จากสถานีนาโกย่า ประมาณ 20 นาที! ทัวร์ชมวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์การหมักดองของญี่ปุ่นในเมืองกิฟุ

จากสถานีนาโกย่า นั่งรถไฟประมาณ 20 นาที ครั้งนี้เรามาถึง กิฟุ สถานที่ซึ่งไม่อาจมองข้ามได้เมื่อพูดถึงวัฒนธรรมอาหารหมักดอง เราจะขอแนะนำโปรแกรมการท่องเที่ยว 2 วัน 1 คืน ซึ่งรวมไว้ด้วยสถานที่ต่างๆ ที่คุณจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับอาหารหมักดองและประวัติศาสตร์ของเมืองกิฟุ โดยสามารถเดินทางได้อย่างสะดวกสบายด้วยระบบขนส่งสาธารณะ
- สารบัญ
- ทักทายกับ “รูปปั้นโนบุนางะสีทอง” อันโด่งดังที่สถานีกิฟุ
- ออกเดินทางค้นหาสาเกที่คุณชื่นชอบได้ที่โรงผลิตสาเกนิฮงอิซูมิ
- อิ่มอร่อยกับมื้อกลางวันที่ “ร้านอาหารธรรมชาติ คาริเทะ” ที่อัดแน่นไปด้วยอาหารหมักดองรสเลิศ
- ขึ้นสู่ยอดเขาในเวลาเพียง 4 นาที! เพลิดเพลินกับทัศนียภาพอันงดงามจากกระเช้าลอยฟ้าคินคะซัน
- สัมผัสทิวทัศน์ที่ โอดะ โนบุนางะ เคยเห็นได้ในปัจจุบัน! ลองจินตนาการถึงประวัติศาสตร์ที่เขาได้ครอบครองแผ่นดิน ณ ปราสาทกิฟุแห่งนี้
- สามพระใหญ่ของญี่ปุ่นอยู่ที่นี่! ลองไปสักการะต่อหน้าพระพักตร์อันสงบและอ่อนโยนของพระใหญ่แห่งกิฟุกัน
- เลือกซื้อของที่ระลึกสุดยูนีคได้ที่ “ห้างนางาระคาวะ” ที่อบอุ่นไปด้วยงานศิลปะของช่างฝีมือริมแม่น้ำนางาระ
- ลิ้มรสชาติอาหารหมักดองรสเลิศของซูชิหมักที่ร้าน “คาวาระมาจิ อิซึมิยะ”
- ค่ำคืนในกิฟุ นึกย้อนถึงการเดินทางอันอบอุ่นที่ “ออนเซ็นนางาระคาวะ” และย่านเมืองเก่าคาวาระมาจิ
- พบกับนกกาน้ำตัวจริง! มาที่ “พิพิธภัณฑ์นางาระคาวะอุไค” เพื่อเรียนรู้ประวัติศาสตร์การจับปลาด้วยนกกาน้ำและ แม่น้ำนางาระให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
- สรุป
ทักทายกับ “รูปปั้นโนบุนางะสีทอง” อันโด่งดังที่สถานีกิฟุ

