกันเลยดีกว่า!
8:40 เดินทางออกจากโตเกียวที่สถานีอาซากุสะ สายโทบุ (Tobu)
วันนี้เราจะไปยังจังหวัดโทจิกิกัน! จังหวัดที่มีผลผลิตสตรอเบอร์รี่เยอะที่สุดของญี่ปุ่นเลย แบบนี้สตรอเบอร์รี่เขาจะไม่เด็ดได้ไง
สำหรับการเดินทางไปยังจังหวัดโทจิกิ เมืองขึ้นชื่อเรื่องสตรอเบอร์รี่ ขอแนะนำรถไฟสายโทบุ (Tobu) ที่สามารถเดินทางได้ง่ายๆ นั่งรถไฟแสนสบายปรื้ดเดียวถึงสถานีโทจิกิ (Tochigi) เลยค่ะ
โดยปกติเวลาประมาณ 9 โมงเช้าจะมีรถไฟ แต่ขอให้เช็คเวลาเพื่อความแน่นอน จะได้กำหนดเวลามาที่สถานีถูก อย่าลืมเผื่อเวลาซื้อตั๋วด้วยนะ
สำหรับตั๋วนั้น เราจะต้องซื้อตั๋วรถไฟแบบด่วนพิเศษ (Limited Express) ค่ะ สามารถซื้อได้ที่เครื่องขายตั๋วเลย
โดยจะต้องระมัดระวังว่าเราต้องกดซื้อตั๋วทั้งหมดสองครั้งคือ
1. ซื้อตั๋วรถไฟราคา 990 เยน โดยกดซื้อได้จากหน้าจอแรกที่มีตัวเลขหลายๆ ปุ่มเลย
2. ซื้อตั๋วสำหรับโดยสารรถไฟด่วน โดยกดไปที่ Ltd. Exp. Ticket ด้านข้างๆ แล้วเลือก Today เลือกสถานีต้นทาง (Asakusa) และสถานีปลายทาง (Tochigi) จากนั้นเลือกรถที่จะขึ้นจากเวลาได้เลยค่ะ ค่าโดยสารจะแตกต่างไปตามรถคันที่ขึ้น โดยวันนี้ที่ผู้เขียนได้ขึ้นคือ Revaty ราคา 1,230 เยน
รวมราคาแล้ว 990 + 1,250 = 2,240 เยน
ตั๋วสำหรับรถไฟด่วนจะกำหนดที่นั่งมาเลย ถ้าหากมาด้วยกัน ต้องกดซื้อพร้อมกันโดยเลือกจำนวนตั๋วในตอนนี้นะคะ ไม่งั้นที่นั่งจะแยกกันค่ะ
และสำหรับใครที่ไม่แน่ใจเรื่องวิธีการซื้อตั๋วหรือเรื่องเที่ยว ตรงนั้นมี Tourist Information Center Asakusa อยู่เลยค่ะ! สามารถแวะเข้าไปสอบถามได้สบายหายห่วงเลย
พอได้ตั๋วแล้วก็เดินไปในสถานี แล้วรอขึ้นรถไฟด่วนพิเศษที่มีที่นั่งแสนสบายกันเลยจ้า
ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ก็จะมาถึงสถานีโทจิกิกันแล้ว
10:30 เก็บสตรอเบอร์รี่สดๆ กินเองไม่อั้นที่ อิจิโกะโนะซาโตะ (Ichigo no Sato)
เมื่อถึงสถานีโทจิกิ ออกจากที่ตรวจตั๋วแล้วให้เลี้ยวไปทางขวามือ ออกทางออก North Exit หน้าสถานีจะมีรถแท็กซี่จอดรออยู่เลยค่ะ
เราจะนั่งแท็กซี่ไปยังสวนสตรอเบอร์รี่ใกล้ๆ ใช้เวลาเพียงแค่ 15 นาทีสะดวกสบายมาก ชื่อ อิจิโกะโนะซาโตะ (Ichigo no Sato) แปลว่า "บ้านเกิดของสตรอเบอร์รี่" เลยนะ!
