Start planning your trip
ท่องไปในทุ่งศิลป์ของเมืองโทคามาจิ Tsumari Art Field จังหวัดนีงาตะ
เที่ยวเมืองแห่งศิลปะ โทคามาจิ (Tokamachi) ของจังหวัดนีงาตะ สถานที่จัดงานศิลปะใหญ่ Echigo-Tsumari Art Triennale แถมยังเป็นแหล่งค้นพบเครื่องปั้นดินเผาเก่าแก่ตั้งแต่ยุคโจมง น่าเที่ยวทั้งฤดูร้อนและฤดูหนาว
เที่ยว 4 เมือง 4 สไตล์ในนีงาตะ
ตอนที่ 3 ตอนสุดท้ายของการเดินทางเที่ยว 4 เมือง 4 สไตล์ในจังหวัดนีงาตะ เรามากันที่เมืองแห่งศิลปะ โทคามาจิ (Tokamachi)
ถ้ายังไม่ได้อ่านตอนก่อนหน้า ลองไปอ่านกันได้จากบทความ ตอนที่ 1 เยือนเมืองช่างฝีมือโลหะ ตีแก้วทองแดงด้วยตัวเองที่เมืองสึบาเมะซันโจ และตอนที่ 2 เที่ยวนีงาตะที่ ยาฮิโกะ ภูเขาแห่งเทพ และโอจิยะ เมืองแห่งปลาคาร์ปนิชิกิ
สารบัญ
■ เรียนรู้ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมเมืองโทคามาจิ
・ พิพิธภัณฑ์เมืองโทคามาจิ
・ ทดลองทำซาซาดังโกะ
・ กิโมโน เอมาคิคัง ชมขั้นตอนการทำผ้ากิโมโน
■ ท่องทุ่งศิลป์ Tsumari Art Field
・ Echigo-Tsumari Satoyama Museum of Contemporary Art KINARE
・ Hachi & Seizo Tashima Museum of Picture Book Art
・ Matsudai NOHBUTAI
・ นาขั้นบันไดโฮชิโทเกะ
・ งานศิลปะน่าสนใจระหว่างทาง
・ อุโมงค์แห่งแสง หุบเขาคิโยสึ
■ ที่พักในเมืองโทคามาจิ
・ Tokamachi Fureai no Yado Koryukan
・ Sanzen
■ สถานีเอจิโกะยูซาว่า
・ CoCoLo Yuzawa - Gangidori
・ Ponshukan
โทคามาจิ เมืองแห่งศิลปะ |
โทคามาจิ (Tokamachi) เป็นเมืองที่อยู่ทางส่วนใต้ของจังหวัดนีงาตะ (Niigata) ติดกับเมืองแห่งลานสกีอย่างยูซาว่า
เมืองโทคามาจิก็เป็นอีกเมืองที่มีหิมะตกหนักในฤดูหนาว มองไปทางไหนก็มีแต่หิมะขาวโพลน เหมาะมากสำหรับคนอยากมาเที่ยวเมืองหิมะไม่ไกลจากโตเกียว แต่ครั้งนี้เรามาเยือนโทคามาจิในฤดูร้อน เพราะทุกๆ 3 ปีในช่วงฤดูร้อนจะมีนิทรรศการศิลปะยิ่งใหญ่ที่เมืองทั้งเมืองจะเต็มไปด้วยงานศิลปะหลากหลายรูปแบบจากศิลปินทั่วโลก
สถานีชินคันเซ็นที่ใกล้ที่สุดสำหรับเปลี่ยนมาสถานีโทคามาจิ ถ้านั่งขึ้นมาจากโตเกียวให้เปลี่ยนที่สถานีเอจิโกะยูซาว่า (Echigo-Yuzawa) จากนั้นเปลี่ยนเป็นรถไฟสายโลคอลมีทั้งขบวนที่วิ่งผ่านสถานีโทคามาจิเลย กับขบวนที่ต้องไปเปลี่ยนที่สถานีมุยคามาจิ (Muikamachi) ก่อน 1 ครั้ง
ถ้านั่งชินคันเซ็นลงมาจากนีงาตะให้เปลี่ยนที่สถานีอุราซะ (Urasa) ต่อด้วยสถานีมุยคามาจิ (Muikamachi) อีกครั้ง
เรียนรู้ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมเมืองโทคามาจิ |
ก่อนอื่นมาดูประวัติศาสตร์ความเป็นมาของโทคามาจิกันหน่อยดีกว่า
พิพิธภัณฑ์เมืองโทคามาจิ (Tokamachi City Museum)
สำหรับคนที่มาเมืองโทคามาจิเป็นครั้งแรก ไม่รู้ว่าที่นี่เป็นเมืองแบบไหน มีประวัติศาสตร์ยังไง ขอแนะนำให้มาที่พิพิธภัณฑ์เมืองโทคามาจิ (Tokamachi City Museum) เดินจากสถานีรถไฟโทคามาจิประมาณ 10 นาทีเท่านั้น
ที่นี่เพิ่งสร้างเสร็จและย้ายจากพิพิธภัณฑ์เดิมมาเปิดใหม่เมื่อเดือนมิถุนายน 2020 นี่เอง
ค่าเข้าชม : ผู้ใหญ่ 500 เยน เด็กถึงมัธยมต้นเข้าฟรี
ก่อนเข้าไปดูนิทรรศการด้านในมีแบบจำลองสภาพภูมิประเทศของเมืองโทคามาจิอันเบ้อเริ่ม นี่ก็เป็นหนึ่งในส่วนจัดแสดงภายใต้หัวข้อ A Walk Through Tokamachi Past and Present
ตรงนี้เค้าจะอธิบายเรื่องราวเกี่ยวกับเมืองโทคามาจิตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันผ่านภาพฉายโปรเจกชันแมปปิ้งบนแบบจำลองภูมิประเทศสีขาว พร้อมภาพวิดีโอบนจอ สามารถเลือกหัวข้อจากหน้าจอเล็กๆ ด้านหน้าได้ เช่น เขตทั้ง 5 ของโทคามาจิ ชุมชนในยุคโจมง มีคำอธิบายภาษาอังกฤษให้ด้วยทั้งตรงปุ่มกดแล้วก็คำบรรยายในวิดีโอ
มีเครื่องเล่นเสียงอธิบายผลงาน (Audio Guide) ภาษาญี่ปุ่นและอังกฤษให้เช่าราคาเครื่องละ 300 เยน เพื่อฟังเรื่องราวบรรยายที่นอกเหนือจากคำอธิบายในนิทรรศการ
ถัดมาเราเข้ามายังโถงหน้าห้องนิทรรศการ จากตรงนี้จะแบ่งออกเป็น 3 ห้องตามธีมต่างๆ
Jomon and the Land of the Flame Style Pottery
เริ่มกันที่ห้องแรก Jomon and the Land of the Flame Style Pottery เรื่องราวเกี่ยวกับเครื่องปั้นดินเผาทรงเปลวไฟและยุคโจมง หนึ่งในยุคโบราณของญี่ปุ่นราวช่วง 14,000 - 3,000 ปีก่อนคริสตกาล
