Start planning your trip
เที่ยวมินาคามิ 3 วัน 2 คืน เก็บผลไม้สดๆ ทำเครื่องประดับเก๋ๆ พักโรงแรมออนเซ็น ปิดท้ายด้วยล่องเรือไปตามสายน้ำใส (Minakami, Gunma)
มินาคามิ เมืองแห่งสายน้ำของจังหวัดกุนมะ นั่งชินคันเซ็นจากโตเกียวแค่ 70 นาที มีทั้งธรรมชาติและกิจกรรมน่าสนใจมากมาย ครั้งนี้เราจะไปเที่ยวมินาคามิในหน้าร้อน มาดูกันว่ามีอะไรให้สนุกกันบ้าง
เมืองมินาคามิ เมืองแห่งสายน้ำในกุนมะ
เมืองมินาคามิ (Minakami) ตั้งอยู่ในจังหวัดกุนมะ (Gunma) ทางเหนือของโตเกียว เป็นหนึ่งในเมืองออนเซ็นที่ชาวไทยมาเยือนกันมากในฤดูหนาว จะมีอะไรฟินไปกว่านั่งแช่ออนเซ็นร้อนๆ แล้วดูวิวหิมะขาวอีกล่ะ ผู้เขียนก็เคยมาเที่ยวมินาคามิช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนที่ใบไม้เปลี่ยนสีพอดี ต้องบอกเลยว่าที่เมืองนี้ธรรมชาติเค้าสวยจริงๆ หรือสายลุยก็น่าจะรู้จักเขาทานิกาวะดาเกะ (Tanigawadake) หนึ่งในจุดปีนเขายอดฮิต
ครั้งนี้ทางการท่องเที่ยวเมืองมินาคามิเค้าชวนไปเที่ยวมินาคามิหน้าร้อนที่ได้รับความนิยมไม่แพ้กัน มีทั้งสวนผลไม้หลากชนิด และกิจกรรมเอ้าท์ดอร์ตั้งแต่เดินป่าปีนเขา บันจี้จัมพ์ ราฟติ้ง พาราไกลเดอร์ และอีกสารพัด
ทริป 3 วัน 2 คืนครั้งนี้เราจะไปเก็บบลูเบอร์รี่สดๆ จากต้นในสวนโมกิโทเระ แวะทำเครื่องประดับเก๋ๆ ที่หมู่บ้านหัตถกรรมทาคุมิ โนะ ซาโตะ ชมดอกอาจิไซที่วัดไทเนจิ พักโรงแรมออนเซ็นจูราคุ และปิดท้ายด้วยเล่นราฟติ้งโดยทีม CANYONS ล่องไปตามแม่น้ำระยะทางร่วม 4 กิโลเมตร
แผนเที่ยวมินาคามิ |
- นั่งชินคันเซ็น จากโตเกียว → สถานีโจโมโคเก็น เมืองมินาคามิ - CANYONS ราฟติ้งล่องแม่น้ำโทเนะ ทำบาร์บีคิว นอนเต๊นท์ - นั่งชินคันเซ็นกลับโตเกียว |
ออกเดินทางสู่มินาคามิ!
ครั้งนี้เราก็ใช้พาสยอดฮิต JR TOKYO Wide Pass เหมือนเดิม ตอนซื้อก็จองที่นั่งรถชินคันเซ็นไว้ด้วยเลย สามารถขึ้นรถชินคันเซ็นได้จากทั้งสถานีโตเกียวและสถานีอุเอโนะ เพราะงั้นเลือกเอาที่ใกล้ที่พักหรือเราเดินทางสะดวก มาลงที่สถานีโจโมโคเก็น (Jomo-kogen) ในเมืองมินาคามิ
คุ้นชื่อกันมั๊ยเอ่ย ใครที่จะไปเล่นสกีที่เมืองยูซาว่าหรือลานกาล่ายูซาว่าต้องผ่านสถานีนี้กันทั้งนั้น จากสถานีโตเกียว ขึ้นรถรอบ 8:52 มาถึงตอน 10:05
การเที่ยวในเมืองมินาคามิจะมีรถบัสให้บริการ หรืออีกวิธีคือเช่ารถขับ พอออกจากสถานีรถไฟมาก็มีศูนย์เช่ารถอยู่ฝั่งตรงข้ามเลย
ก่อนเดินทางสามารถแวะเข้าไปสอบถามข้อมูลการท่องเที่ยวได้ที่สมาคมการท่องเที่ยวมินาคามิ อยู่ที่ข้างสถานีนี่เอง โบรชัวร์ต่างๆ ก็พร้อม
เก็บบลูเบอร์รี่สดๆ ที่สวนผลไม้โมกิโทเระ