ถ้ากลัวจะคุยกับแท็กซี่ไม่รู้เรื่อง เดี๋ยวกดที่ Information ของอิจิโกะโนะซาโตะในบทความนี้ จะมีทั้งแผนที่และที่อยู่ให้ เอายื่นให้พี่แท็กซี่ได้เลย รับรองไม่หลงชัวร์
ค่าโดยสารรถแท็กซี่อยู่ที่ประมาณ 2,260 เยนค่ะ
เมื่อมาถึงแล้ว ก็เข้าไปยังเคานเตอร์ประชาสัมพันธ์ก่อนเลย ซึ่งจะอยู่ด้านหลังๆ สวนนิดนึง ติดกับที่จอดรถ
สำหรับการเก็บสตรอเบอร์รี่ทานแบบบุฟเฟต์ของสวนนี้ จะต้องทำการจองล่วงหน้าค่ะ ซึ่งสามารถจองผ่านเว็บไซต์ของสวนได้เลย
ในหนึ่งวันจะเปิดให้เก็บด้วยกันพันธุ์ละ 2 รอบ ตอนเวลา 10:30 - 10:55 และ 13:30 - 13:55 ในวันธรรมดา และตอนเวลา 9:30 - 11:55 กับ 12:00 - 14:55 ในวันหยุด
โดยเราจะมีเวลาเก็บรับประทานได้ 30 นาที เลือกได้แค่พันธุ์เดียวค่ะ
สตรอเบอร์รี่สามพันธุ์ที่สวนนี้มีล้วนแล้วแต่เป็นพันธุ์เอกโด่งดังของจังหวัดอย่าง
"โทจิโอโตเมะ" (Tochiotome) สายพันธุ์ลูกไม่ใหญ่มาก แต่เนื้อแน่นกรอบ หวานอมเปรี้ยว
"สกายเบอร์รี่" (Skyberry) สตรอเบอร์รี่ลูกใหญ่เบิ้ม เนื้อนุ่ม หอม หวานฉ่ำ
"โทจิฮิเมะ" (Tochihime) สตรอเบอร์รี่ที่ใหญ่กว่าโทจิโอโตเมะอีกนิด และเน้นความหวานฉ่ำเนื้อนุ่ม และขนส่งลำบากจนหาซื้อในตลาดได้ยาก จนได้รับขนานนามว่า "สตรอเบอร์รี่มายา"
จะมีสตรอเบอร์รี่พันธุ์ไหน และราคาเท่าไหร่ จะแตกต่างไปตามช่วงเวลา สามารถตรวจสอบได้จากเว็ปไซต์เช่นกัน โดยราคาจะอยู่ที่ 1,200 - 2,000 เยนค่ะ
ส่วนวันนี้ที่เรามากันเป็นช่วงที่มีสตรอเบอร์รี่ให้เลือกทั้ง "โทจิโอโตเมะ" (1,600 เยน) และ "สกายเบอร์รี่" (2,000 เยน)
พอเข้าไปติดต่อที่ประชาสัมพันธ์เสร็จแล้ว พนักงานจะนำเราไปยังสวนสตรอเบอร์รี่ที่อยู่ในเรือนปลูกที่มีอยู่มากมายค่ะ
ข้อควรระวังคือ "เรือนใครเรือนมัน!" ห้ามแว่บไปเก็บสตรอเบอร์รี่จากเรือนอื่น และในเรือนจะมีกล่องไม้เป็นรังผึ้งอยู่ อย่าไปยุ่งกับมันเพื่อความปลอดภัยของเรานะคะ
ผึ้งนี่แหละคือเคล็ดลับความอร่อยสวนของสตรอเบอร์รี่!