เมื่อมาถึงสถานี JR กิฟุ เราจะได้พบกับการต้อนรับจากรูปปั้นทองคำของ โอดะ โนบุนางะ เป็นสิ่งแรก (※) รูปปั้นของ โอดะ โนบุนางะ บุคคลสำคัญทางประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่นที่มีความเกี่ยวข้องกับเมืองกิฟุตั้งอยู่ที่ลานหน้าสถานี JR กิฟุ ประตูทางออกด้านเหนือ
โอดะ โนบุนางะ มีสายสัมพันธ์อันลึกซึ้งกับเมืองกิฟุ เขาเป็นผู้ตั้งชื่อเมืองแห่งนี้ว่า กิฟุ จากนั้นได้ย้ายฐานทัพไปที่ปราสาทกิฟุ และเริ่มการรวมญี่ปุ่นเป็นหนึ่งพร้อมทั้งดำเนินนโยบายตลาดเสรี ซึ่งทำให้ชีวิตในเมืองกิฟุเจริญรุ่งเรือง
รูปปั้นทองคำของ โอดะ โนบุนางะ นี้สร้างขึ้นในปี 2009 จากการบริจาคของประชาชนเพื่อรำลึกถึงวันครบรอบ 120 ปีของการก่อตั้งเมืองกิฟุ และได้รับการยกย่องให้เป็นสัญลักษณ์ของสถานีกิฟุ ซึ่งยังสามารถมองเห็นรูปปั้นที่โดดเด่นนี้ได้จากสะพานทางเดินของสถานีอีกด้วย ทำให้ที่นี่เหมาะที่สุดสำหรับการถ่ายภาพที่มีเอกลักษณ์ "ทองคำ x ซามูไรญี่ปุ่น"
ที่ลานหน้าประตูทางออกด้านเหนือของสถานี JR กิฟุมักมีการจัดงานต่างๆ และมีร้านค้าต่างๆ มากมาย เช่น ร้านขายสาเกและเบียร์คราฟต์
* โอดะ โนบุนางะ (ค.ศ. 1534-1582) เป็นผู้บัญชาการทหารในยุคเซงโกกุของญี่ปุ่น และเป็นผู้นำที่มีความคิดริเริ่มในการรวมประเทศเป็นหนึ่ง เขานำเสนอยุทธวิธีที่ใช้อาวุธปืนและนำแนวคิดทางเศรษฐกิจอย่างตลาดเสรีมาปรับใช้ ซึ่งได้สร้างผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น การปฏิรูปที่กล้าหาญและบุคลิกภาพแบบเผด็จการของโนบุนางะยังคงดึงดูดใจผู้คนจำนวนมากจนถึงทุกวันนี้ และทำให้เขากลายเป็นบุคคลที่มีความสำคัญในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น
ออกเดินทางค้นหาสาเกที่คุณชื่นชอบได้ที่โรงผลิตสาเกนิฮงอิซูมิ

ในเดือนธันวาคม 2024 “การผลิตสาเกแบบดั้งเดิม” ของญี่ปุ่นได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของยูเนสโก ซึ่งหมายถึงกระบวนการผลิตสาเกแบบดั้งเดิม ได้แก่ การนึ่งข้าวหรือข้าวบาร์เลย์ การทำโคจิ และการหมักโมโรมิ วิธีการหมักสาเกแบบดั้งเดิมนี้ยังคงสืบทอดต่อมาที่โรงผลิตสาเก นิฮงอิซูมิ ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 1877
โรงผลิตสาเกนิฮงอิซูมิ ซึ่งอยู่ห่างจากสถานี JR กิฟุ เพียง 1 นาทีโดยการเดินเท้า เคยถูกไฟไหม้เสียหายทั้งหมดในปี 1945 จากเหตุการณ์การโจมตีทางอากาศ และมีความเสี่ยงที่จะต้องปิดกิจการลง แต่ประธานบริษัทในขณะนั้นมีความรู้สึกว่า “หากเราไม่ใช้แหล่งน้ำใต้ดินจากแม่น้ำนางาระซึ่งเป็นน้ำอ่อนพิเศษคุณภาพดีและมีปริมาณมาก เราจะไม่สามารถผลิตสาเกญี่ปุ่น แบบดั้งเเดิมได้อีกต่อไป!” ดังนั้นในปี 1948 พวกเขาจึงสร้างอาคารใหม่ภายในสถานที่เดียวกันนี้ โดยขุดบ่อน้ำลึกลงไปใต้ดิน 100 เมตร และยังคงผลิตสาเกโดยใช้น้ำใต้ดินที่อุณหภูมิ 10 องศาตลอดทั้งปี

โดยปกติแล้วจะวางจำหน่ายสาเกที่ผลิตใหม่ตั้งแต่เดือนธันวาคมถึงเดือนมีนาคม แต่ที่โรงผลิตสาเกนิฮงอิซูมิมีการจำหน่ายสาเกที่ผลิตเสร็จใหม่ตลอดทั้งปี เคล็ดลับอยู่ที่การต้มสาเกในใต้ดินซึ่งมีอุณหภูมิคงที่ตลอดปีโดยปกติแล้วจะวางจำหน่ายสาเกที่ผลิตใหม่ตั้งแต่เดือนธันวาคมถึงเดือนมีนาคม แต่ที่โรงผลิตสาเกนิฮงอิซูมิมีการจำหน่ายสาเกที่ผลิตเสร็จใหม่ตลอดทั้งปี เคล็ดลับอยู่ที่การต้มสาเกในใต้ดินซึ่งมีอุณหภูมิคงที่ตลอดปี

