Start planning your trip
![sponsor image](https://cf.bstatic.com/static/img/affiliate_base/flexi/booking_logo_blue/ebc3273565b5e682ccaf01872d2e046749306442.png)
ฟุนโดชิ Fundoshi ชุดชั้นในแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่น ที่ปัจจุบันพบเห็นคนใส่ได้แค่ตามงานเทศกาล เราเลยขอมาแนะนำถึงเสน่ห์ของฟุนโดชิ และฟุนโดชิที่ออกแบบใหม่ได้อย่างทันสมัยโดยแบรนด์ SHAREFUN
ทุกคนเคยได้ยินหรือรู้จักคำว่า ฟุนโดชิ มั๊ยครับ ถ้าบอกว่าผ้าเตี่ยวทุกคนคงร้องอ๋อ
ฟุนโดชิ (Fundoshi) เป็นชุดชั้นในแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่น ใช้ผ้าผืนยาวมาพันตัวเพื่อปกปิดส่วนลับของร่างกาย หรือก็คือผ้าเตี่ยวนั่นเอง วิธีพัน วิธีผูก และวัสดุมีหลากหลายแบบ
เทียบกับกางเกงในแบบปัจจุบันแล้ว จะใช้เวลาในการสวมใส่มากกว่า แต่ว่ากันว่าดีในด้านสุขภาพและสวมใส่สบายตัวมาก
ในครั้งนี้เราเลยขอมาเสนอเสน่ห์ของฟุนโดชิ แนะนำสมาคมฟุนโดชิญี่ปุ่น ผู้พยายามเผยแผ่และรักษาวัฒนธรรมการใช้ฟุนโดชิ และสินค้าของแบรนด์ SHAREFUN® ที่เหมาะสำหรับผู้เพิ่งเคยลองใส่ฟุนโดชิเป็นครั้งแรก
ภาพนักซูโม่พันผ้า จากสมุดรวมภาพ Hokusai Manga โดยศิลปิน Katsushika Hokusai
ฟุนโดชิถูกใช้ในชีวิตประจำวันมาตั้งแต่ราว 100 - 150 ปีก่อน
ในสมัยเอโดะ กลุ่มช่างและคนค้าขายทั้งหลายนิยมออกไปทำงานทั้งๆ ที่สวมแค่ฟุนโดชิ แต่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ฟุนโดชิถูกแจกจ่ายไปทั่วประเทศเพื่อให้ใช้เป็นชุดชั้นใน ทำให้หลังจากสิ้นสุดสงคราม ฟุนโดชิจึงถูกมองว่าเป็นสิ่งที่แสดงความเกี่ยวข้องกับลัทธิทหาร จำนวนคนที่ใช้ฟุนโดชิจึงลดลงอย่างรวดเร็ว
ในปัจจุบัน จะพบเห็นคนใส่ฟุนโดชิได้ก็แค่ในตามงานเทศกาลไม่ก็นักซูโม่เท่านั้น ถ้าในงานเทศกาล จะเป็นผู้ชายที่ท่อนบนสวมเสื้อฮัปปิ (*1) ส่วนท่อนล่างพันผ้าฟุนโดชิครับ
ส่วนที่นักซูโม่สวมจะเรียกว่า "มาวาชิ" ก็เป็นฟุนโดชิชนิดหนึ่งเช่นกัน เรียกได้ว่าฟุนโดชิเหมือนเป็นเครื่องแบบของนักซูโม่และงานเทศกาลเลยครับ
*1 ฮัปปิ : เครื่องแต่งกายแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่น เป็นเสื้อคลุมแบบผ่าหน้าคล้ายกิโมโน แต่ความยาวถึงแค่เอว มักสวมใส่ตามงานเทศกาล
ข้อมูลอ้างอิง : "เกี่ยวกับฟุนโดชิ" โดย สมาคมฟุนโดชิญี่ปุ่น
ฟุนโดชิที่ผู้คนนิยมกันในสมัยก่อน ในยุคก่อนสงครามเป็นของธรรมดาที่ใครๆ ก็ใช้กันแท้ๆ แต่ปัจจุบันถูกมองว่าโบราณบ้าง ดูน่าอึดอัด ดูแมนไป ดูใส่ยากบ้างหละ กลายเป็นถูกมองด้วยภาพลบเสียมาก และไม่มีใครสนใจอีกต่อไป