ที่แรกเราจะไปเก็บบลูเบอร์รี่กันที่สวนผลไม้มินาคามิ ฟรุ๊ตส์แลนด์ โมกิโทเระ (Minakami Fruits Land Mogitore) หรือสวนโดลแลนด์ (DoleLand) ในอดีตนั่นเอง ผลไม้นับสิบชนิดในสวนจะผลัดกันออกผลตั้งแต่สตรอเบอร์รี่ในช่วงต้นปีไปจนถึงแอปเปิ้ลในช่วงปลายปี เรียกได้ว่ามีผลไม้ให้ทานกันเกือบทั้งปีเลย
มาถึงอาคารหลักของสวน ด้านในมีทั้งของกินและของฝากมากมายจำหน่าย มีโอเพ่นคิทเช่นให้ดูเค้าทำขนมหวานด้วย
ช่วงเดือนกรกฎาคมเป็นช่วงคาบเกี่ยวระหว่างเชอร์รี่ บลูเบอร์รี่ และพลัม ลองดูตารางผลไม้ที่เปิดให้เก็บในแต่ละเดือนได้ที่ตารางเก็บผลไม้ของเว็บไซต์เลย
บลูเบอร์รี่ของที่นี่มีหลายสายพันธุ์ เช่น Reveille, Jewel, Duke, Blue heaven และอื่นๆ ราคาค่าเก็บบลูเบอร์รี่แบบบุฟเฟ่ต์ 30 นาที ผู้ใหญ่คนละ (ตั้งแต่นักเรียนม. ต้นขึ้นไป) 600 เยน เด็ก (ตั้งแต่นักเรียนประถมขึ้นไป) และเด็กเล็ก (ตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป - ก่อนประถม) 400 เยน แล้วมีแบบเซ็ตบาร์บีคิวกับเซ็ตของหวานด้วย
เอาจริงๆ เกิดมาเพิ่งเคยเห็นลูกบลูเบอร์รี่อยู่บนต้นเป็นครั้งแรกก็วันนี้นี่แหละ แถมตอนแรกคิดว่าบลูเบอร์รี่จะออกผลเป็นพวงเหมือนองุ่นซะอีก
ผลบลูเบอร์รี่จะเริ่มจากสีเขียว ไล่ไปสีแดงจนเข้มขึ้นเรื่อยๆ
เจ้าหน้าที่แนะนำวิธีเลือกลูกที่สุกว่าให้ดูลูกที่เปลี่ยนเป็นสีเข้มไปจนถึงก้าน และกลีบตรงก้นลูกหายไปหมดแล้ว
ถึงหน้าตาจะเหมือนกัน แต่ว่าแต่ละพันธุ์มีรสไม่เหมือนกันเลย บางพันธุ์สุกแล้วจะอมเปรี้ยว บางพันธุ์ก็หวานมาก บางพันธุ์ก็มีกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์
เสร็จแล้วก็กลับมาตรงอาคารหลักของสวนเพื่อหาของหวานลงท้องกันหน่อย เค้ามีทั้งของหวานอย่างเจลาโตและขนมหวานที่เอาผลไม้ตามฤดูกาลมาทำกันสดๆ แล้วก็ของคาวอย่างพิซซ่า ข้าวราดแกงกะหรี่ แล้วก็อุด้ง ตอนที่ไปนี้มีเค้กกับพายที่ใช้บลูเบอร์รี่สดๆ ราคาชิ้นละ 400 เยนเท่านั้น เอามาเลยอย่างละหนึ่ง!
ได้ของหวานรองท้องแล้วก็ไปทำกิจกรรมเล็กๆ น้อยๆ กันหน่อยดีกว่า
หมู่บ้านหัตถกรรม ทาคุมิ โนะ ซาโตะ
Picture courtesy of Minakami Tourism Association
ทาคุมิ แปลว่า ปรมาจารย์ช่างฝีมือ
ทาคุมิ โนะ ซาโตะ (Takumi no Sato) ก็คือหมู่บ้านของเหล่าช่างฝีมือนั่นเอง ที่เรียกว่าหมู่บ้านเพราะพื้นที่บริเวณนี้กว้างขวางมากๆ ในบ้านเรือนแต่ละหลังจัดแสดงงานฝีมือแขนงต่างๆ เช่น เครื่องปั้นดินเผา หน้ากากญี่ปุ่น เครื่องแก้ว เครื่องสานไม้ไผ่ ฯลฯ ที่สำคัญคือเราสามารถร่วมทดลองทำด้วยตัวเองได้ด้วย
ครั้งนี้เราแวะมาที่บ้านเครื่องประดับ ชิปโปยากิ โนะ อิเอะ (Shippoyaki no ie)
มีเครื่องประดับจากโลหะ อินาเมล และหนังแท้ให้เลือกมากมาย แต่ที่เด่นที่สุดก็คือกิจกรรมทำเครื่องประดับอินาเมลด้วยตัวเองนี่แหละ อยากทำเป็นพวงกุญแจ จี้ ตุ้มหู หรือเข็มกลัดก็ได้ ราคาจะขึ้นอยู่กับแบบของแผ่นโลหะและกระบวนการทำ