“การผลิตสาเกในสภาพแวดล้อมที่เย็นสบาย ทำให้ไม่จำเป็นต้องผลิตในปริมาณมากในคราวเดียว แต่สามารถผลิตสาเกในปริมาณน้อยได้ และด้วยระบบการหมุนเวียนสินค้าใหม่อยู่เสมอซึ่งช่วยให้สามารถเสิร์ฟสาเกสดใหม่ได้ตลอดเวลา ไม่ว่าคุณจะมาที่ร้านของเราในช่วงใดของปี คุณก็สามารถดื่มสาเกที่เพิ่งนำออกจากโรงหมักได้” ทาเคยามะ โชเฮ กรรมการผู้จัดการกล่าว เราผลิตและจำหน่ายสาเกมากกว่า 20 ชนิด ตั้งแต่สาเกที่สามารถเก็บรักษาได้ที่อุณหภูมิห้องไปจนถึงสาเกดิบที่ไม่ผ่านการพาสเจอร์ไรส์ที่ต้องแช่เย็น

นอกจากนี้ คุณยังสามารถเยี่ยมชมโรงผลิตสาเก (มีค่าธรรมเนียม) และชิมสาเกได้โดยต้องทำการจองล่วงหน้า คุณจะได้สัมผัสประสบการณ์งานฝีมือที่แท้จริงในกระบวนการหมักสาเกและการผลิตโคจิโดยใช้ “ถังไม้” แบบดั้งเดิมที่เน้นคุณภาพมากกว่าเครื่องจักรที่มีประสิทธิภาพ

โรงผลิตสาเกนิฮงอิซูมิตั้งอยู่ในวงเวียนฝั่งตรงข้ามสถานีที่มีรูปปั้นโนบุนางะสีทอง เนื่องจากเป็นทำเลที่สะดวกโดยใช้เวลาเดินเพียง 1 นาทีจากสถานี จึงเป็นสถานที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของสาเกญี่ปุ่นและความพิถีพิถันของโรงผลิตสาเกนิฮงอิซูมิ
อิ่มอร่อยกับมื้อกลางวันที่ “ร้านอาหารธรรมชาติ คาริเทะ” ที่อัดแน่นไปด้วยอาหารหมักดองรสเลิศ

หลังจากได้สัมผัสประสบการณ์สาเกญี่ปุ่นแล้ว ทำไมไม่ลองมาลิ้มรสการผสมผสานวัตถุดิบของกิฟุกับวัฒนธรรมการหมักดองดูล่ะ
“ร้านอาหารธรรมชาติ คาริเทะ” เป็นร้านอาหารบรรยากาศสบายๆ ที่เสิร์ฟเมนูผักและเนื้อสัตว์ปลอดสารพิษจากเมืองกิฟุเป็นหลัก นอกจากวัตถุดิบแล้ว ร้านยังให้ความสำคัญกับเครื่องปรุงรสที่ทำจากการหมักดองวัตถุดิบของเมืองกิฟุ เช่น น้ำส้มสายชูหมักจากโรงผลิตสาเกอุชิโบริในคาโมะ ซอสถั่วเหลืองจากโรงผลิตสาเกมารุโกะในเอนะ ไปจนถึงมิรินและสาเกปรุงอาหารจากโรงผลิตสาเกฮาคุเซ็นในคาโมะ

“ในเมืองกิฟุซึ่งไม่มีทะเล ตั้งแต่ในอดีตผู้คนมักเก็บตุนวัตถุดิบไว้เพื่อให้ใช้ชีวิตอยู่ได้ในช่วงฤดูหนาว และใช้กรรมวิธีหมักดองอย่างแพร่หลาย ปัจจุบันนี้ เนื่องจากมีตู้เย็น อาหารจึงสามารถเก็บไว้ได้นานโดยไม่ต้องหมักดอง แต่เราอยากทำให้ทุกคนรู้ว่า อาหารหมักดองอร่อยแค่ไหน” เชฟนากาเนะ มาซากิ กล่าว
ในตอนแรกเชฟพยายามเลียนแบบการทำอาหารหมักดองตามสิ่งที่เขาเห็น แต่ตอนนี้เขาจริงจังกับอาหารหมักดองมากถึงขนาดที่ทำโคจิของตัวเอง

เมนูจะเปลี่ยนแปลงไปตามช่วงเวลา แต่ในวันนี้เราได้ลิ้มลองซุปครีมที่ทำจากข้าวโคจิ และเนื้อกวางย่างที่เสิร์ฟพร้อมขิงหมัก “Ginger Bug”

ทันทีที่ลิ้มรสน้ำซุป กลิ่นหอมเฉพาะของโคจิจะลอยอวลออกมาจากจมูก การกรองอย่างพิถีพิถันและรสอูมามิของข้าวโคจิช่วยเพิ่มความหวานของคิคุอิโมะ (แก่นตะวัน) ซุปมีความเนียนและรสชาติกลมกล่อม