รวมไปถึงห้ามเก็บสตรอเบอร์รี่กลับไปค่ะ ทานได้เท่าไหร่ ตุนไปในพุงได้เท่านั้นนะ
เทคนิคในการเก็บสตรอเบอร์รี่ง่ายๆ ก็คือ ถือผลสตรอเบอร์รี่ไว้ในมือ ให้ก้านอยู่ระหว่างนิ้วของเรา แล้วบิดข้อมือให้ขั้วก้านสตรอเบอร์รี่บิด แค่นี้ผลก็จะหลุดออกจากต้นออกมาง่ายๆ เลยค่ะ
ในรูปนี้คือสตรอเบอร์รี่สองพันธุ์เทียบกันระหว่างโทจิโอโตเมะกับสกายเบอร์รี่ค่ะ จะเห็นขนาดความใหญ่เบิ้มของพี่สกายเบอร์รี่ได้ชัดเจนเลย
ใครชอบเนื้อกรอบอมเปรี้ยว ขอแนะนำโทจิโอโตเมะ ส่วนผู้เขียนชอบแบบหวานๆ เลยหลงรักสกายเบอร์รี่มากกว่าค่ะ
หากใครมาในฤดูกาลอื่นๆ ที่สวนนี้ก็ยังมีทั้งกิจกรรมเก็บองุ่น บลูเบอร์รี่ เชอร์รี่ และลูกพีชอีกด้วยนะคะ
ไม่ว่าจะมาญี่ปุ่นช่วงไหน ก็มาอร่อยได้ทั้งนั้น
แวะทานขนมหรือซื้อของฝากจากสตรอเบอร์รี่ได้อีกเพียบ
นอกจากกิจกรรมเก็บสตรอเบอร์รี่แล้ว ที่นี่ยังมีร้านอาหารและของฝากที่เต็มไปด้วยผลิตภัณฑ์สดๆ จากสวนอีกมากมายเลยล่ะค่ะ
Berry Berry Marche ร้านของฝากที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของผลไม้
ด้านหลังของประชาสัมพันธ์คือร้านขายของฝาก "เบอร์รี่ เบอร์รี่ มาร์เช่" (Berry Berry Marche) ซึ่งเต็มไปด้วยสินค้าจากสตรอเบอร์รี่ เริ่มจากเค้กแสนสวยที่เรียงรายในตู้แช่ ไปจนถึงขนมที่ผสมสตรอเบอร์รี่อย่างเต็มเปี่ยม แยม ลูกกวาด น้ำส้มสตรอเบอร์รี่ โยเกิร์ตสตรอเบอร์รี่ ไปจนถึงเหล้าสตรอเบอร์รี่
ที่น่าสนใจอีกอย่างคือน้ำเชื่อมเข้มข้นสำหรับทำนมสตรอเบอร์รี่ (อิจิโกะโอเล่) ซื้อกลับไทยไปสักขวด ก็สามารถอร่อยกับนมสตรอเบอร์รี่แบบญี่ปุ่นๆ ได้ถึงบ้าน
ของบางอย่างอาจจะมีอายุไม่นาน แต่ก็เย้ายวนน่าซื้อจนต้องพกกลับไปทานที่โรงแรมเลยนะ
ขนมหลายอย่างมีอายุเป็นเดือน ก็ยิ่งเหมาะจะซื้อกลับไปฝากคนอื่นเช่นกันจ้า
สำหรับขนมเด็ดที่จะขอแนะนำในวันนี้เป็นขนมญี่ปุ่นที่ใส่สตรอเบอร์รี่ลูกโตจนต้องตะลึงอย่าง "โทจิโอโตะเมะ โดรายากิ" (ชิ้นละ 280 เยน รวมภาษีแล้ว) และ "อิจิโกะไดฟุกุ 3 ลูก" (650 เยน รวมภาษีแล้ว)
ทั้งสองเมนูเป็นขนมที่หวานอร่อยตามแบบฉบับญี่ปุ่น แต่เสริมความอร่อยเน้นๆ ของสตรอเบอร์รี่ลูกโตของสวนเข้าไปอีก
เรียกได้ว่าเป็นขนมที่อัดแน่นไปด้วยความอร่อยของญี่ปุ่นแท้ๆ เลยทีเดียว!