เครื่องปั้นดินเผาที่มีลายเส้นนูนลอยตัวขดวนไปมาจนดูเหมือนเปลวไฟลุกโชนเป็นสไตล์ที่ได้รับความนิยมในยุคโจมงกลาง ราวช่วง 3,400 - 2,400 ปีก่อนคริสตกาล
บริเวณเมืองโทคามาจิมีการขุดค้นพบเครื่องปั้นดินเผาทรงเปลวไฟจำนวนมาก เป็นหลักฐานแสดงว่าเคยมีชุมชนอาศัยอยู่ตามแนวแม่น้ำชินาโนะที่ไหลผ่านเมืองมาตั้งแต่ยุคโจมง
การใช้ชีวิตอย่างลำบากแร้นแค้นคงไม่มีเวลาสำหรับความสุนทรีย์ เครื่องปั้นดินเผาแสนวิจิตรเหล่านี้จึงน่าจะเป็นหนึ่งในสิ่งที่ยืนยันความอุดมสมบูรณ์และความสงบสุขของผู้คนในยุคนั้นได้เป็นอย่างดี
เครื่องปั้นดินเผาที่แสดงในส่วน National Treasure Room ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกชาติ โดยเฉพาะชิ้นที่เห็นในรูปนี้คือชิ้นที่ดังที่สุด คนญี่ปุ่นแทบทุกคนต้องเคยเห็นรูปกันมาแล้วเพราะจะถูกใช้เป็นภาพประกอบในหนังสือเรียนเวลามีเรื่องเกี่ยวกับยุคโจมง
ชิ้นงานที่แสดงนี้เป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น ทางพิพิธภัณฑ์จะสับเปลี่ยนเครื่องปั้นดินเผามาเวียนจัดแสดงตามธีมไปเรื่อยๆ
แบบจำลองบ้านที่สร้างจากฟางของคนในยุคโจมง หุงหาอาหารกันด้วยเตาฟืนที่ทำหน้าที่ให้ความอบอุ่นในบ้านไปด้วย ข้าวของเครื่องใช้ก็ทำจากไม้สานและเครื่องปั้นดินเผา
มาแปลงกายเป็นคนยุคโจมงกัน ก่อนอื่นมาถ่ายรูปตรงกล้องนี้ แล้วหน้าเราจะกลายเป็นคนยุคโจมง เดินไปเดินมา ก่อฟืนทำอาหารอยู่ในจอ
นอกจากดูแล้วยังจับได้ด้วย อย่างสองรูปบนคือแบบจำลองเครื่องปั้นดินเผาทรงเปลวไฟชิ้นมรดกชาติความละเอียดสูงที่ทำขึ้นด้วยวัสดุ ขนาด และน้ำหนักแบบเท่าจริงหมดเลย เอาไว้ให้ลองยกดู หนักเอาเรื่องเหมือนกันนะ
ส่วนสองรูปล่างเป็นตัวต่อ มีแม่เหล็กซ่อนอยู่ข้างในสำหรับประกบติดกัน เห็นแล้วอยากให้มีขายจริงๆ ขึ้นมาเลย
Textile History
ห้องถัดมา Textile History ประวัติศาสตร์เกี่ยวกับสิ่งทอของโทคามาจิ
ที่ตั้งปัจจุบันของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้เคยมีการขุดค้นพบกระสวยเก็บด้ายโบราณจากยุคยาโยอิเมื่อราว 4,000 - 3,000 ปีก่อนคริสตกาล นวัตกรรมสิ่งทอเองก็มีวิวัฒนาการมาเรื่อยๆ จากแรกเริ่มใช้ใยของต้นป่านคารามุชิ ก็เปลี่ยนมาเป็นใยกัญชง (ล่างซ้าย) และกลายมาเป็นผ้าไหมคุณภาพดี (ล่างขวา)
ผ้าทอใยป่านมีความเหนียวและทนทานมาก คนสมัยก่อนจะเอามาทอเป็นเสื้อคลุมคล้ายๆ เสื้อกั๊ก ไว้สวมทับด้านนอกเสื้อผ้าธรรมดาอีกที
การคิดค้นเทคนิคการทอใหม่ๆ ทำให้ได้ผ้าทอสวยและคุณภาพดีจนได้รับความนิยมและกลายเป็นหนึ่งในสินค้าประจำเมือง
Snow and the Shinano River
ห้องสุดท้าย Snow and the Shinano River เมืองโทคามาจิกับหิมะและแม่น้ำชินาโนะ
เน้นเรื่องราวเกี่ยวกับหิมะและการใช้ชีวิตท่ามกลางฤดูหนาวแสนหฤโหดของชาวเมืองโทคามาจิ
กองหิมะที่ทับถมกันจนสูงถึงชั้น 2 ของอาคารบ้านเรือนเป็นอะไรที่ชาวเมืองโทคามาจิต้องเจอกันทุกปี มีภาพถ่ายขาวดำให้เห็นขั้นตอนการกำจัดหิมะให้ดูด้วย เห็นแล้วก็นึกดีใจขึ้นมาที่เมืองไทยเราไม่มีหิมะตก
มีตัวอย่างก้อนหิมะให้ลองยกเทียบน้ำหนักระหว่างหิมะที่เพิ่งตกใหม่ๆ ทางด้านซ้าย กับหิมะที่ทับถมจนจับตัวเป็นก้อนทางด้านขวา ลองยกก้อนด้านขวาดูนี่ไม่ขยับเลยซักกะนิด
รองเท้าเดินหิมะ ลากเลื่อน เลื่อยตัดหิมะ และชุดคลุมกันหิมะ ทั้งหมดนี่เป็นของที่เคยใช้มาจริงๆ ในอดีต
ด้านในสุดของห้องเป็นบ้านญี่ปุ่นโบราณอายุ 200 ปีที่ถูกย้ายมาไว้ในพิพิธภัณฑ์ ทำให้เห็นวิถีชีวิตของชาวบ้านในสมัยนั้น สามารถถอดรองเท้าแล้วเดินเข้ามาดูด้านในได้
พื้นก็เป็นพื้นไม้ปูเสื่อ ประตูหน้าต่างก็เป็นประตูไม้ แค่เห็นก็หนาวแทนแล้ว
ก้อนมิโซะที่ถูกแขวนห้อยลงมาจากหลังคา
Museum shop
ดูนิทรรศการเสร็จก็มาดูของที่ระลึกต่อที่ร้าน Museum Shop ด้านหน้า มีสินค้าที่เป็นลายเครื่องปั้นดินเผาทรงเปลวไฟเยอะเลย เข็มกลัด พวงกุญแจ กล่องเสียบปากกา ตุ๊กตาผ้า หรือพวกโปสการ์ดก็มี
มาที่เดียวก็ได้รู้ทั้งประวัติศาสตร์ ความเป็นมา และวัฒนธรรมของเมืองโทคามาจิ ที่ชอบมากคือมีการนำเทคโนโลยีมาใช้และมีส่วนที่ให้ลองจับลองสัมผัสได้จริง สลัดภาพลักษณ์ของพิพิธภัณฑ์ที่อาจจะดูน่าเบื่อทิ้งไปเลย
กิจกรรมทำของกินขึ้นชื่อ ซาซาดังโกะ
ถัดมาเป็นกิจกรรมเกี่ยวกับของกินขึ้นชื่อของโทคามาจินั่นคือซาซาดังโกะ ดูแล้วอาจจะเหมือนข้าวต้มมัด แต่ข้างในคือดังโกะก้อนสีเขียวสอดไส้ถั่วแดงบด ห่อด้านนอกด้วยใบไผ่ซาซะ