Ginger Bug ที่ทำจากขิงหมัก ช่วยให้เนื้อกวางมีน้ำฉ่ำมากขึ้น กลิ่นหอมอ่อนๆ ของขิงจะช่วยเพิ่มรสสัมผัสในปากให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นทุกครั้งที่กัดเนื้อกวาง
คุณสามารถเพลิดเพลินกับอาหารที่รังสรรค์จากวัตถุดิบตามฤดูกาลของเมืองกิฟุในบรรยากาศเป็นกันเอง เพื่อเปิดประสบการณ์มื้อกลางวันที่ไม่เหมือนใครได้ที่นี่

เดินทางมาที่ร้านได้อย่างสะดวกสบายด้วยการเดินและโดยสารรถบัส 20 นาทีจากสถานีกิฟุโดยประมาณ มีบริการอาหารกลางวันเฉพาะวันศุกร์และวันเสาร์ และบริการอาหารเย็นตั้งแต่วันอังคารถึงวันเสาร์
ขึ้นสู่ยอดเขาในเวลาเพียง 4 นาที! เพลิดเพลินกับทัศนียภาพอันงดงามจากกระเช้าลอยฟ้าคินคะซัน

เดิน 10 นาทีจาก "ร้านอาหารธรรมชาติ คาริเทะ " การขึ้นกระเช้าลอยฟ้าคินคะซันในเมืองกิฟุคือวิธีที่เหมาะที่สุดสำหรับการย่อยอาหาร

กระเช้าลอยฟ้าเชื่อมต่อระหว่างสถานีเชิงเขาที่สวนสาธารณะกิฟุกับสถานียอดเขาคินคะซัน คุณสามารถเพลิดเพลินกับการขึ้นกระเช้าลอยฟ้าเป็นเวลา 4 นาที พร้อมรับฟังการบรรยายสดจากไกด์
ผู้ใหญ่สามารถโดยสารไป-กลับในราคา 1,300 เยน และเด็กอายุ 4-12 ปีสามารถโดยสาร ไป-กลับในราคา 650 เยน โดยปกติกระเช้าลอยฟ้าจะให้บริการเดินรถทุกๆ 15 นาที แต่ในช่วงที่มีคนหนาแน่นจะให้บริการเดินรถทุกๆ 10 นาที คุณจึงสามารถโดยสารได้อย่างสะดวกในทุกช่วงเวลา

กระเช้าลอยฟ้าซึ่งติดกระจกทุกด้านนี้จะขึ้นไปยังยอดเขาที่ความสูง 255 เมตรอย่างรวดเร็ว และถึงระดับความสูงที่สามารถชมวิวเมืองกิฟุได้ในทันที ภาพของต้นไม้ที่เขียวชอุ่มด้านล่างและสายน้ำใสของแม่น้ำนางาระที่ค่อยๆ ปรากฏให้เห็นนั้นเป็นภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจอย่างแท้จริง

บริเวณสถานีเชิงเขายังมีร้านค้าที่คุณสามารถซื้อสาเกท้องถิ่น สินค้าพิเศษที่มีเฉพาะในกิฟุ และของที่ระลึกท้องถิ่น สินค้าที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือ "ถ้วยสาเกโนบุนางะ" ที่มีภาพซามูไรญี่ปุ่น

อย่าลืมแวะชมสินค้าที่หาซื้อได้ที่นี่เท่านั้น เช่น ถ้วยสาเก แม่เหล็กปราสาทกิฟุ และของที่ระลึกจาก “หมู่บ้านกระรอกบนภูเขาคินคะ” ที่สถานีบนยอดเขา
สัมผัสทิวทัศน์ที่ โอดะ โนบุนางะ เคยเห็นได้ในปัจจุบัน! ลองจินตนาการถึงประวัติศาสตร์ที่เขาได้ครอบครองแผ่นดิน ณ ปราสาทกิฟุแห่งนี้

ใช้เวลาเดินทางประมาณ 10 นาทีจากสถานีบนยอดเขาไปยังปราสาทกิฟุ ตัวปราสาทกิฟุสร้างขึ้นบนยอดเขาคินคะซึ่งสามารถมองเห็นทิวทัศน์ของเมืองกิฟุได้ทั้งหมด
เส้นทางไปยังตัวปราสาทกิฟุมีทั้งบันไดและทางลาดชันที่ต่อเนื่องกันขนาดที่ผู้ใหญ่เองก็ยังเหนื่อยหรือหอบได้ ขนาดของบันไดและก้อนหินที่ต่างกันทำให้หลายคนรู้สึกเหนื่อยล้าจากการเดิน