ก่อนอื่นให้มาเลือกแผ่นโลหะที่จะเป็นฐานของชิ้นงานก่อนว่าอยากได้แบบไหน
จากนั้นก็มาเลือกสีพื้น แล้วค่อยทำลวดลายด้วยลูกปัดหรือเศษแก้ว
ครั้งนี้ผู้เขียนไม่ได้ทำนะ ปล่อยให้สาวๆ เค้าทำกันไป ขั้นตอนแรกก็ลงสีพื้นก่อน สีในที่นี้ก็คล้ายกับสีเคลือบเครื่องปั้นดินเผา มีส่วนผสมของผงแก้วที่จะละลายรวมตัวกันเมื่อนำไปเผา
ยูริซัง ทาคุมิของบ้านเครื่องประดับก็มาช่วยเหลือและให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิด
ลงสีเสร็จยูริซังก็เอาไปเผาในเตาให้
ครั้งนี้ที่เค้าเลือกคือแบบสีแตกลายงา เพราะงั้นพอเผารอบแรกเสร็จก็มาลงสีชั้นที่สองทับ พอเอาไปเผาซ้ำอีกรอบ สีชั้นที่สองจะหดตัวลง เกิดเป็นลวดลายสวยงาม
ตอนนี้แหละที่สุดยอด เพราะหลังเอาออกจากเตา สีเคลือบที่ร้อนจนแดงจะค่อยๆ เย็นลงและหดตัว ปรากฎเป็นสีและลวดลายขึ้นมา ซึ่งเราไม่มีทางรู้เลยว่าจะกลายเป็นลวดลายแบบไหน แล้วก็ไม่มีทางที่ลายจะออกมาเหมือนกัน เรียกว่ามีชิ้นเดียวในโลกก็ได้
ระหว่างที่รอให้เย็นตัวก็ไปเลือกกรอบหรือตัวห้อยว่าอยากได้แบบไหน ตัวกรอบและที่ห้อยนี้จะคิดราคาเพิ่มต่างหาก หลังจากนั้นยูริซังจะประกอบชิ้นงานเข้ากับกรอบให้
เสร็จเรียบร้อย ตุ้มหูออริจินัลชิ้นเดียวในโลกฝีมือตัวเอง จะมาทำเอาไว้ใช้เองหรือทำเป็นของฝากก็ได้ มีข้อควรระวังนิดนึงก็คือตัวเคลือบนี้ก็คล้ายกับกระจก ถ้าโดนกระทบแรงๆ หรือทำตกก็อาจจะร้าวหรือแตกได้นะ
อย่างที่บอกว่ายังมีบ้านของทาคุมิอีกหลายหลัง ขอแนะนำให้มาเช่าจักรยานแล้วปั่นชมวิว แวะไปชมและทดลองทำงานฝีมือตามบ้านแต่ละหลังกันเลย
ดอกอาจิไซแสนสวยของวัดไทเนจิ
นอกจากวิวของบ้านเรือนญี่ปุ่นแล้วอีกอย่างที่น่าดูไม่แพ้กันคือดอกไม้สวยๆ ตามฤดูกาล ถ้ามาช่วงเดือนเมษายนก็มีซากุระ ส่วนช่วงเดือนกรกฎาคมอย่างนี้ก็ต้องอาจิไซเลย
ดอกอาจิไซ (Ajisai) หรือชื่อภาษาอังกฤษก็คือดอกไฮเดรนเยีย (Hydrangea) ถือเป็นดอกไม้ประจำฤดูฝนของญี่ปุ่น ที่ทาคุมิ โนะ ซาโตะ ก็มีจุดชมดอกอาจิไซสวยๆ เหมือนกันที่วัดไทเนจิ (Tainei-ji Temple)
จากบ้านเครื่องประดับ ชิปโปยากิเมื่อกี๊ถ้าเดินก็ใช้เวลาประมาณ 20 นาที ถ้าเดินดูบ้านอื่นไปด้วยเพลินๆ แป๊บเดียวก็ถึง
ด้านหน้ามีพระจิโซซงแห่งความสุของค์ใหญ่ประดิษฐานอยู่
พอเดินเข้ามาด้านในปุ๊บก็มีดอกอาจิไซสีม่วงพาสเทลน่ารักๆ บานต้อนรับเต็มไปหมด
ถัดมาก็เป็นสะพานข้ามธารน้ำใสๆ ที่มีดอกอาจิไซสีฟ้าเป็นฉากหลัง ต้นไม้ที่อยู่ตรงสะพานนี้พอเข้าช่วงฤดูใบไม้ร่วงราวปลายเดือนตุลาคมจะเปลี่ยนเป็นสีแดงสดสวยมาก เป็นอีกหนึ่งฤดูที่อยากให้มาเที่ยวมินาคามิจริงๆ
จากบนสะพานมองไปทางซ้ายก็เป็นผาน้ำตก มองไปทางขวาเป็นแอ่งธารน้ำใสไหลเย็นเห็นตัวปลา แค่นี้ก็สวยแล้ว!