Ange Fraise คาเฟ่แสนอร่อยของนางฟ้า
ฝั่งตรงข้ามของร้านของฝาก Berry Berry Marche เป็นอาคารน่ารักสไตล์ตะวันตก อาคารนี้คือร้านคาเฟ่ Ange Fraise ที่เสิร์ฟความอร่อยของสตรอเบอร์รี่สมชื่อร้าน "สตรอเบอร์รี่ของนางฟ้า" เลยล่ะ
เมนูแนะนำของที่นี่คือแพนเค้กสตรอเบอร์รี่ที่ให้สตรอเบอร์รี่สดๆ มาแบบจัดเต็ม
และที่จัดเต็มจนเด่นชัดไม่แพ้กันก็คือ "วิปครีม" สูงเป็นภูเขา!
นี่คือเมนู "เทนชิโนะแพนเค้ก" (Tenshi no Pancake) หรือชื่อไทยๆ คือ "แพนเค้กของนางฟ้า"
รสชาติเปรี้ยวหวานของสตรอเบอร์รี่กลมกลืนไปกับความหอมมันของวิปครีม เมื่อเอาเข้าปากยิ่งได้สัมผัสแสนนุ่มของแพนเค้กและเนื้อกรอบแน่นของสตรอเบอร์รี่
บนโต๊ะยังมีน้ำเชื่อมเมเปิ้ลสตรอเบอร์รี่วางไว้ให้ราดเพิ่มเติมได้ตามใจชอบด้วย
ราคาของขนมชวนเคลิ้มจานนี้อยู่ที่ 1,190 เยน (รวมภาษีแล้ว)
11:30 ออกเดินทางไปยังจุดหมายต่อไป!
เวลาประมาณ 11:30 เราก็เรียกรถแท็กซี่กลับไปยังสถานีรถไฟโทจิกิอีกครั้งค่ะ
บริเวณฝั่งตรงข้ามที่จอดรถตรงที่มีเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์จะมีโทรศัพท์ฟรีสำหรับเรียกรถแท็กซี่ด้วย
บอกแท็กซี่ว่าไป "โทจิกิเอคิ" (Tochigi Eki) ได้เลย
เมื่อมาถึงสถานี ถึงจะเป็นอาคารเดียวกัน แต่เราไม่ได้ใช้บริการสถานีของ Tobu แล้ว เข้าอาคารไปมองทางด้านซ้ายมือจะเห็นป้ายสถานี JR Tochigi ค่ะ
เราจะนั่งรถไฟสาย JR Ryomo แทน โดยนั่งไปที่สถานีซาโนะ (Sano) ค่ารถไฟ 320 เยน
12:30 ทานอาหารกลางวัน "ซาโนะราเมง" ราเมงธรรมดาที่ไม่ธรรมดา
ออกจากสถานีมาทางทางออก South Exit เราจะแวะไปทานอาหารกลางวันกันก่อนค่ะ ที่เมือง "ซาโนะ" นี้มีราเมงธรรมดาที่ไม่ธรรมดาอยู่ จนถึงขั้นมีชื่อเรียกกันว่า "ซาโนะราเมง" เลยทีเดียวล่ะ!
พอออกมาถึงหน้าสถานีแล้ว เดินไปทางขวามือตามทางเรื่อยๆ เลี้ยวไปตามหัวโค้งทางขวามือ หากมองไปที่ตึกด้านข้างนั้นจะเห็นโปสเตอร์ร้านราเมงชื่อ นิกโก้เคง (Nikkouken - 日光軒) อยู่
นั่นแหละค่ะคือเป้าหมายของเรา!