อย่างไรก็ตาม กล่าวกันว่านี่เป็น "กลยุทธ์" ที่ผู้ครองปราสาทคิดขึ้นเพื่อทำให้ศัตรูเหนื่อยล้าและไปถึงปราสาทได้ยาก นอกจากนี้ยังมีสิ่งที่น่าสนใจอื่นๆ อีกมากมาย เช่น ขนาดและวิธีการวางก้อนหินที่แตกต่างกันไปตามยุคสมัย รวมถึงการเขียนแนะนำผู้ครองปราสาทในแต่ละยุคตลอดเส้นทาง
คุณสามารถเข้าไปในตัวปราสาทกิฟุได้ โดยมีค่าเข้าชม 200 เยนสำหรับผู้ใหญ่ และ 100 เยนสำหรับเด็ก

ชั้น 1 ถึงชั้น 3 จัดเป็นพิพิธภัณฑ์ที่บันทึกประวัติศาสตร์ของปราสาทกิฟุและโนบุนางะ ช่วยให้คุณได้เรียนรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ได้อย่างสนุกสนาน ปราสาทกิฟุถูกสร้างขึ้นโดยมีตัวปราสาทอยู่บนยอดเขา และส่วนที่พักของเจ้าเมืองอยู่ที่เชิงเขา โดยภูเขาทั้งหมดทำหน้าที่เป็นป้อมปราการธรรมชาติ จึงอาจกล่าวได้ว่าภูเขาคินคะคือปราสาทกิฟุนั่นเอง

ชั้นที่ 4 ซึ่งเป็นชั้นบนสุดคือจุดชมวิวที่ทุกคนต่างรอคอย พื้นที่พิเศษด้วยทัศนียภาพแบบ 360 องศาที่สามารถมองเห็นวิวของเมืองกิฟุในมุมมองที่หาดูไม่ได้ง่ายๆ ณ สถานที่ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเจริญรุ่งเรืองในฐานะเมืองปราสาท การได้จินตนาการถึงความรู้สึกของโอดะ โนบุนางะ ผู้ใฝ่ฝันที่จะรวมประเทศให้เป็นหนึ่งและกลายเป็นเจ้าเมืองกิฟุในเวลาต่อมาก็เป็นเรื่องที่น่าสนุกไม่น้อยเลย
นอกจากนี้ ยังมีการเปิดไฟส่องสว่างตัวปราสาทในเวลากลางคืน เกิดเป็นบรรยากาศสวยงามราวกับโลกแห่งจินตนาการ โดยในช่วงเวลาการจัดงาน "ชมทิวทัศน์กลางคืนแบบพาโนรามา ณ ปราสาทกิฟุ" จะขยายเวลาให้บริการกระเช้าลอยฟ้า คุณจึงมีโอกาสได้ชมทิวทัศน์กลางคืนอันระยิบระยับของปราสาทกิฟุจากตัวปราสาทได้ การชมปราสาทในยามค่ำคืนอย่างใกล้ชิดเช่นนี้เป็นประสบการณ์ที่หาไม่ได้ง่ายๆ เลย ต้องลองสัมผัสดูสักครั้ง
สามพระใหญ่ของญี่ปุ่นอยู่ที่นี่! ลองไปสักการะต่อหน้าพระพักตร์อันสงบและอ่อนโยนของพระใหญ่แห่งกิฟุกัน

เดินจากจุดลงจอดกระเช้าลอยฟ้าประมาณ 10 นาที จะพบกับวัดโชโบจิที่กลมกลืนไปกับทัศนียภาพของเมืองกิฟุ ภายในวัดมีพระใหญ่กิฟุซึ่งเป็นหนึ่งในสามพระพุทธรูปที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น
พระใหญ่กิฟุถูกสร้างขึ้นเมื่อปี 1832 พระอาจารย์ โคบายาชิ ทาคามิจิ กล่าวว่า พระพุทธรูปองค์นี้ถูกสร้างขึ้นตามแบบพระพุทธรูปองค์ใหญ่ในเกียวโตและนาราที่มีอยู่ในสมัยนั้น

“เมื่อคุณนั่งตรงนี้ คุณจะมองเห็นพระเนตรของพระพุทธรูปใหญ่ได้ พระหัตถ์ขวาของพระพุทธรูปอยู่ในท่าแสดงธรรม บางคนเมื่อได้นั่งตรงหน้าองค์พระใหญ่ที่อยู่ในท่าแสดงธรรมนี้ ก็ถึงกับหลั่งน้ำตาเมื่อกลับออกไป”