กิจกรรมในครั้งนี้เราติดต่อผ่าน HOME away from HOME Niigata บริษัททัวร์ที่เน้นกิจกรรมท้องถิ่นเช่น สานรองเท้าญี่ปุ่น ทดลองทอผ้า ทำอาหารญี่ปุ่น หรือพักในบ้านญี่ปุ่นพร้อมลองเกี่ยวข้าว เหมาะสำหรับคนที่อยากลองมาสัมผัสวิถีชีวิตแบบธรรมดาๆ ของชาวเมือง
ค่ากิจกรรม : คนละ 3,000 เยน จำนวนผู้ร่วมกิจกรรมขั้นต่ำ 2 คน
หลังจากนัดเจอกันที่สถานีรถไฟ เราก็เดินกันมายังสตูดิโอที่มีวัตถุดิบเตรียมไว้ให้พร้อม (สถานที่จัดกิจกรรมอาจมีการเปลี่ยนแปลง ขึ้นอยู่กับวันและเวลา)
ผงสีเขียวด้านซ้ายคือหญ้าโยโมกิบด มีกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์นิยมนำมาผสมในขนมญี่ปุ่น ส่วนใบไผ่ซาซะนี่เชื่อว่ามีสรรพคุณต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย พอเอามาห่อขนมก็ทำให้เก็บได้นาน ว่ากันว่าซาซาดังโกะนี่เกิดขึ้นตั้งแต่สมัยยุคเอโดะเมื่อหลายร้อยปีก่อนนู่นแล้ว
ครูที่จะมาสอนคือโฮซากะซัง ครั้งนี้เราจะลองทำกันตั้งแต่ผสมแป้งเลย ใช้แป้งข้าวเหนียว แป้งข้าวเจ้า และโยโมกิผสมน้ำนวดให้เข้ากัน
แบ่งแป้งที่นวดเข้ากันดีแล้วเป็นก้อนเท่ากับจำนวนถั่วแดงกวน
แผ่ก้อนแป้งให้แบน ยัดไส้ด้วยถั่วแดงกวนแล้วห่อให้สนิท ตอนนี้จะไม่ปั้นให้กลมแล้วแต่จะปั้นให้ออกทรงกระบอกหน่อยๆ
จากนั้นเอาใบไผ่ซาซาะมาประกบก่อนจะมัดหัวมัดท้ายให้แน่น
จากนั้นก็เอาไปนึ่งประมาณ 20 นาที
เสร็จออกมาเป็นซาซาดังโกะหอมๆ เอาไว้กินรองท้องตอนเที่ยวได้พอดีเลย ถ้าเก็บเข้าตู้เย็นจะอยู่ได้ประมาณ 1 อาทิตย์
ถ้าสนใจอยากลองทำกิจกรรมอะไรก็ลองดูและติดต่อจองได้จากเว็บไซต์ของ HOME away from HOME Niigata
กิโมโน เอมาคิคัง วัฒนธรรมผ้าทอที่สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น
อย่างที่ได้ไปดูกันมาแล้วว่าสิ่งทอถือเป็นหนึ่งในวัฒนธรรมที่สืบทอดกันมาตั้งแต่อดีตของโทคามาจิ ถึงกับได้ชื่อว่าเป็นเมืองแห่งกิโมโน เราเลยเลือกมาที่กิโมโน เอมาคิคัง (Kimono Emakikan) ร้านจำหน่ายชุดกิโมโนและของใช้กระจุกกระจิกจากผ้าญี่ปุ่นเผื่อใครอยากได้ของฝากของที่ระลึกแบบญี่ปุ่น อยู่ห่างจากสถานีรถไฟโทคามาจิประมาณ 10 นาที
ตรงชั้น 1 มีตั้งแต่พัด กระเป๋าใส่ของ กระเป๋าผ้า อันขวาบนที่เป็นเนคไทถ้าดูใกล้ๆ จะเห็นว่าเป็นผ้าลายเครื่องปั้นดินเผาทรงเปลวไฟเรียงกันน่ารักมาก
บนชั้น 2 เป็นชุดกิโมโนหลากหลายแบบสำหรับใช้ในโอกาสต่างๆ
จองล่วงหน้าเพื่อเข้าชมกระบวนการย้อมผ้ากิโมโน
นอกจากส่วนร้านค้าแล้วที่นี่ยังมีโรงงานทอผ้าและย้อมผ้าของตัวเองด้วย สำหรับคนที่อยากชมกระบวนการผลิตผ้าสำหรับกิโมโนของโทคามาจิก็สามารถติดต่อล่วงหน้าเพื่อให้เจ้าหน้าที่พาชมได้ (อธิบายด้วยภาษาญี่ปุ่นเท่านั้น)
ขั้นตอนแรกที่ได้มาดูคือห้องย้อมผ้ายูเซ็น การย้อมสีผ้าแบบยูเซ็นมีเอกลักษณ์อยู่ที่ลวดลายประณีตและสีสันสดใส การย้อมแบ่งได้ 2 วิธีคือ เทกาคิยูเซ็น เป็นการลงสีทีละสีด้วยพู่กันโดยช่างฝีมือ ถือเป็นของที่มีคุณค่าและราคาสูง
อีกวิธีที่เรากำลังดูอยู่นี่คือ คาตะยูเซ็น เป็นการใช้แม่พิมพ์ฉลุลายวางบนผ้าแล้วปาดสีลงไป วิธีนี้ช่วยร่นระยะเวลาในการผลิตได้มาก
สีหนึ่งสีก็ใช้แม่พิมพ์หนึ่งแผ่น การย้อมสีผ้าหนึ่งผืนอาจต้องใช้แม่พิมพ์มากถึง 300 แผ่นก็มี
ผ้าที่ลงสีลวดลายเสร็จแล้วจะถูกปาดทับด้วยกาวกันสี แล้วส่งต่อมาที่ห้องลงสีพื้น ผ้าจะถูกขึงให้ตึงเพื่อไม่ให้เกิดรอยย่น ไม่อย่างนั้นเวลาที่ปาดสีลงไปบนผ้า สีจะไปจมอยู่ตรงรอยยับ ความชื้นและอุณหภูมิในห้องก็ถูกควบคุมอย่างเคร่งครัด ไม่อย่างนั้นสีจะแห้งเร็วจนปาดไม่ทัน เกิดเป็นรอยด่าง
เมื่อสีแห้งดีจึงนำผ้าไปอบไอน้ำเพื่อให้สีติดทน แล้วนำไปล้างกาวและสีส่วนเกินในน้ำสะอาดถึงจะเสร็จออกมาเป็นผืนผ้าลายสวย
ถัดไปเป็นห้องสำหรับทอผ้า ทันทีที่เข้ามาก็ได้ยินเสียงเครื่องจักรดังเป็นจังหวะไม่หยุด
ด้ายนับร้อยเส้นถูกทอเป็นผืนทีละนิดทีละนิด นี่คือผ้าโทคามาจิ อาคาชิชิจิมิ ผ้าสำหรับทำชุดกิโมโนฤดูร้อน เอกลักษณ์คือความบางโปร่ง ระบายอากาศได้ดี
ด้ายไหมที่ใช้จะเส้นเล็กมากจนช่างต้องใช้แว่นขยายส่องเวลาตรวจดูความเรียบร้อยของด้ายเลยทีเดียว
มาชมขั้นตอนการทอผ้า การย้อมสี และเลือกของฝากจากผ้าญี่ปุ่นสวยๆ กันได้ที่กิโมโน เอมาคิคัง
ท่องทุ่งศิลป์ Echigo-Tsumari Art Field |