ร้านราเมง "นิกโก้เคง"
นิกโก้เคงเป็นร้านซาโนะราเมงในทำเลสะดวกมาก เพราะอยู่หน้าสถานีรถไฟซาโนะเลยค่ะ
เมนูเด็ดแน่นอนว่าต้องไม่พ้น "ซาโนะราเมง" นอกจากนี้ยังมีเกี๊ยวซ่าที่อร่อยไม่แพ้กัน
ที่ร้านนี้มีบริการประทับใจเพื่อนักท่องเที่ยวทั้ง "เมนูภาษาอังกฤษ" และร้านนิกโก้เคงนี้ยังดังในเรื่อง "ราเมงฮาลาล" ซึ่งนิยมในหมู่ผู้นับถือศาสนาอิสลาม
หากจะถามว่านิยมขนาดไหน ก็มองไปรอบๆ ร้านได้เลย ไม่ว่ามุมไหนต่างเต็มไปด้วยข้อความจากลูกค้า แถมส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติอีกต่างหาก
สำหรับนักท่องเที่ยวที่เป็นมุสลิมนั้น เวลาไปเที่ยวก็คงลำบากในการหาร้านอาหาร
ร้านนิกโก้เคงนี้จึงเป็นเหมือนที่พึ่งที่แสนดีและแสนอร่อย!
ซาโนะราเมงนั้นคือราเมงที่ผลิตในเมืองซาโนะ มีลักษณะพิเศษคือนวดและแผ่แป้งโดยการใช้กระบอกไม้ไผ่ขนาดใหญ่กดลงทีละครั้งๆ แล้วพับแป้งกดไม้ไผ่ลงไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า เนื่องจากไม่ได้ใช้กระบอกไม้ไผ่กลึงรีด ทำให้ขนาดของเส้นราเมงนั้นไม่ได้เรียบเสมอกันตลอด แต่มีทั้งส่วนที่บางกับส่วนที่หนา เนื้อหนึบลื่น เมื่อมาเจอกับน้ำซุปใสแต่รสชาติเข้มข้นของนิกโก้เคงแล้ว เส้นที่มีความหนาไม่เท่ากันนี้จะทำให้เราลิ้มรสน้ำซุปได้ชัดเจนพร้อมๆ กับอร่อยไปกับสัมผัสนุ่มเด้งของเส้นไปพร้อมๆ กัน!
เมนูวันนี้คือ เทะอุจิซาโนะราเมง (Teuchi Sano Ramen) ซาโนะราเมงนวดด้วยมือ ราคา 630 เยน และเกี๊ยวซ่า 5 ชิ้น 420 เยน
แถมให้อีกอย่างว่า ห้องน้ำของร้านนี้ก็เลิศหรูอลังการชนิดที่เห็นแล้วต้องร้องโอ้โหเลย ใครมาอย่าลืมแวะเข้าห้องน้ำให้ได้นะ!
13:50 ได้เวลาช้อปสินค้าสุดคุ้มที่ Sano Premium Outlets
อิ่มท้องกันแล้วก็เดินกลับมาที่หน้าสถานีซาโนะ จากหน้าสถานีเราจะเห็นป้ายชี้บอกทาง Sano Premium Outlets พร้อมลูกศรไปป้ายรถเมล์เลย
ป้ายรถเมล์จากหน้าสถานี นั่งรถบัสรอบเมืองซาโนะ ซาโนะมันโยโรมันบัส (Sano Manyo-Roman Bus) ไปลงยัง Sano Premium Outlets ค่าโดยสาร 210 เยน ใช้เวลาประมาณ 20 นาที
เมื่อมาถึงแล้ว ... เราขอแนะนำให้ไปยัง Information Center ที่อยู่ตรงกลางก่อนเลยค่ะ
เพราะว่าหากเรามาแสดงพาสปอร์ตเป็นนักท่องเที่ยวที่จุดนี้แล้ว เราจะได้รับ Saving Passport ซึ่งเป็นใบปลิวรวมส่วนลดทุกร้านในเอาท์เล็ทแห่งนี้ค่ะ ทีนี้ไม่ว่าจะแวะร้านไหน จากราคาสุดคุ้มตามสไตล์เอาท์เล็ทอยู่แล้ว ก็ยังได้รับส่วนลดอีกต่อ แบบนี้ยิ่งถูกเข้าไปใหญ่สิ!