เดินไปสุดสะพานจะเป็นบันไดขึ้นไปยังตัววัด วัดไทเนจิมีประวัติยาวนานกว่า 700 ปี ปัจจุบันประตูใหญ่ อุโบสถหลัก หอระฆัง และอีกหลายส่วนของวัดได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกด้านวัฒนธรรมของจังหวัด
ช่วงกลางเดือนกรกฎาคมนี่ดอกอาจิไซของโตเกียวจะโรยหมดแล้ว แต่ของมินาคามิถือว่าอยู่ในช่วงพีคพอดี
ที่จริงในทาคุมิ โนะ ซาโตะ ก็มีโรงแรมที่พักเหมือนกัน ถ้ามาแถววัดไทเนจิตอนกลางคืนแล้วโชคดีก็อาจมีโอกาสได้ดูแสงสวยๆ จากเหล่าหิ่งห้อยตัวน้อยด้วย เรียกได้ว่าฤดูร้อนนี่แหละที่เหมาะจะมาวัดไทเนจิที่สุด
อาหารชุดญี่ปุ่นที่ร้านชินริน
เดินเยอะเล่นเยอะไปหน่อยเริ่มหิวแล้ว ก่อนจะไปโรงแรมที่พักในคืนนี้ก็แวะไปทานมื้อเที่ยงยามบ่ายที่ร้านอาหารชุดญี่ปุ่นชินริน (Shinrin)
ในร้านสวยมาก มีความคลาสสิคทั้งแบบญี่ปุ่นและตะวันตก
เมนูมีให้เลือกหลายอย่างทั้งชุดเบนโตอาหารญี่ปุ่นจัดเต็มก็มี แถมราคาไม่แพง ส่วนรูปที่เห็นนี่คือทั้งหมดที่พวกเราสั่งกันคราวนี้ คือน่ากินทุกอย่างแต่ที่ตกใจคือปริมาณ! ตอนยกมาเสิร์ฟทุกคนนี่หน้าตาตกใจมากว่าจะกินหมดกันมั๊ยเนี่ย
ครั้งนี้ที่ผู้เขียนสั่งคือ วาราจิซอสคัตสึด้ง (Waraji Sauce Katsudon) ข้าวหน้าหมูทอดราดซอสราคา 1,080 เยน เนื้อหมูได้มาจากหมูสายพันธุ์ท้องถิ่นโอคุโทเนะบูตะ รวมถึงวัตถุดิบต่างๆ ก็ใช้วัตถุดิบจากท้องถิ่นเป็นหลักทั้งนั้น
ที่มีคำว่าวาราจินำหน้าเนี่ยเพราะว่าชิ้นหมูทอดเค้าชิ้นใหญ่มากจนเหมือนวาราจิ หรือรองเท้าฟางที่แต่ก่อนคนญี่ปุ่นเค้าใช้กัน อุเหม่ ช่างเปรียบเปรยของกินกับรองเท้า แต่ดูไปดูมาก็เหมือนอยู่นะ! ใครอยากทานของอร่อยก็แวะมาได้
นมเน้นๆ ที่โอโทโระมิลค์
ของคาวเสร็จก็ต้องตบด้วยของหวานที่ร้านเล็กๆ แต่น่ารักอย่าง โอโทโระมิลค์ (Ootoro Milk 大とろ牛乳)
ได้ยินชื่อโอโทโระทีแรกก็คิดไปถึงปลาดิบ แต่ขนมของเค้าไม่มีอะไรเกี่ยวกับปลาดิบนะ เป็นของหวานที่ทำมาจากนมสดผสมคอลลาเจนเท่านั้น ไม่มีการแต่งกลิ่นแต่งรสเพิ่มทั้งสิ้น คำว่าโทโระเป็นคำคุณศัพท์แสดงถึงความเข้มข้น ความหนืด เพราะงั้นนี่ก็คือนมที่เข้มข้นมากจนใช้ช้อนตักได้เลย
สามารถเลือกสั่งแบบเพลน (Plain) ไม่มีเครื่องเลยเพื่อลิ้มรสความอร่อยของนมแบบเต็มๆ หรือจะเอาแบบมีเครื่องที่เค้าจัดมาให้เลือก 6 แบบก็ได้
1. นามะช็อกโกแลตครัช 650 เยน