Echigo-Tsumari Art Triennale คือนิทรรศการศิลปะอันยิ่งใหญ่ที่จัดขึ้นทุก 3 ปี มีผลงานศิลปะถาจากศิลปินทั่วโลกจัดแสดงอยู่ท่ามกลางพื้นที่อันกว้างใหญ่ไพศาลของดินแดนเอจิโกะสึมาริในจังหวัดนีงาตะ ซึ่งเมืองโทคามาจิก็เป็นส่วนหนึ่งในนั้นด้วย
งานศิลปะส่วนใหญ่เน้นความเชื่อมโยงระหว่างผู้คนกับธรรมชาติ ดึงเอาเอกลักษณ์ของแต่ละท้องถิ่นมาเป็นแนวคิดในผลงาน บางงานก็ดูกลมกลืนไปกับสภาพแวดล้อมจนไม่ทันสังเกต บางงานก็ดูโดดเด่นออกมาจนแปลกตา ชวนคิดว่าความหมายของงานนั้นคืออะไร
ถึงจะไม่ใช่ปีที่จัดงานใหญ่ ก็มีสถานที่และผลงานที่เปิดให้ชมได้อยู่หลายแห่ง นอกจากนี้ในแต่ละช่วงปีก็มีกิจกรรมน่าสนใจและนิทรรศการประจำฤดูให้ร่วมอยู่เสมอ ครั้งนี้เราได้ไปตระเวนเที่ยวอยู่หลายที่ บางที่อยู่ใกล้สถานีรถไฟ แต่ก็มีหลายที่ที่เข้าถึงยากอยู่ เลยขอแนะนำให้เช่ารถจากศูนย์เช่ารถใกล้สถานีรถไฟโทคามาจิจะสะดวกกว่ามาก ที่สำคัญอย่าลืมตรวจสอบเวลาทำการของแต่ละที่ก่อนเดินทางกันด้วยนะ
Echigo-Tsumari Satoyama Museum of Contemporary Art KINARE
ที่แรก Echigo-Tsumari Satoyama Museum of Contemporary Art KINARE อยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟโทคามาจิ ที่นี่ถูกสร้างขึ้นเป็นจุดเริ่มต้นสำหรับการเดินทางท่องไปในทุ่งศิลป์ของเอจิโกะสึมาริ เมื่อเข้ามาด้านในจะเจอกับสระน้ำขนาดมหึมาที่ถูกโอบล้อมด้วยตัวอาคารคอนกรีต
ค่าเข้าชม : ผู้ใหญ่ 800 เยน เด็ก (ประถม-มัธยมต้น) 400 เยน
ตอนที่มานี้เป็นช่วงฤดูร้อนพอดี ก็เลยมีกิจกรรมพิเศษที่เหมาะกับอากาศร้อนๆ เช่น ทำเรือฟองน้ำแล้วเอาไปลอยบนรางน้ำสำหรับเด็กๆ และร้านไอศกรีมพร้อมจุดนั่งพักสีสันสดใส
อีกอย่างที่ดูเด็กๆ จะถูกใจกันเป็นพิเศษก็คือเล่นพายบอร์ด SUP (Stand up paddleboarding) บนสระน้ำ ทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมพิเศษประจำฤดูร้อน ถ้ามาฤดูอื่นไม่มีให้เล่นนะ
เข้ามาด้านในก็เจอกับแมลงและสิ่งมีชีวิตหลากพันธุ์ที่เด็กๆ ทำขึ้นจากกระดาษสี
ที่ลอยอยู่ด้านบนเป็นผลงาน GHOST SATELLITES โดย Gerda Steiner & Jörg Lenzlinger ประกอบขึ้นจากสิ่งของที่ศิลปินรวบรวมมาได้ในเขตเอจิโกะสึมาริ แว่บแรกที่เห็นพวงมาลัยพลาสติกสีสดนี่ก็ทำเผลอนึกไปว่าตอนนี้เราอยู่เมืองไทยรึเปล่านะ
พอขึ้นมาชั้นสองจะมีจุดที่ทำให้เห็นภาพเงาสะท้อนของอาคารในน้ำเหมือนกระจก ที่จริงคือการเอาภาพถ่ายกลับด้านของอาคารพิพิธภัณฑ์มาแปะบนพื้นสระน้ำ เป็นผลงานชื่อ Palimpsest: pond of sky โดย Leandro Erlich พอเดินไปมุมอื่น ภาพสะท้อนที่ดูยืดไปมาก็ยิ่งดูแปลกตาน่าสนใจขึ้นไปอีก
Tunnel อีกหนึ่งผลงานของ Leandro Erlich ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากสารพัดอุโมงค์ที่เจอตอนนั่งรถผ่านไปตามหุบเขาของเอจิโกะสึมาริ ยิ่งเดินเข้าไปลึกเท่าไหร่ โลกรอบตัวก็ยิ่งเล็กลงเท่านั้น เป็นงานที่แฝงไปด้วยความขี้เล่นแบบน่ารักๆ
พอเดินออกมานอกอุโมงค์ถึงเห็นว่าตัวอุโมงค์ถูกครอบด้วยอาคารทรงลูกชิ้นปลาคามาโบโกะ หนึ่งในรูปแบบอาคารที่เห็นได้บ่อยในพื้นที่หิมะตกหนักแถวนี้
ประติมากรรมไม้สลักที่ถูกเผาให้เป็นถ่าน Phlogiston โดย Yamamoto Koji ตัวงานด้านบนใช้ไม้ประเภทเดียวกับฐานไม้ด้านล่าง ไม้ทุกชิ้นก็หาจากไม้ที่อยู่ในท้องถิ่นทั้งหมด
ดินจาก 576 จุดทั่วนีงาตะถูกบรรจุใส่ขวดแก้วเรียงไล่สีอย่างสวยงามจนเต็มผนัง เป็นผลงาน SOIL LIBRARY/NIIGATA โดย Kurita Kouichi
ระหว่างที่เดินไปตามทางในอุโมงค์หมุน Rolling Cylinder, 2012 ก็รู้สึกเหมือนตัวเรากำลังจะหมุนตามอุโมงค์ไปด้วยยังไงยังงั้น นี่น่าจะเป็นอีกหนึ่งผลงานที่ดังที่สุดของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ โดยศิลปิน Carsten Holler
ร้านอาหาร ของหวานและเครื่องดื่ม Dining Bar Echigo Shinanogawa ออกแบบด้วยคอนเซ็ปต์ ○in□ (circle in square) โดย Massimo Bartolini feat. Lorenzo Bini
โต๊ะกลมที่มีลายเส้นสีดำ พอเอามาเรียงต่อกันจะกลายเป็นแม่น้ำชินาโนะกาวะ แผ่นวงกลมสีขาวเล็กใหญ่บนเพดานที่เห็นนี้ ดูในรูปอาจจะไม่รู้ แต่ของจริงจะหมุนวนช้าๆ ให้เรารู้สึกเหมือนกำลังนั่งอยู่ใต้สายน้ำที่ต้องแสงระยิบระยับ