ร้านค้าในนี้ก็มีมากมายทั้งร้านแบรนด์ญี่ปุ่นอย่าง Olive des Olive, Earth Music&Ecology, Seiko, Miki House หรือแม้แต่ Sanrio
และร้านแบรนด์ระดับโลกไม่ว่าจะเป็น Prada, Gucci, Coach, Coach Men, Vivienne Westwood, Marc Jacobs, Clarks, Swarovski, Kate Spade หรือสายกีฬาก็อย่าง Adidas, Nike, Puma และแบรนด์อื่นๆ อีกนับไม่ถ้วนเลย
นอกจากนี้ยังมีร้านอาหาร ร้านขนม ร้านกาแฟ ทั้ง Godiva, Starbucks ไปจนถึง Food Court ให้นั่งพักกันได้ด้วยค่ะ
มีตุ๊กตากอดนุ่มที่กำลังเป็นที่นิยมในราคาพิเศษด้วยล่ะ!
15:30 ไปชมการประดับไฟสวยงามระดับภูมิภาคที่สวนดอกไม้อาชิคางะ (Ashikaga Flower Park)
ช้อปปิ้งกันจนกระเป๋าเบาแล้ว เราจะไปปิดท้ายวันนี้ด้วยของสวยๆ งามๆ จนต้องถอนหายใจกันที่สวนดอกไม้อาชิคางะ (Ashikaga Flower Park) กันค่ะ
นั่งรถบัสกลับไปที่สถานีซาโนะ จากนั้นนั่งรถไฟสาย JR Ryomo อีกครั้ง โดยนั่งไปลงที่สถานีโทมิตะ (Tomita) ค่ารถ 190 เยน ใช้เวลาแค่ประมาณ 5 นาที
เมื่อถึงสถานีโทมิตะแล้ว เดินออกสถานีมาทางทิศใต้ แล้วเดินไปตามเส้นทางอีกประมาณ 13 นาทีจะมาถึงสวนค่ะ
ข่าวดีสุดๆ ก็คือ ในเดือนเมษายนปีนี้ จะมีสถานีรถไฟเปิดใหม่เป็นสถานี Ashikaga Flower Park อยู่ด้านหน้าสวนเลย ทำให้เราเดินทางได้สะดวกสบายมากขึ้นค่ะ
ใครมีแผนจะมาเที่ยวชมดอกฟูจิ หรือ ดอกวิสทีเรีย (Wisteria) ไฮไลท์เด่นของสวนนี้ในปีนี้ รับรองว่ามาง่ายหายห่วง!
เอื้อเฟื้อภาพดอกฟูจิโดย : Ashikaga Flower Park
*ดอกฟูจิจะบานช่วงประมาณกลางเดือนเมษายน - กลางเดือนพฤษภาคม
ส่วนค่าเข้าสวนจะแตกต่างกันไปตามสภาพการบานของดอกไม้ในแต่ละช่วง จะอยู่ที่ 300 - 1,800 เยน สามารถตรวจสอบราคาในแต่ละวันได้จากเว็บไซต์ของสวน
และค่าเข้าชมเฉพาะเวลากลางคืนในช่วงที่มีจัดประดับไฟอิลลูมิเนชั่นจะอยู่ที่ 900 เยนค่ะ