2. คาสเทลล่าราดน้ำผึ้ง 650 เยน
3. อุจิคินโทคิ ถั่วแดงและชาเขียวอุจิมัทฉะ 650 เยน
4. เยลลี่กาแฟ 650 เยน
5. เยลลี่มัทฉะ 650 เยน
6. บลูเบอร์รี่สดลูกโต 700 เยน
ดีที่มากันหลายคนเลยสั่งกันมาชิมหลายๆ รสได้
วิธีกินเค้าบอกว่าก่อนอื่นให้ใช้หลอดดูดนมเปล่าๆ ชิมรสชาติก่อน แล้วค่อยตามด้วยกินพร้อมเครื่อง ตัวเยลลี่รสเข้มออกขม พอกินคู่กับนมก็ตัดรสกำลังดี กินไปได้ซักพักก็สามารถเปลี่ยนรสชาติด้วยเครื่องปรุงที่เค้ามีให้ได้อีก มีงาดำ ผงโกโก้ ผงคินาโกะ และเกลือ ในบริเวณเดียวกันยังมีร้านซุปข้าวโพดด้วยนะ วันนึงคุณป้าเค้าทำไม่เยอะหมดแล้วหมดเลย
เสร็จจากของหวานเราก็มุ่งหน้าไปยังที่พักของเรากันเลย
โรงแรมจูราคุ โรงแรมออนเซ็นริมแม่น้ำสุดหรู
โรงแรมจูราคุ (Minakami Hotel Juraku) โรงแรมพร้อมออนเซ็นสุดหรู ใกล้สถานีมินาคามิ เดินแค่ 10 นาทีก็ถึง
แค่เข้ามาตรงเคาน์เตอร์ก็โอ่โถงมาก แอบบอกก่อนนิดนึงเลยว่าตรงที่โล่งๆ เนี่ยพอตกกลางคืนเค้าจะมีกิจกรรมพิเศษๆ จัดด้วย
ตรงล็อบบี้มีเตาผิงขนาดใหญ่สุดอลังการ หอมกลิ่นไม้ไปทั่วเลย
เจ้าหน้าที่ให้เข้ามานั่งรอตรงเลานจ์ระหว่างรอเช็คอิน พร้อมเอาขนมและน้ำชามาเสิร์ฟให้ด้วย
ห้องพักของโรงแรมจูราคุมีทั้งแบบห้องญี่ปุ่นปูฟูกและแบบเตียง ส่วนห้องที่เราไปพักกันในครั้งนี้เป็นห้องมิซุโนะเนะ (MIZU NO NE) ที่เพิ่งรีโนเวตใหม่ไฉไลกว่าเดิม มีจำนวนเพียง 36 ห้องเท่านั้น
เข้ามาจะเป็นโถงตรงเข้าไปเป็นตัวห้อง ส่วนทางขวาเป็นส่วนอ่างล้างหน้าและห้องอาบน้ำ เครื่องสำอาง สบู่ แชมพูทั้งหลายใช้ของ มิกิโมโตะ (MIKIMOTO) แบรนด์ผู้ผลิตไข่มุกชื่อดังของญี่ปุ่นที่ดังระดับโลก ผสมสารสกัดจากไข่มุกที่ช่วยคงความชุ่มชื้นให้กับผิวด้วย
ตัวห้องออกแบบมาอย่างโมเดิร์นแต่ก็แฝงความเป็นญี่ปุ่น เช่น ประตูบานเลื่อนไม้ และการใช้ไม้เป็นวัสดุหลักก็ทำให้รู้สึกอบอุ่นน่าอยู่
วิวจากระเบียงก็อย่างที่เห็น สวยมาก นี่คือแม่น้ำโทเนะ ที่ไหลยาวจนไปออกทะเลที่จังหวัดชิบะกับอิบารากินู่นเลย
ขอมานั่งถ่ายรูปเหม่อมองวิวแบบทีเผลอกับเค้ามั่ง
ชุดยูคาตะก็มีให้เลือกหลายขนาด ตะกร้าด้านบนเอาไว้สำหรับใส่ผ้าขนหนูและเสื้อผ้าเวลาไปแช่ออนเซ็น พอวางของสำรวจห้องเสร็จก็ลงไปแช่ออนเซ็นให้หายเหนื่อย ขออภัยที่ไม่มีรูปออนเซ็นให้ดู ถ่ายมาไม่ได้จริงๆ!