สุดท้ายคือ Museum Shop ร้านขายของที่ระลึก มีทั้งที่เกี่ยวกับงานศิลปะทั้งหลาย แล้วก็ผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นอย่างสาเกและข้าวสารของท้องถิ่น หลายชิ้นมีแพ็กเกจสวยเก๋น่าซื้อมาก บางส่วนก็เป็นฝีมือการออกแบบของดีไซเนอร์ด้วย ที่ชอบที่สุดขอยกให้รูปขวาบน ข้าวสารพันธุ์โคชิฮิคาริที่บรรจุอยู่ในกล่องทรงเมล็ดข้าวสารยักษ์อีกที ปริมาณ 300 กรัม ราคาไม่รวมภาษี 800 เยน
* ผลงาน Tunnel, Rolling Cylinder, 2012 และ Dining Bar Echigo Shinanogawa สิ้นสุดการจัดแสดงในเดือนธันวาคม 2020
※「トンネル」「Rolling Cylinder,2012」また「越後しなのがわバル」は、2020年12月をもって展示を終了しました。
อ่านเพิ่มเติมจากเว็บไซต์ Enjoy Niigata
Hachi & Seizo Tashima Museum of Picture Book Art
อดีตโรงเรียนประถมซานาดะที่ปิดตัวเพราะจำนวนนักเรียนที่ลดน้อยลง ได้ถูกเปลี่ยนโฉมให้กลายเป็น Hachi & Seizo Tashima Museum of Picture Book Art พิพิธภัณฑ์หนังสือภาพจากจินตนาการอันบรรเจิดของศิลปินหนังสือภาพ ทาชิมะ เซโซ (Tashima Seizo)
พิพิธภัณฑ์เปิดตัวพร้อมกับหนังสือภาพเรื่อง "โรงเรียนที่ไม่เคยร้าง (The School Won't Become Empty)" เล่าเรื่องราวของยูกิ ยูตะ และเค็นตะ เด็กนักเรียนรุ่นสุดท้าย 3 คนกับเหล่าปีศาจที่มาแอบอาศัยอยู่ในโรงเรียน
เด็กทั้ง 3 ผจญภัยไปในโรงเรียนร้าง
เหล่าปีศาจที่โผล่มาดูดกลืนความทรงจำ
คำว่าคิโนะมิในชื่อพิพิธภัณฑ์ภาษาญี่ปุ่นแปลว่าลูกไม้ ถ้าลองดูตามชิ้นงานหลายๆ ชิ้นจะเห็นว่ามีการเอาลูกไม้มาใช้เป็นส่วนประกอบด้วยเต็มไปหมด รวมถึงท่อนไม้ต่างๆ ซึ่งเป็นวัสดุที่ทาชิมะ เซโซ ชอบนำมาใช้สร้างสรรค์ผลงานมาก
ข้อความที่เด็กๆ รุ่นสุดท้ายของโรงเรียนประถมซานาดะเขียนทิ้งเอาไว้บนกระดานดำ
เรื่องราวในหนังสือภาพถูกนำมาขยายสู่โลกความเป็นจริง หรือกลับกัน โลกแห่งความเป็นจริงของโรงเรียนประถมที่เรากำลังเดินอยู่นี่ต่างหากที่ถูกนำไปทำเป็นหนังสือภาพ
ห้องด้านในของชั้น 1 มีโซนร้านหนังสือภาพและสินค้าผลงานของทาชิมะ เซโซให้เลือกสะสม รวมถึง Hachi Café ร้านคาเฟ่เล็กๆ มีเมนูกาแฟ เค้กและอาหารให้นั่งกินท่ามกลางบรรยากาศน่ารัก
อ่านเพิ่มเติมจากเว็บไซต์ Enjoy Niigata
Matsudai NOHBUTAI
Matsudai NOHBUTAI สร้างขึ้นในปี 2003 ผ่านการออกแบบโดยทีมสถาปนิก MVRDV เพื่อเป็นพื้นที่แสดงงานศิลปะ ส่งเสริมวัฒนธรรมท้องถิ่นผ่านกิจกรรม งานแสดงพิเศษ ไปจนถึงอาหารและของที่ระลึก
ค่าเข้าชม : ผู้ใหญ่ 500 เยน เด็ก (ประถม-มัธยมต้น 300 เยน)
ก่อนจะเข้าไปด้านในก็มี Bloom in Tsumari ดอกไม้ขนาดมโหฬารตั้งอยู่บนเนินเด่นมาแต่ไกล เห็นสีสันกับลายจุดแบบนี้จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากศิลปินผู้โด่งดัง คุซามะ ยาโยอิ
ตามทางเดินมีรั้วสีสลักชื่อบ้านของคนที่อาศัยอยู่ในโซนมัตสึได เดินๆ ไปก็มีเสียงเจ้าบ้านบนป้ายทั้งหลายพูดยินดีต้อนรับด้วยภาษาถิ่นดังขึ้นเป็นระยะ
Kamaboko Type Storehouse Project โดย Ozawa Tsuyoshi อาคารทรงคามาโบโกะไล่ระดับจากใหญ่ไปหาเล็ก แค่ขนาดปกติก็ดูน่ารักแล้ว ยิ่งเล็กยิ่งน่ารักเข้าไปอีก
The Rice Field โดย Ilya&Emilia Kabakov หุ่นแต่ละตัวแสดงขั้นตอนการทำนาข้าว ตั้งแต่พรวนดินไปจนเก็บเกี่ยว มีจุดชมวิวจากอาคารให้ดูด้วย จะเรียกว่าสร้างอาคารขึ้นมาเพื่อไว้ให้ดูงานนี้ก็ว่าได้
บนเขาที่เห็นยังมีชิ้นงานอีกกว่า 20 ชิ้นให้เดินเที่ยวชมไปเรื่อยๆ ถ้าจะเดินให้ครบก็เผื่อเวลาไว้ซักประมาณ 1 - 2 ชั่วโมง
ใครบ้างไม่เคยแอบไปเขียนกระดานเล่นตอนอยู่โรงเรียน ในห้องเรียนกระดานดำ Relation-Blackboard Classroom นี้ฝันของทุกคนจะเป็นจริง เพราะทุกส่วนไม่ว่าจะพื้น ผนัง เพดาน โต๊ะเรียนหรือเก้าอี้ได้กลายเป็นกระดานไปหมดแล้ว
พอดึงลิ้นชักออกมาก็มีงานอื่นอีกในชื่อ Art Drawers ทั้งหมดเป็นฝีมือของ Kawaguchi Tatsuo
พักกินมื้อเที่ยงกันที่ Echigo-Matsudai Satoyama Shokudo ห้องอาหารสีฟ้าเห็นวิวเนินเขาและ The Rice Field
วัตถุดิบที่ใช้ทำอาหารเน้นผลผลิตจากท้องถิ่น ตอนที่ไปมีข้าวกะเพราด้วย ก็อร่อยใช้ได้อยู่ ราคา 800 เยน หรือจะสั่งเป็นเค้กกับน้ำผลไม้กินเบาๆ ก็ได้
ตอนนั้นคนที่ใช้บริการร้านอาหารสามารถเลือกเมนูที่เทคเอาต์ได้แล้วเอามานั่งกินตรงส่วนจัดแสดงพิเศษได้ โซน Kagamichushin ผลงานของ Toyofuku Ryo ดึงเอาความเชื่อเกี่ยวกับเทพและวิญญาณจากทั่วญี่ปุ่นมาสร้างบรรยากาศชวนพิศวง
ห้องน้ำสีแดงแรงฤทธิ์กับลูกเล่นที่อยากให้ลองไปดูกันเอง เรียกว่าเก๋และเล่นสนุกยันห้องน้ำเลยจริงๆ
อ่านเพิ่มเติมจากเว็บไซต์ Enjoy Niigata