ทุกคนสามารถนั่งที่เก้าอี้ที่อยู่หน้าองค์พระใหญ่ได้ เมื่อมองขึ้นจากด้านล่างแล้ว คุณจะรู้สึกราวกับว่ากำลังถูกมองโดยองค์พระใหญ่ เกิดเป็นความรู้สึกที่บริสุทธิ์และจริงใจอย่างเปี่ยมล้น

โดยรอบองค์พระใหญ่มีรูปปั้นพระอรหันต์ซึ่งเป็นพระสาวกของพระองค์
กล่าวกันว่าคนกลุ่มนี้เป็นผู้เผยแพร่คำสอนของพระพุทธเจ้าโดยนำมาถ่ายทอดเป็นพระสูตร วัดโชโบจิซึ่งมีรูปปั้นพระอรหันต์และพระพุทธรูปองค์ใหญ่เฝ้ามองอยู่ ถือเป็นสถานที่ลับซึ่งคุณสามารถเพลิดเพลินไปกับช่วงเวลาอันเงียบสงบได้ไม่ว่าจะมาเยี่ยมชมเมื่อใด การได้ใช้เวลาค่อยๆ พิจารณาตัวเองตรงหน้าองค์พระใหญ่จะช่วยให้คุณรู้สึกสงบใจขึ้น
อีกหนึ่งคุณลักษณะที่น่าสนใจคือสถาปัตยกรรมของวัดโชโฮจิซึ่งสร้างขึ้นให้เท่ากับองค์พระใหญ่ที่มีความสูงถึง 13.63 เมตร เป็นจุดที่แนะนำสำหรับผู้ที่ต้องการสนทนากับองค์พระใหญ่และใช้เวลาพักผ่อนอย่างเงียบสงบ
เลือกซื้อของที่ระลึกสุดยูนีคได้ที่ “ห้างนางาระคาวะ” ที่อบอุ่นไปด้วยงานศิลปะของช่างฝีมือริมแม่น้ำนางาระ

ระหว่างทางจากองค์พระใหญ่กิฟุไปยังที่พัก หากต้องการหาของฝากกลับบ้าน ห้างนางาระคือสถานที่ที่เหมาะที่สุด

ร้านนี้ไม่ได้จำหน่าย “ของฝากทั่วไปของกิฟุ” แต่เป็นของที่ระลึกเกี่ยวกับ “แม่น้ำนางาระ” ซึ่งเป็นที่มาของชื่อร้าน ภายในร้านมีสินค้าท้องถิ่นขึ้นชื่อที่ได้รับการพัฒนาและเติบโตมาพร้อมๆ กับแม่น้ำนางาระ จากเมืองกิฟุ เมืองมิโนะ ไปจนถึงเมืองคุวานะในจังหวัดมิเอะ นอกจากนี้ ยังมีการจัดนิทรรศการพิเศษตามฤดูกาลในธีมต่างๆ เช่น “นิทรรศการเหล่าปลาอายุ” และ “นิทรรศการถ้วยสาเก”

“เดิมทีเป็นงานนิทรรศการน้ำพุร้อนแม่น้ำนางาระ หรือเรียกสั้นๆ ว่า นางาระคาวะ ออนปาคุ ซึ่งเป็นการเผยแพร่เสน่ห์ของน้ำพุร้อนแม่น้ำนางาระ และด้วยความสัมพันธ์ที่เรามีกับช่างฝีมือในสมัยนั้น เราจึงไม่ต้องกังวลกับการหาสินค้ามาจำหน่ายในห้างนางาระคาวะ สินค้าทุกชิ้นแสดงให้เห็นถึงทักษะของช่างฝีมือ คุณประโยชน์จากแม่น้ำนางาระ และเรื่องราวอันเป็นเอกลักษณ์” คาวากุจิ อิคุมิ ผู้จัดการร้านกล่าวด้วยความรู้สึกซาบซึ้ง

คุณคาวากุจิเล่าเรื่องราวของสินค้าที่วางขายเหล่านั้นด้วยความหลงใหล “เราพิถีพิถันในการทำสาเกนี้จากผลไม้ของกิฟุ” และ “นี่คือมิโซะที่ใช้ทำซุปมิโซะสำหรับอาหารกลางวันของโรงเรียนประถมในเมืองกิฟุ” อธิบายเป็นอย่างดีจนเราตัดสินใจไม่ถูกเลยทีเดียว