โดยอิลลูมิเนชั่นประจำปี 2017 - 2018 นั้นจัดตั้งแต่วันที่ 21 ตุลาคม - 4 กุมภาพันธ์ ในชื่องานว่า "ฮิคาริ โนะ ฮานะ โนะ นิวะ" (Hikari no Hana no Niwa) หรือ "สวนดอกไม้แห่งแสงสว่าง"
อิลลูมิเนชั่นของที่นี่ก็สมชื่อ "สวนดอกไม้" จริงๆ ค่ะ เพราะการประดับตกแต่งส่วนใหญ่ของสวนนี้ถูกออกแบบ และบรรจงสร้างให้เป็นรูปดอกไม้ต่างๆ นานา
เริ่มจากดวงไฟที่ตกแต่งราวกับเป็นดอกฟูจิห้อยระย้าลงมาจากโครงเหนือศีรษะ ส่องแสงสีม่วง สีขาวและสีชมพูท่ามกลางความมืด จนเผลอทำให้คิดไปว่าหลงเดินเข้ามาในสวนฟูจิเรืองแสงเลยทีเดียวค่ะ ทั้งการประดิษฐ์หลอดไฟและวิธีการประดับล้วนเลียนแบบมาจากบรรยากาศยามดอกฟูจิบานสะพรั่งเต็มสวน ทำให้เราต้องตกอยู่ในภวังค์ของสวนดอกไม้เหนือจินตนาการนี้เลย
นอกจากนี้ยังมีสวนกุหลาบ และสวนดอกบัวที่ส่องแสงเป็นประกายท่ามกลางความมืด
ดอกกุหลาบนั้นค่อยๆ เปลี่ยนสีสลับกันไปอย่างสวยงาม ส่วนดอกบัวก็ทอแสงสว่างดูราวกับความฝัน
ที่สำคัญคือการออกแบบกลีบดอกไม้แต่ละอย่างนั้น ออกแบบโดยเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลสวนที่ผูกพันธ์กับเหล่าดอกไม้เป็นอย่างดี ไปจนถึงผลิตกลีบสำหรับติดดวงไฟออกมาเป็นพิเศษเฉพาะของสวนนี้เท่านั้น และยังได้พนักงานช่วยกันประกอบทีละกลีบๆ จนออกมาเป็นสวนดอกไม้ส่องแสงสว่างเช่นนี้ค่ะ
ส่วนการจัดประดับไฟที่สวนนี้ภูมิใจนำเสนออีกอย่างคงจะไม่พ้นปราสาทดอกไม้ Flower Castle ที่จัดปราสาทอย่างอลังการล้อมรอบด้วยดอกไม้ส่องแสงสว่าง แถมยังมีการเปิดไฟเล่นแสงสีประกอบดนตรีอีกด้วยค่ะ
สาวๆ เห็นแล้วคงอยากเป็นเจ้าหญิงในปราสาทขึ้นมาทันทีเลย!
นอกจากดวงไฟดอกไม้แบบพิเศษแล้ว ภายในสวนยังมีการจัดประดับไฟในธีมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสวนญี่ปุ่น เรือท่องรอบโลกเอาใจเด็กๆ ต้นคริสต์มาส และซานต้าคลอสกับลากเลื่อนกวางลงมาจากฟากฟ้า สายรุ้งสดใส รถไฟสายทางช้างเผือก และอื่นๆ
รวมจำนวนหลอดไฟที่มาประดับให้สวนเปล่งประกายมากกว่า 4 ล้านดวงเลยทีเดียว!