นาขั้นบันไดโฮชิโทเกะ
จุดถัดมานี้ที่จริงไม่ได้เป็นผลงานของศิลปินที่ไหน แต่เป็นฝีมือของชาวบ้านที่เค้าปลูกข้าวกันอยู่แล้ว พอดีอยู่ในละแวกเดียวกันเลยขอแวะมาด้วย
ตรงนี้เรียกว่านาขั้นบันไดโฮชิโทเกะ (Hoshitoge Rice Terraces) หนึ่งในจุดถ่ายรูปสวยๆ ที่ค่อนข้างมีชื่อเสียง เพียงแต่ต้องดูช่วงเวลาที่จะมาให้ดีหน่อย ช่วงฤดูใบไม้ผลิจะมีน้ำจากหิมะละลายขังอยู่ในนา ผิวน้ำจะเป็นเหมือนกระจกเงาสะท้อนท้องฟ้าลงบนผืนนา ช่วงหน้าร้อนอย่างตอนที่มานี้ก็จะเป็นวิวต้นข้าวสีเขียวอ่อนตัดกับคันนาสีเขียวเข้ม ประมาณปลายเดือนกันยายนต้นข้าวจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทอง หลังจากเกี่ยวข้าวแล้วก็จะเหลือน้ำขังอยู่บ้างพร้อมๆ กับต้นไม้ใบหญ้าที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลืองในฤดูใบไม้ร่วง ส่วนฤดูหนาวก็เป็นวิวหิมะสีขาวสวยไม่แพ้กัน
อยากได้วิวแบบไหนก็เลือกช่วงมากันได้เลย แต่ข้อควรระวังคือพื้นที่นานี้เป็นที่ส่วนบุคคล ห้ามเดินเข้าไปด้านใน จากจุดชมวิวที่กำหนดให้ก็ถ่ายรูปได้สวยเหมือนกัน
งานศิลปะน่าสนใจระหว่างทาง
ถัดไปเราจะมุ่งหน้าไปยังหุบเขาคิโยสึ ระหว่างทางก็มีผ่านงานศิลปะเด่นๆ อีกหลายชิ้น เลยขอเลือกบางส่วนมาให้ดูกัน
For Lots of Lost Windows โดย Utsumi Akiko
Place to meet the distance อีกหนึ่งผลงานที่ดูแฝงไปด้วยความหมายของ Utsumi Akiko ศิลปินคนเดียวกับหน้าต่างด้านบน
House of Birds โดย Jaume Plensa จุดมุ่งหมายคือการสร้างบ้านให้นกเหมือนชื่อผลงาน ภายใต้แนวคิดว่านกคือสิ่งที่เชื่อมต่อระหว่างโลกบนพื้นดินกับท้องฟ้า และเป็นตัวแทนของธรรมชาติที่แสนเปราะบาง ควรได้รับการดูแลรักษา
Set North for Japan (74°33'2") โดย Richard Wilson
โครงเหล็กสีฟ้าที่พอดูไปดูมาก็เห็นเป็นทรงบ้านที่ตีลังกากลับหัว ศิลปินตัดทอนบ้านของตัวเองที่อยู่ในลอนดอนให้เหลือแค่โครงแล้วก็จินตนาการว่าอยู่ๆ บ้านก็ทะลุผ่านโลกจากลอนดอนมาโผล่ที่สึมาริโดยคงระนาบแนวตั้งและแนวนอนอยู่อย่างนั้น ผลเลยกลายเป็นบ้านที่ตั้งกลับหัวแถมยังเอียงอีกต่างหาก ยิ่งตั้งอยู่ใกล้เสาประตูโทริอิอย่างนี้ยิ่งเพิ่มความอัศจรรย์เข้าไปอีก
อุโมงค์แห่งแสง หุบเขาคิโยสึ
หุบเขาคิโยสึ (Kiyotsu Gorge) ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งใน 3 หุบเขาขึ้นชื่อของญี่ปุ่น ที่จริงอุโมงค์นี้ถูกสร้างและเปิดใช้งานมาตั้งแต่ปี 1996 แล้ว จุดประสงค์หลักคือเพื่อให้ผู้คนมาชมความงามของหุบเขาได้อย่างปลอดภัย จากนั้นในปี 2018 สถาปนิกชาวจีน Ma Yansong ผู้ก่อตั้งออฟฟิศสถาปัตย์ MAD Architects ได้เข้ามาปรับโฉมอุโมงค์เรียบๆ ให้กลายเป็นอุโมงค์แห่งแสง Tunnel of Light ส่วนหนึ่งของเทศกาลศิลปะ Echigo-Tsumari Art Triennale
จากสถานีรถไฟเอจิโกะยูซาว่า (Echigo-Yuzawa) ก็มีรถบัสที่วิ่งมาจอดป้าย Kiyotsukyo Iriguchi (Kiyotsu Gorge Entrance) ใช้เวลา 30 นาที จากนั้นเดินต่อมายังอุโมงค์อีก 30 นาที
ค่าเข้าชม : ผู้ใหญ่ 800 เยน เด็ก (ประถม - มัธยมต้น) 400 เยน
ทางเดินถูกย้อมไปด้วยแสงหลากสี สร้างบรรยากาศลึกลับน่าค้นหาว่าเราจะเดินไปเจออะไร
จุดชมวิวที่ 1 เน้นความเรียบง่ายไม่หวือหวา เพื่อให้ได้จดจ่อกับความแปลกตาของหน้าผาหินที่มีลักษณะเป็นแท่งหกเหลี่ยมเหมือนเอาดินสอไม้มาวางประกบเข้าด้วยกัน แท่งหินเหล่านี้เกิดจากการหดตัวของแมกมาใต้เปลือกโลก ก่อนจะโดนดันตัวขึ้นมาเป็นภูเขา และถูกกัดเซาะด้วยแม่น้ำคิโยสึจนกลายเป็นหุบเขาอย่างที่เห็นในปัจจุบัน
จุดชมวิวที่ 2 Invisible Bubble มีแคปซูลสีเงินตั้งอยู่ตรงกลางจนดูเหมือนยานอวกาศจากนอกโลก ด้านในคือห้องน้ำ 2 ห้อง ห้องฝั่งที่หันออกไปทางหุบเขาจะถูกเคลือบด้วยฟิล์มเมทัลลิคที่สามารถมองทะลุได้จากข้างในเท่านั้น น่าจะเรียกได้ว่าเป็นห้องน้ำที่มีวิวดีที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่นเลยนะเนี่ย
จุดชมวิวที่ 3 Drops กระจกรูปร่างคล้ายหยดน้ำกระจายตัวอยู่ทั่วผนังอุโมงค์ สะท้อนตัวผู้คนไปมายามเดินผ่าน ยิ่งฟ้ามืดลงเท่าไหร่ไฟสีแดงด้านหลังกระจกก็ยิ่งเด่นขึ้นเท่านั้นจนทั้งอุโมงค์กลายเป็นสีแดงราวกับมีเปลวไฟลุกโชน
เดินต่อมาจนถึงห้องพาโนรามาสเตชั่น Light cave ด้านในสุดที่ระยะทาง 750 เมตรตั้งแต่ทางเข้าอุโมงค์