แช่ออนเซ็นเสร็จก็ได้เวลาอาหารเย็นพอดี เราไปกันที่ห้องอาหาร KAWATONE บนชั้น 7 เป็นห้องอาหารบุฟเฟ่ต์มีอาหารญี่ปุ่น ปลาดิบซาชิมิ เท็มปุระ ไปจนถึงอาหารจีนและตะวันตกหลายอย่าง ตักให้ครบทุกอย่างรอบเดียวก็อิ่มแล้ว
ตอนเวลาประมาณทุ่มครึ่งก็มีประกาศในโรงแรมให้ทุกคนมารวมตัวกันตรงโถงชั้น 1 เพราะจะมีกิจกรรมตำโมจิ ใครอยากลองตำก็เข้าไปได้เลย เค้าจะแบ่งให้ตำกันหลายรอบ
ตำเสร็จเค้าจะเอาโมจิไปแบ่งใส่ถาด แล้วปรุงรส 2 แบบ ฝั่งซ้ายคือโปะด้วยไช้เท้าขูดราดโชยุ ส่วนอันขวาเห็นแล้วน่าจะรู้ ผงคินาโกะนั่นเอง จะบอกว่าเพิ่งเคยกินโมจิโปะไช้เท้าขูดราดโชยุก็วันนี้นี่แหละ อร่อยดีนะ สดชื่นดี
หลังกิจกรรมตำโมจิก็ย้ายเข้าไปนั่งกันตรงเลานจ์ที่อยู่ติดกันชมการแสดงดนตรีจากนักดนตรีที่เกิดและเติบโตในเมืองมินาคามิ พอเค้าเป่าเพลงฝรั่งเราก็รู้จักนะ แต่พอเป่าเพลงญี่ปุ่นปุ๊บนี่ไม่เคยได้ยินซักเพลงเลย พอดีเป็นเพลงยุคเก่าๆ หน่อย คุณลุงคุณป้าคนญี่ปุ่นนี่เค้าพยักหน้ารู้จักกันทุกคน
เป็นอันจบค่ำคืนแรกในเมืองมินาคามิอย่างโรแมนติกและประทับใจ อิ่มใจด้วยดนตรีไพเราะและอิ่มท้องด้วยโมจิทั้งๆ ที่มื้อเย็นยังเต็มท้องอยู่เลย (โมจิอร่อยนะ ต้องกินจริงๆ)
เช้าวันรุ่งขึ้นเราก็ตื่นขึ้นมาพร้อมเสียงสายน้ำไหลและวิวสวยๆ ขึ้นไปทานอาหารเช้ากันที่ห้องอาหารเดียวกับมื้อเย็น ของเด็ดของที่นี่คือขนมปังแถวที่เค้าทำเอง
กลับมาที่ห้องก็ขอมาจิบกาแฟร้อนๆ ที่เค้าเตรียมเมล็ดกาแฟพร้อมเครื่องบดไว้ให้ ให้เราได้บดเองสดๆ กับมือ แหม่อยากจะมานอนที่นี่ซักเดือนนึง ระหว่างจิบกาแฟก็ได้ยินเสียงคนร้องกรี๊ดกร๊าดดังมาจากด้านล่าง
พอชะโงกหน้าออกไปดูก็เห็นต้นตอของเสียง ที่เห็นเป็นจุดสีส้มๆ นั่นแหละชะตากรรมที่เดี๋ยวผู้เขียนก็ต้องไปเผชิญเหมือนกัน!
เที่ยวธรรมชาติแบบแอดเวนเจอร์กับ CANYONS
ไม่นานเจ้าหน้าที่จาก CANYONS ก็มารับพวกเราจากโรงแรมไปยังฐานที่มั่น คนที่อยู่ในรูปหน้าประตูนั่นก็คือคุณ ไมค์ แฮริส (Mike Harris) ซึ่งก็คือเจ้าของของ CANYONS นี่แหละ แต่ชื่อตำแหน่งของเค้าคือ Chief Refreshing Officer เก๋มั๊ยล่ะ
กิจกรรมของที่นี่ต้องจองล่วงหน้าก่อน สามารถจองผ่านเว็บไซต์ https://canyons.jp/en/ (ภาษาอังกฤษ) ได้เลย มาถึงก็ลงทะเบียนผ่านแท็บเลตง่ายๆ วันนี้เราจะมาราฟติ้ง (Rafting) กัน จากนั้นโค้ชจะมาแนะนำวิธีสวมชุด ชุดและอุปกรณ์ต่างๆ เค้าเตรียมไว้ให้หมดแล้ว ไม่ต้องพกมาเองเลย เปลี่ยนชุดเสร็จก็ขึ้นรถไปยังริมน้ำที่มีเรือยางรอท่าอยู่เรียบร้อย
แต่ไม่ใช่ว่ามาถึงแล้วก็ขึ้นเรือเลยนะ ก่อนอื่นโค้ชจะให้มาลงน้ำเพื่อปรับตัวกันก่อน จะบอกว่านี่เดือนกรกฎาคมเข้าหน้าร้อนแล้ว แต่น้ำเย็นมาก มากที่สุด! เหมือนน้ำแช่น้ำแข็งเลยแหละ
จากนั้นก็ให้ลองสไลด์ไปตามน้ำทีละคน โดยโค้ชก็แนะนำวิธีป้องกันการบาดเจ็บอย่างวิธีเเก็บแขนเก็บศอกต่างๆ ในรูปนี่ผู้เขียนเอง จมไปทั้งหัวเลย
หลังจากนั้นก็เป็นเวลาติวเข้ม วิธีล่องเรือราฟติ้ง คำสั่งและข้อควรรู้ต่างๆ ซึ่งรวมถึงการป้องกันอันตรายด้วย ขอแนะนำให้ฟังให้ดี ตรงนี้จะมีเจ้าหน้าที่คนญี่ปุ่นพูดเป็นภาษาญี่ปุ่น และคนต่างชาติพูดภาษาอังกฤษแนนำแยกกันเป็นสองกลุ่ม จากนั้นก็ออกเดินทาง!