สินค้าที่มีอยู่หลากหลายทำให้ร้านดูมีชีวิตชีวา ซึ่งมีตั้งแต่สินค้าหมักดอง เช่น มิโซะและซอสถั่วเหลือง ไซเดอร์นางาระและสาเกท้องถิ่น ไปจนถึงของตกแต่งจากกระดาษญี่ปุ่นมิโนะที่โดดเด่นด้วยทักษะของช่างฝีมือ หากโชคดี คุณอาจมีโอกาสได้เห็นการสาธิตการขายสินค้าและบรรจุขวดจากผู้ผลิตสินค้าและปรมาจารย์ด้านการหมักสาเก

ห้างนางาระเปิดให้บริการตั้งแต่เวลา 10.00-18.00 น. ยกเว้นวันอังคารและวันหยุดปีใหม่ ลองแวะชมประวัติศาสตร์ของแม่น้ำนางาระและสินค้าของที่ระลึกต่างๆ ดูสิ
ลิ้มรสชาติอาหารหมักดองรสเลิศของซูชิหมักที่ร้าน “คาวาระมาจิ อิซึมิยะ”

หลังจากเพลิดเพลินกับการช้อปปิ้งที่ห้างนางาระคาวะแล้ว เราก็ไปต่อกันที่ “คาวาระมาจิ อิซึมิยะ” เพื่อลิ้มรสอาหารหมักดองรสเลิศที่กิฟุภูมิใจ “คาวาระมาจิ อิซึมิยะ” ก่อตั้งขึ้นในปี 1887 และปัจจุบันบริหารงานโดยคุณอิซึมิ เซนชิจิ เจ้าของรุ่นที่ 5
เมนูพิเศษของที่นี่คือ “นาเระซูชิ” จากการหมักปลาอายุ ปลาอายุจะถูกดองเกลือในหกเดือนแรก และนำไปหมักในข้าวอีกหกเดือนสำหรับทำนาเระซูชิ
แม้ว่าขั้นตอนจะดูไม่ซับซ้อน แต่การทำซูชิปลาอายุต้องอาศัยทักษะฝีมือขั้นสูง ตั้งแต่การควบคุมอุณหภูมิไปจนถึงการปรับใช้เทคนิคเพื่อไม่ให้ปลาอายุสูญเสียเนื้อสัมผัส เนื่องจากใช้การหมักด้วยกรดแลคติกจากจุลินทรีย์เป็นหลัก รสชาติจึงอาจเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพอากาศของปีนั้นๆ

ครั้งนี้เราได้ลิ้มลอง 6 เมนูที่เปิดประสบการณ์รสชาติของปลาอายุและนาเระซูชิในหลากหลายรูปแบบ เมนูแรกที่เราชิมคือ ครีมขาวของปลาอายุ ซึ่งมีเนื้อสัมผัสเหนียวหนึบในปากพร้อมกลิ่มหอมสดชื่นของซาวครีม ทำให้รับประทานง่าย กลิ่นหอมอ่อนๆ ของข้าวเปรี้ยวในนาเระซูชิทำให้เราเผลอเอื้อมมือไปหยิบถ้วยสาเกท้องถิ่นโดยไม่รู้ตัวเลยทีเดียว
เมนูที่เราตั้งตารอคอยกันคือ นาเระซูชิปลาอายุ ซึ่งว่ากันว่าเป็นอาหารหมักในตำนาน โดยในเมนูนี้สามารถลิ้มลองและเปรียบเทียบรสชาติของปลาอายุที่มีไข่และปลาอายุตามธรรมชาติได้พร้อมกันทั้ง 2 แบบ ซึ่งถือเป็นจุดเด่นที่น่าตื่นเต้นสำหรับผู้ที่ชื่นชอบอาหารจริงๆ

เมื่อได้ลิ้มรสอย่างช้าๆ จะรู้สึกถึงความพิเศษของข้าวที่คล้ายกับครีมชีสกับชิ้นปลาอายุที่ละลายเข้ากัน รสอุมามิและความเปรี้ยวจากปลาอายุทำให้หยุดรับประทานไม่ได้
โดยเฉพาะนาเระซูชิที่ทำจากปลาอายุมีไข่นั้นถือเป็นของหายากมาก เนื่องจากการไม่เอาเครื่องในออกจะเพิ่มความเสี่ยงในการทำพลาดได้ แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ยังคงมุ่งมั่นแสวงหารสชาติความอร่อยจากเครื่องใน ทดลองทำและปรับปรุงขั้นตอนจนสามารถคิดค้นวิธีการเตรียมอาหารนี้ได้