พื้นอุโมงค์คือผืนน้ำกว้างจรดกำแพงสองฝั่ง ผนังอุโมงค์ถูกปิดทับด้วยแผ่นสเตนเลสที่สะท้อนสีสันของหุบเขาด้านนอกเข้ามาในตัวอุโมงค์จนเหมือนหลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียว
พื้นแอ่งน้ำรอบนอกจะตื้นให้เดินได้ เฉพาะตรงกลางจะลึกประมาณ 15 เซนติเมตร สามารถถอดรองเท้าเพื่อเดินด้านในได้เหมือนกัน มาแล้วก็ต้องแชะภาพเป็นที่ระลึกกันหน่อย
วิวที่เห็นจากปลายแอ่งน้ำคือแม่น้ำคิโยสึไหลเอื่อยไปตามหุบเขา จุดที่เรากำลังมองตรงไปคือปากทางอุโมงค์ที่เราเดินเข้ามาตอนแรก ถ้าเป็นช่วงเดือนพฤศจิกายนด้านนอกก็จะเต็มไปด้วยใบไม้สีเหลืองแดง ถ้ามาช่วงเดือนธันวาคมจนถึงประมาณมีนาคม ก็จะเป็นวิวหิมะขาว น่ามาให้ครบทุกฤดูจริงๆ
ออกจากอุโมงค์แล้วจะแวะไปนั่งจิบกาแฟในคาเฟ่ที่ชั้น 1 ของ Entrance Facility ก่อนกลับก็ได้ ไม่ก็ขึ้นไปชั้น 2 ที่มีอาชิยุ บ่อออนเซ็นสำหรับนั่งแช่เท้าแล้วก็แหงนหน้าดูหุบเขาคิโยสึที่สะท้อนจากกระจกผ่านช่องวงกลมบนเพดานไปด้วย นี่คือ Periscope อีกหนึ่งผลงานของ Ma Yansong เหมือนกัน
อ่านเพิ่มเติมจากเว็บไซต์ Enjoy Niigata
ที่พักในเมืองโทคามาจิ |
ที่พักของเมืองโทคามาจิครั้งนี้ทั้ง 2 ที่มาในสไตล์ญี่ปุ่นพื้นบ้าน ใครที่ชอบบ้านญี่ปุ่นน่าจะถูกใจ
Tokamachi Fureai no Yado Koryukan
เดินจากสถานีรถไฟโทคามาจิประมาณ 7 นาที ก็มาถึง Tokamachi Fureai no Yado Koryukan บ้านหลังโตบนเนินหิน
อาคารนี้เป็นอาคารญี่ปุ่นเก่าอายุ 40 ปีที่รีโนเวตใหม่ แต่ด้านในยังคงรูปแบบเดิมพร้อมของตบแต่งแบบญี่ปุ่นๆ
ห้องน้ำและห้องอาบน้ำเป็นแบบแชร์ ปกติถ้ามีคนพักหลายคนพร้อมกันจะใช้วิธีเขียนชื่อบนบอร์ดสำหรับจองเวลาใช้ห้องอาบน้ำ แต่วันนี้มีเราคนเดียวในบ้าน ใช้ได้ตามสบายเลย
ที่สำคัญคือชั้น 1 จะเน้นแบบบาเรียฟรี พื้นที่ต่างระดับจะมีสโลปวางให้รถเข็นสามารถผ่านได้
ห้องพักมีทั้งห้องแบบเตียงและแบบฟูกฟุตง ห้องที่พักครั้งนี้เป็นห้องแบบเตียง มีตู้เย็นในห้องกับที่นั่งริมระเบียง
วิวทุ่งนากว้างด้านนอกกับพระอาทิตย์ตกยามเย็น
ที่นี่ไม่มีอาหารมื้อเย็นให้ แต่เจ้าของโอฮาชิซังจะช่วยแนะนำร้านอร่อยๆ ในตัวเมืองที่อยู่ในระยะเดินถึงได้ให้ อยากกินเป็นอาหารแบบไหนลองถามได้เลย ขอบอกนิดนึงว่าที่เมืองโทคามาจินี่เค้าดังเรื่องโซบะด้วย
เช้าวันรุ่งขึ้นตื่นมาพร้อมกลิ่นหอมๆ โชยมาจากห้องครัว โอฮาชิซังมาเตรียมอาหารเช้าไว้ให้แล้ว
วิวทุ่งนาสีเขียวช่วยเพิ่มความสดชื่นยามเช้าได้ดี ตอนฤดูหนาววิวข้างนอกแถวนี้จะเปลี่ยนเป็นสีขาวจากหิมะ
มื้อเช้าเป็นอาหารแบบญี่ปุ่นเหมือนที่เราเห็นกันตามละครเลย มีปลา ผักเคียง ซุปมิโซะ แล้วก็ข้าวสวยพันธุ์โคชิฮิคาริกับไข่ดิบ เอาไว้ให้ทำทามาโกะคาเคะโกะฮัง หรือข้าวคลุกไข่ดิบ ตอนจะกินก็ราดด้วยโชยุหน่อยนึง วัตถุดิบเน้นของจากท้องถิ่นทั้งนั้น
ถ้าใครยังไม่เคยลองข้าวคลุกไข่ดิบขอแนะนำให้ลองดู ไม่คาวเลย แต่ถ้าไม่ถนัดจริงๆ ก็เปลี่ยนเป็นไข่ดาวแทนได้
สามารถจองผ่านเว็บ airbnb และติดตามได้จาก instagram @kouryukan
Sanzen
จากสถานีโทคามาจิ นั่งรถไฟสายอียามะ (Iiyama Line) มา 3 สถานี ลงที่สถานีเอจิโกะทาซาวะ (Echigo-Tazawa) จากนั้นเดินประมาณ 6 นาทีมายังบ้านไม้ริมนา Noka Minshuku Sanzen
บ้านไม้อายุ 160 ปีที่เปิดเป็นบ้านพักสำหรับคนอยากสัมผัสบรรยากาศบ้านชาวนาญี่ปุ่น
โถงกลางเปิดโล่งไปถึงชั้นสอง ถึงเป็นบ้านเก่าแต่ด้านในก็สว่างด้วยหน้าต่างบานใหญ่
เดินขึ้นไปบนชั้น 2 ก่อนจะเข้าส่วนห้องพักมีห้องนั่งเล่นกับเปลน่ารักๆ
ห้องพักแบ่งเป็น 2 ห้อง ห้องที่นอนคืนนี้เป็นฝั่งหน้าบ้าน เครื่องปรับอากาศก็มีให้พร้อม
อีกห้องเป็นฝั่งหลังบ้าน มีระเบียงด้านนอกให้นั่งรับแดดยามเช้า
ที่คั่นตรงกลางระหว่างห้องพักคือส่วนนั่งพักเล็กๆ กับห้องอาบน้ำ มีสบู่เหลวกับแชมพูให้พร้อม และห้องน้ำแบบมีวอชเล็ต
หลังจากนั่งพักดื่มชาเสร็จ ฮิโรตะซัง เจ้าของบ้านก็พาไปเดินดูแปลงผักรอบบ้านด้วย มีทั้งพริก มะเขือม่วง มะเขือเทศ เอดะมาเมะ (ถั่วแระญี่ปุ่น) โหระพา มินต์ กับอีกสารพัดจนจำไม่หมด ชาสมุนไพรที่เพิ่งดื่มไปก็มาจากในสวนนี่แหละ
ที่นี่มีกิจกรรมชาวสวนให้ลองด้วย เช่น เกี่ยวข้าว เก็บผัก แต่ขึ้นอยู่กับช่วงฤดู ตอนที่ติดต่อจองห้องพักก็ลองสอบถามได้ว่าช่วงที่ไปจะมีกิจกรรมอะไรบ้าง (กิจกรรมมีค่าใช้จ่ายต่างหาก)