ระหว่างล่องไปตามแม่น้ำโทเนะ ก็จะมีทั้งจุดที่น้ำไหลเชี่ยวและน้ำเอื่อยๆ โค้ชจะคอยบอกว่าตอนนี้ให้พายไปข้างหน้า! พายไปข้างหลัง! ขย่มเรือ! บางทีก็หลบเข้ามานั่งด้านใน ทีแรกกะว่าจะพกกล้องแอคชั่นคาเมร่ามาถ่าย แต่พอเจออย่างนี้ถึงพกมาก็ไม่มีเวลาถ่ายแน่นอน
โค้ชจะมีบอกให้โพสท่าเตรียมถ่ายรูปตามจุดต่างๆ ด้วย แต่จุดนี้นี่เหมือนโดนหลอกนิดๆ พอโพสเสร็จเจอหล่มซัดเข้าเต็มๆ โค้ชก็หัวเราะชอบใจอยู่คนเดียว
พอมาถึงจุดนึงที่มีหน้าผาหินโค้ชก็ให้ขึ้นฝั่งกันทุกคน จากนั้นก็บอกว่า "มากระโดดกัน" เดี๋ยว! ไม่เหมือนที่คุยกันไว้นี่นา!
หน้าผานี่สูกซัก 5 เมตรได้ โค้ชก็บอกว่าไม่ต้องกลัวมีให้เลือกหลายระดับ หลายคนก็โดดจากระดับสูงสุดเลย ทีแรกผู้เขียนก็ยังร่าเริง ระดับ 5 เมตรก็น่าจะไหว แต่พอไปยืนปุ๊บ...ขอต่ำกว่านี้ละกัน แล้วก็เริ่มลดระดับต่ำลงมากันเรื่อยๆ
จนในที่สุดก็เหลือผู้เขียนอยู่คนเดียวคนสุดท้าย สรุปก็ไปจบที่ระดับต่ำสุดแทบจะยืนในน้ำอยู่แล้ว ก็คนมันกลัวความสูงนี่นา!
จากจุดที่กระโดดหน้าผานี่ก็อยู่ใกล้จุดขึ้นฝั่งแล้ว ทุกคนก็ว่ายกันไปขึ้นฝั่งเลย เป็นครั้งแรกที่ได้มาเล่นกีฬาแนวแอดเวนเจอร์อย่างนี้ เหนื่อยกว่าที่คิดเยอะมาก แต่ก็สนุกกว่าที่คิดมากเหมือนกัน
หลังจากกลับมาอาบน้ำเรียบร้อยโค้ชจะเตรียมซุปร้อนๆ ไว้ให้ซดกัน พร้อมตอบแบบสอบถามสั้นๆ ส่วนตรงจอโทรทัศน์จะขึ้นรูปที่ถ่ายมาเมื่อกี๊ให้ดูทันที ไม่อยากจะเห็นตัวเองตอนกระโดดหน้าผาเลย!
สำหรับผู้ที่มาพักกับที่พักของเค้าสามารถไปขอรับคูปองแช่ออนเซ็นที่บ่อออนเซ็นใกล้ๆ ได้ฟรี เดินไปก็ประมาณไม่ถึง 10 นาทีเอง
ที่พักมีทั้งแบบเต๊นท์ใหญ่ เต๊นท์เล็ก และห้องพักแบบลอดจ์
ที่พักของเราวันนี้คือเต๊นท์แบบใหญ่ ซาฟารีเต๊นท์ (Safari Tent) ซึ่งช่วงหลังๆ ที่ญี่ปุ่นเค้าจะฮิตแกลมป์ปิ้ง (Glamping) กันมาก คือเป็นการไปค้างแรมแบบแคมป์ปิ้ง แต่เพียบพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกไม่ต่างจากที่พักปกติเลย มีเตาบาร์บีคิว จานชามแก้ว เตียงนอน และเครื่องผลิตไฟฟ้าแสงอาทิตย์พร้อม ราคาเต๊นท์คืนละ 40,000 เยน พักได้สูงสุด 4 คน
มื้อเย็นเราไปสั่งชุดบาร์บีคิวมาปิ้งกันที่ลานหน้าเต๊นท์เลย สามารถเลือกได้ว่าไม่เอาเนื้อวัวหรือเนื้อหมู ถ้าเป็นคนที่พักเต๊นท์เล็กจะไม่มีพื้นที่หน้าเต๊นท์อย่างนี้ แต่สามารถไปใช้พื้นที่บาร์บีคิวรวมริมน้ำได้
อิ่มมาก มากจนเกินพลังงานที่ใช้ไปกับการเล่นราฟติ้งแน่ๆ หลังกินกันเสร็จก็เก็บอุปกรณ์ทั้งหลายไปคืนเค้าที่ห้องครัวตรงอาคารหลัก เพราะถ้าวางทิ้งไว้เดี๋ยวพวกสัตว์ตามกลิ่นอาหารมาแล้วจะอันตราย จากนั้นก็เข้านอนท่ามกลางเสียงน้ำไหลเอื่อย
มื้อเช้าเป็นอาหารง่ายๆ กาแฟร้อน น้ำส้ม ซีเรียลกับนม และขนมปังปิ้ง ซึ่งก็ดีแล้ว เพราะบาร์บีคิวของเมื่อคืนยังค้างอยู่ในท้องอยู่เลย
บรรยากาศที่นี่ง่ายๆ จนเหมือนไม่ได้อยู่ญี่ปุ่น เพราะโค้ชหลายๆ คนก็เป็นชาวต่างชาติเสียมาก บรรยากาศเป็นกันเองสบายๆ ก็รู้สึกดีไปอีกแบบ
ก่อนกลับก็ขอมาถ่ายรูปคู่กับคุณไมค์เค้าหน่อย เอ๊ะ ไม่ใช่ละ!