ไม่เพียงแต่ดอกไม้ส่องแสงแล้ว ภายในสวนยังจัดดอกโบตั๋นของจริงที่บานในช่วงนี้พอดีประดับไฟให้ดูงดงามไปอีกแบบค่ะ
แม้ว่าปีนี้การจัดงานอิลลูมิเนชั่นของสวนดอกไม้อาชิคางะจะจบลงไปแล้ว แต่ที่สวนก็จัดงานเป็นประจำทุกปี พร้อมกับเพิ่มความอลังการขึ้นทุกปีด้วยล่ะค่ะ
หรือใครมาเที่ยวญี่ปุ่นฤดูอื่น ก็ขอแนะนำให้ไปชมดอกไม้สวยๆ กันตอนกลางวันนะคะ
ที่สวนนี้มีความงดงามรอให้เพื่อนๆ มาชมกันได้ตลอดทั้งปีเลย ลองอ่านดูจากบทความนี้ได้เลยนะ
18:10 เดินทางกลับโตเกียวด้วยความอิ่มใจ
พอได้เวลาประมาณหกโมง นิดๆ เราก็เดินกลับไปสถานีโทมิตะเพื่อเดินทางกลับโตเกียวกันค่ะ
โดยการนั่งรถไฟสาย JR Ryomo กลับไปยังสถานีโทจิกิ ค่ารถไฟ 420 เยน ใช้เวลาประมาณ 20 นาที
จากนั้นเดินเข้าสถานีโทจิกิของสายโทบุซึ่งอยู่ข้างๆ กันเพื่อนั่งรถไฟด่วน Limited Express กลับสู่สถานีอาซากุสะค่ะ
การซื้อตั๋วก็ทำได้เหมือนกับตอนขามาเลย คือต้องซื้อสองใบ และถ้ามากับเพื่อนต้องกดซื้อตั๋วพร้อมกัน ค่าเดินทางขากลับเราได้นั่งรถด่วนที่ถูกกว่าตอนเช้า
ค่ารถไฟเท่าเดิม คือ 990 เยน แต่ค่ารถด่วนรอบนี้แค่ 1,150 เยน รวมทั้งหมดแล้วอยู่ที่ 2,140 เยน ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงนิดๆ เหมือนกับขามาค่ะ เราจะกลับมาถึงโตเกียวกันในเวลาประมาณ 20:45
สำหรับใครที่อยากอยู่ดึกกว่านี้อีกหน่อย จะขอแนะนำว่ายังไงก็อย่ากลับหลัง19:00 นะคะ เพราะรถที่วิ่งกลับโตเกียวจะน้อยลงจนอาจกลับลำบากขึ้นค่ะ
แผนเที่ยวที่แนะนำวันนี้ต้องเรียกว่าเหมือนแผนเที่ยวรวมฮิตสิ่งที่คนไทยชอบกันเลย!
ครบทั้งสตรอเบอร์รี่ ราเมง ช้อปปิ้ง และอิลลูมิเนชั่นสวยๆ ในทริปวันเดียวแบบนี้ ต้องบอกเลยว่าคุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้ม!
สรุปการเดินทาง
สถานีอาซากุสะ → สถานีโทจิกิ → สวน อิจิโกะโนะซาโตะ → สถานีโทจิกิ → สถานีซาโนะ → ร้าน นิกโก้เคง → Sano Premium Outlets → สถานีซาโนะ → สถานีโทมิตะ → สวนดอกไม้อาชิคางะ → สถานีโทมิตะ → สถานีโทจิกิ → สถานีอาซากุสะ
ค่าเดินทางทั้งหมด : ค่ารถไฟและค่ารถบัส 5,330 เยน (ต่อคน) ค่าแท็กซี่ 4,520 เยน (ต่อสองรอบ)
ใช้จ่ายอื่นๆ : ค่าเก็บสตรอเบอร์รี่ 1,600 เยน หรือ 2,000 เยน ค่าเข้าสวนดอกไม้อาชิคางะ 900 เยน ค่าอาหารกลางวัน 1,050 เยน ค่าขนม 1,190 เยน ค่าของฝาก (โดรายากิและไดฟุกุ) 930 เยน ค่าช้อปปิ้งอื่นๆ แล้วแต่บุคคล
รวมค่าใช้จ่ายใน 1 วัน/1 คนตามแผน : ประมาณ 15,520 - 15,920เยน (ไม่รวมค่าช้อปปิ้ง และหากเดินทางกันหลายคน หารค่าแท็กซี่กัน ค่าใช้จ่ายต่อคนจะถูกกว่านี้)
Supported by TOBU Railway Co., LTD.
สาวไทยในโตเกียว ลัลล้ากับการทำงาน ว่างๆ ก็แว่บไปเที่ยวและชิมของอร่อย สนใจวัฒนธรรมญี่ปุ่น รวมไปถึง Pop culture~♥
นอกจากนี้ บทความอาจมีลิงก์โฆษณา โปรดพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจซื้อหรือจอง