อาหารมื้อเย็นจะเลือกออกไปหาอะไรทานเองข้างนอก ไปซื้อกลับมาทาน หรือเลือกสั่งเดลิเวอรี่ก็ได้ ส่วนอาหารเช้าแนะนำให้กินที่นี่เลย แต่อย่าลืมแจ้งไว้ตั้งแต่ตอนจองนะ ราคาคนละ 500 เยน
ผักส่วนใหญ่ก็เป็นผักที่เก็บมาจากสวน รับประกันความสด มาพร้อมปลา ข้าวสวย และซุปมิโซะร้อนๆ
หลังมื้อเช้าฮิโรตะซังยังพาไปดูบ้านอีกหลังที่อยู่ติดกัน หลังนี้เป็นแบบเช่าทั้งหลังเหมาะสำหรับคนที่มาเป็นครอบครัวหรือมากันเป็นกลุ่ม มีครัวให้ด้วย
สถานีเอจิโกะยูซาว่า |
ขากลับเราจะมาขึ้นรถไฟชินคันเซ็นกันที่สถานีเอจิโกะยูซาว่า (Echigo-Yuzawa) ในเมืองยูซาว่าที่อยู่ติดกัน ด้านในอาคารของสถานีมี CoCoLo Yuzawa - Gangidori โซนร้านอาหาร ราเม็ง ร้านข้าว ร้านค้าของฝากหลายสิบร้านให้เลือกแวะก่อนกลับ
ตรงกลางเป็นโซนชูโออิจิบะ มีขนมซาซาดังโกะทั้งแบบนึ่งร้อนๆ กับแบบแช่เย็น ขนมมันจู ขนมอื่นๆ ของใช้จุกจิกที่เป็นลายเกี่ยวกับนีงาตะ ไปจนถึงเครื่องมือและอุปกรณ์ครัวจากโลหะจากสึบาเมะซันโจ
แต่ที่ชอบที่สุดคือกระเป๋าโทตกระเป๋าซิปที่ทำมาจากถุงบรรจุข้าวสาร อย่างรูปล่างก็เลือกเอาส่วนที่พิมพ์คำว่าโคชิฮิคาริ コシヒカリ ชื่อพันธุ์ข้าวแสนอร่อยที่ปลูกกันมากในจังหวัดนีงาตะมาเป็นลายด้านหน้าของกระเป๋าซิป เก๋ไก๋น่าใช้มาก
คำว่า กังกิ (Gangi) ในชื่อหมายถึงกันสาดที่สร้างขึ้นตรงหน้าบ้านสำหรับกันทางเดินจากหิมะ พบเห็นได้มากในนีงาตะ ที่นี่เลยเอามาสร้างเป็นทางเดินหน้าร้านได้บรรยากาศเหมือนเดินอยู่ในเมืองจริงๆ
พนชุคัง (Ponshukan)
ด้านในสุดเป็นโซนร้านพนชุคัง (Ponshukan) เน้นของดีของดังโดยเฉพาะสาเกท้องถิ่นที่คัดสรรมาจากทั่วจังหวัดนีงาตะ มีข้าวสารพันธุ์โคชิฮิคาริจากเขตอุโอนุมะห่อมาในผ้าสีสวยเหมาะสำหรับซื้อเป็นของฝาก
มีบ่อน้ำร้อนสาเก ยุโนะซาวะ (Yu no Sawa) ให้แช่ด้วยนะ เค้าบอกว่าสารต่างๆ ในเหล้าสาเกจะช่วยเรื่องการไหลเวียนของเลือดและช่วยทำให้ผิวนุ่มลื่น ค่าบริการแช่น้ำร้อนคนละ 800 เยน เด็ก (ถึงชั้นประถม) 400 เยน
ตรงทางเข้าบ่อน้ำร้อนสาเกเป็นร้านคาเฟ่ โคจิรัตเตะ (Koujiratte) เน้นเมนูเครื่องดื่มและซอฟต์ครีมผสมโคจิ (หัวเชื้อหมักสาเก) ที่ว่ากันว่าดีต่อสุขภาพหลายด้านเลย
เมนูเครื่องดื่มแบบเบสิกสุดก็โคจิลาเต้ (Koji latte) ทำจากเหล้าหวานอามะสาเกผสมกับนม เหล้าหวานได้มาจากการหมักข้าวด้วยโคจิ เมนูอื่นก็เป็นการเอาโคจิลาเต้นี่ไปผสมกับอย่างอื่น เช่น โคจิลาเต้ขิง โคจิลาเต้คาราเมล โคจิลาเต้ชาเขียวมัตฉะ หรือโคจิลาเต้ช็อกโกแลตก็มี หรือจะเพิ่ม 200 เยนเพื่อสั่งแบบเป็นโฟลตเพิ่มซอฟต์ครีมโคจิข้างบนก็ได้อีก
ในรูปข้างบน แก้วซ้ายคือโคจิลาเต้แบบธรรมดา แก้วเล็กราคารวมภาษี 390 เยน ส่วนแก้วขวาคือโคจิลาเต้ชาเขียวมัตฉะ แก้วเล็กราคารวมภาษี 610 เยน หอมกลิ่นมัตฉะ นัวมาก
เมนูกาแฟธรรมดาก็มีเหมือนกัน เผื่อใครอยากมานั่งพักจิบกาแฟระหว่างรอขึ้นชินคันเซ็น
สำหรับสายดื่มขอแนะนำกิจกรรมชิมสาเกที่ คิคิซาเกะบันโชะ (Kikizake Bansho) ตรงหน้าทางเข้าพนชุคังเลย สังเกตจากป้ายที่เขียนว่า Sake Tasting ก็ได้
ด้านในมีสาเกจากทั่วนีงาตะให้เลือกนับร้อยประเภท
วิธีใช้บริการคือจ่ายเงิน 500 เยนที่เคาน์เตอร์ จะได้รับจอกเหล้ามา 1 จอก กับเหรียญสีทองอีก 5 เหรียญ
อยากลองดื่มสาเกไหนก็วางจอกในช่อง หยอดเหรียญตามจำนวนที่เขียนไว้ แล้วกดปุ่มสีเหลือง สาเกก็จะถูกเติมใส่จอกโดยอัตโนมัติ
ถ้าเลือกไม่ถูกว่าจะลองชิมสาเกอันไหนดี ทางร้านก็มีป้ายแนะนำสาเกน่าลองของเดือนอยู่ มีเขียนเป็นภาษาอังกฤษให้ด้วย
ที่สำคัญคือดื่มไม่ขับ แล้วก็อย่าชิมกันเพลินจนเมามายเหมือนหุ่นซาลารี่แมนหน้าร้านนะ
อ่านเพิ่มเติมจากเว็บไซต์ Enjoy Niigata
เที่ยว 4 เมือง 4 สไตล์ในนีงาตะ
ปิดท้ายทริปเที่ยว 4 เมืองในจังหวัดนีงาตะด้วยเมืองแห่งศิลปะและวัฒนธรรม โทคามาจิ แถมจุดแวะช้อปปิ้งก่อนกลับที่สถานีเอจิโกะ-ยูซาว่าให้ด้วย สำหรับเมืองโทคามาจิเรามาค้างกัน 2 คืน แต่บอกเลยว่าไม่พอจริงๆ บางที่ยังอยากได้เวลาเดินดูงานศิลปะต่ออีกสักหน่อย แล้วก็อยากลองมาช่วงฤดูหนาวด้วย อยากได้วิวหิมะสวยๆ ถ้ามีโอกาสต้องแวะมาอีกแน่นอน
ถ้ายังไม่ได้อ่านตอนที่ 1 กับ 2 ที่ไปเมืองสึบาเมะซันโจ ยาฮิโกะ กับ โอจิยะ ก็เลือกคลิกที่รูปด้านล่างนี้ได้เลย
อ่านเพิ่มเติมได้ที่
Written by
นอกจากนี้ บทความอาจมีลิงก์โฆษณา โปรดพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจซื้อหรือจอง