แต่ในช่วงหลังมานี้ ด้วยความพยายามของสมาคมฟุนโดชิญี่ปุ่นที่เสนอเสน่ห์และให้ความรู้เกี่ยวกับฟุนโดชิอย่างต่อเนื่อง ทำให้ฟุนโดชิเป็นที่รู้จักมากขึ้นในกลุ่มคนรุ่นใหม่และชาวต่างชาติ
นอกจากนั้นยังมีชื่อในเรื่องสวมใส่สบายและการเป็นชุดชั้นในที่ดีต่อสุขภาพ
SHAREFUN® ชาเระฟุน เป็นแบรนด์สินค้าที่เกิดขึ้นโดยหัวหน้าสมาคมฟุนโดชิญี่ปุ่น คุณนาคากาวะ เคจิ
SHAREFUN มาจากคำ 2 คำคือ Oshare (สวยเท่ห์) และ Fundoshi (ผ้าฟุนโดชิ) และแฝงความหมาย share fun แบ่งปันเรื่องของฟุนโดชิให้ทั่วโลกรู้ด้วย
SHAREFUN® ไม่ใช้ยางยืด จึงไม่มีการรัดบริเวณเอวและขาหนีบ ทำให้เลือดไหลเวียนได้ดี ถ้าใส่ตอนนอน ก็ช่วยเรื่องอาการหนาวสั่นและอาการตัวบวม
การรระบายอากาศที่ดีลดอาการผดผื่น อับชื้น คันในร่มผ้า และผิวคล้ำดำจากชุดชั้นใน ทำให้หลายคนหันมาใส่ฟุนโดชิตอนนอนกันมากขึ้น
ขอแนะนำสำหรับบุคคลต่อไปนี้
- มีอาการหนาวสั่น ตัวบวม คัน ผดผื่นในร่มผ้า
- อยากนอนสบายๆ
- งานยุ่ง ไม่ค่อยมีเวลานอน
- อยากผ่อนคลายทั้งกายและใจ
การผลิต SHAREFUN® ใช้ผ้าที่ผลิตในประเทศทั้งหมด และตัดเย็บด้วยมือที่จังหวัดฟุกุชิมะ ทั้งหมดนี้นอกจากเพื่อคุณภาพของสินค้า อีกเหตุผลคือการร่วมมือกับโรงงานที่ได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวในภูมิภาคโทโฮคุ เพื่อเป็นการช่วยเหลือฟื้นฟูเศรษฐกิจให้กับพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบไปด้วย
วัสดุที่ SHAREFUN® ใช้คือลินิน ย้อมขึ้นเป็นพิเศษที่จังหวัดวากายามะ ยิ่งซักยิ่งนุ่มสบายผิว และยังแห้งเร็ว ซึมซับน้ำได้ดี มีประสิทธิภาพป้องกันแบคทีเรียและกลิ่นตามธรรมชาติ เป็นวัสดุที่เหมาะจะใช้เป็นชุดชั้นในมาก
ถือเป็นการออกแบบที่พลิกภาพลักษณ์ของฟุนโดชิให้ดูทันสมัยขึ้นมาเลยครับ
ช่วงหลังฟุนโดชิสำหรับผู้หญิงก็ขายดีเช่นกัน ผู้ใช้หลายคนที่ใช้แล้วบอกว่าอาการหนาวสั่นและตัวบวมหาย ไม่ก็ใช้แล้วช่วยเรื่องประจำเดือนมาไม่ปกติด้วย
ฟุนโดชิ ชุดชั้นในแบบดั้งเดิมที่เต็มไปด้วยภูมิปัญญาของชาวญี่ปุ่น ไม่แค่ผู้ชายเท่านั้น ผู้หญิงก็ใส่ได้ ลองหาซื้อมาใส่กันดูได้ครับ
นอกจากร้านค้าออนไลน์ ก็สามารถหาซื้อได้ที่ร้าน Desk my Style ชั้น 4 ห้างสรรพสินค้า Odakyu Shinjuku หรือแผนกเสื้อผ้าชาย ชั้น 5 ห้างสรรพสินค้า Matsuzakaya สาขาอุเอโนะ
ผู้เขียนบทความเดิม : Keisuke Yamada
* บทความนี้เป็นการนำบทความที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2016 มาเรียบเรียงใหม่ในปี 2018
Written by
นี่คือบัญชีของกองบรรณาธิการ MATCHA เราจะเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นประโยชน์เกี่ยวกับประเทศญี่ปุ่นที่นักท่องเที่ยวอยากรู้ รวมถึงเสน่ห์ที่ซ่อนอยู่ของญี่ปุ่นที่ยังไม่มีใครรู้จัก