ต้องนี่ต่างหากตัวจริงเสียงจริง คุณไมค์เค้าดังถึงขนาดมีหนังสือการ์ตูนที่เขียนเรื่องราวของเค้าเลยนะ เพราะเป็นผู้บุกเบิกกีฬาแอดเวนเจอร์ให้กับเมืองมินาคามิ
สำหรับคนที่ต้องการมาสนุกกับกิจกรรมแอดเวนเจอร์ที่มินาคามิขอแนะนำ CANYONS มาก เพราะสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน แถมมีบริการไปรับ-ส่งก่อนและหลังเล่นด้วย เช่นพักโรงแรมในเมืองแล้วจะมาเล่น เค้าก็จะขับรถไปรับและส่งกลับให้ อย่างคราวนี้พวกเราจะกลับไปขึ้นรถไฟที่สถานีโจโมโคเก็น เค้าก็ขับไปส่งให้ถึงหน้าสถานีเลย โดยไม่มีการคิดค่าบริการเพิ่ม คุ้มจนกลัวเค้าจะขาดทุนเอา
กิจกรรมที่ทำได้จะต่างกันไปในแต่ละช่วงของปี กิจกรรมหน้าร้อนช่วงเมษายน - ตุลาคม จะเป็นกิจกรรมทางน้ำ เช่น ราฟติ้ง แคนยอนนิ่ง (Canyoning) บันจี้จัมพ์ เดินป่าปีนเขา กิจกรรมหน้าหนาวก็มีกิจกรรมสโนว์ชูส์เดินป่าหิมะ เล่นสกี สโนว์บอร์ด ลองมาเที่ยวญี่ปุ่นในแบบใหม่ๆ ท่ามกลางธรรมชาติกันดู ไม่แน่อาจจะติดใจจนไม่อยากเข้าเมืองกันเลยก็ได้
เตรียมตัวกลับโตเกียว
เจ้าหน้าที่ของ CANYONS ก็ขับรถมาส่งพวกเราลงที่สถานีโจโมโคเก็นเพื่อเตรียมขึ้นรถไฟชินคันเซ็นกลับโตเกียว ตอนนี้ในตัวสถานีเค้ามีร้านคาเฟ่เปิดใหม่แล้วนะชื่อ มินาคามิ เซลต์ (MINAKAMI ZELT) เปิด 10:00 - 18:00 ระหว่างรอรถไฟก็มานั่งทานกาแฟหรืออาหารรองท้องกันได้
เป็นอันจบทริป 3 วัน 2 คืนที่เมืองแห่งสายน้ำ มินาคามิ เป็นทริปที่ทำให้รู้สึกว่าหน้าร้อนมันก็ไม่ได้แย่นะ ยังมีกิจกรรมสนุกๆ ที่ทำได้เฉพาะหน้าร้อนอย่างนี้รออยู่อีกเยอะเลย ถ้าใครกำลังลังเลว่าจะมาเที่ยวญี่ปุ่นหน้าร้อนดีมั๊ย ขอแนะนำให้มาที่มินาคามิเลย รับรองจะติดใจ!
Written by TeiChayangkul and Fukatsu Dai
ขอบคุณสำหรับสถานที่และการอำนวยความสะดวกจาก สมาคมท่องเที่ยวเมืองมินาคามิ, สวนผลไม้มินาคามิ ฟรุ๊ตส์แลนด์ โมกิโทเระ, บ้านเครื่องประดับ ชิปโปยากิ โนะ อิเอะ, วัดไทเนจิ, ร้านอาหารชินริน, โอโทโระมิลค์, โรงแรมจูราคุ, CANYONS
นอกจากนี้ บทความอาจมีลิงก์โฆษณา โปรดพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจซื้อหรือจอง