นอกจากนี้ยังมีเมนูอื่นๆ อีก เช่น “ตุ๋นเนื้อวัวกับนาเระซูชิ” ซึ่งใช้ข้าวจากการทำนาเระซูชิปลาอายุ หรือ “ปลาอายุย่างเครื่องใน” ซึ่งทำจากเครื่องในปลาอายุ (เครื่องในปลาหมักเกลือ) และปรุงรสด้วยเหล้ามิรินสามปีจากโรงผลิตสาเกฮาคุเซ็น ไปจนถึง “ราเมงปลาอายุ” ทำให้คุณได้เพลิดเพลินไปกับวัฒนธรรมของปลาอายุและนาเระซูชิอย่างเต็มที่

หากต้องการมาเยี่ยมชม ควรติดต่อสอบถามและยืนยันเมนูล่วงหน้าเพื่อให้การเข้าใช้บริการเป็นไปอย่างราบรื่น เราขอแนะนำการสั่งเมนูแบบคอร์สซึ่งจะได้เพลิดเพลินกับเมนูปลาอายุหลากหลายชนิด เนื่องจากทางร้านจะให้บริการตามลำดับการจอง คุณจึงควรตรวจสอบและยืนยันการจองสถานที่ล่วงหน้า หากคุณวางแผนจะเดินทางมากิฟุ
ค่ำคืนในกิฟุ นึกย้อนถึงการเดินทางอันอบอุ่นที่ “ออนเซ็นนางาระคาวะ” และย่านเมืองเก่าคาวาระมาจิ

เราขอแนะนำที่พักริมแม่น้ำนางาระที่สามารถลงแช่ออนเซ็นนางาระคาวะได้ ซึ่งมีทั้งโรงแรมและเรียวกังขึ้นชื่อทั้งหมด 6 แห่งด้วยกัน สามารถเดินทางโดยรถยนต์จากสถานีกิฟุประมาณ 15 นาที

ว่ากันว่าออนเซ็นนางาระคาวะเปิดดำเนินการมานานกว่า 1,300 ปีแล้ว และมีลักษณะเด่นเป็นน้ำร้อนสีน้ำตาลแดงที่ให้ความรู้สึกเนียนลื่นเมื่อสัมผัสผิว ที่เมื่อได้แช่แล้วจะช่วยบรรเทาอาการปวดเส้นประสาทและกล้ามเนื้อ และฟื้นฟูความอ่อนล้า หลังจากที่คุณได้เดินและเรียนรู้สิ่งต่างๆ มามากมายในทริปนี้ ทำไมไม่ลองผ่อนคลายร่างกายด้วยการแช่ออนเซ็นดูล่ะ

นอกจากนี้ ริมฝั่งแม่น้ำนางาระยังมีทางเดินเท้ายาว 1.3 กม. ซึ่งคนในท้องถิ่นเรียกว่า "Promenade" คุณสามารถใช้เวลาพักผ่อนด้วยการเดินเล่นชมวิวภูเขาคินคะ หรือถ่ายรูปปราสาทกิฟุได้ และยังสามารถเดินต่อไปจนถึงถนนคาวาระมาจิที่มีรูปปั้นนักหาปลาอุโชและห้างนางาระคาวะ

ไม่น่าเชื่อว่าจะใช้เวลาเดินทางโดยรถไฟจากนาโกย่าเพียง 20 นาทีเท่านั้นเอง มาเพลิดเพลินกับทัศนียภาพที่ชวนให้หวนรำลึกถึงอดีตกันอย่างเต็มที่กันเถอะ
พบกับนกกาน้ำตัวจริง! มาที่ “พิพิธภัณฑ์นางาระคาวะอุไค” เพื่อเรียนรู้ประวัติศาสตร์การจับปลาด้วยนกกาน้ำและ แม่น้ำนางาระให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

ในวันสุดท้ายของการเดินทางที่กิฟุ เรามาปิดท้ายทริปนี้ด้วยการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ “การจับปลาด้วยนกกาน้ำ” ซึ่งมีความเกี่ยวพันอย่างลึกซึ้งกับวัฒนธรรมของแม่น้ำนางาระกันเถอะ
กล่าวกันว่าการจับปลาด้วยนกกาน้ำที่สืบทอดกันต่อมาในเมืองกิฟุนั้นเริ่มต้นขึ้นเมื่อกว่า 1,300 ปีที่แล้ว การจับปลาด้วยนกกาน้ำเป็นวิธีการประมงแบบดั้งเดิมที่ชาวประมงใช้นกกาน้ำจับปลา ลักษณะนิสัยที่จะคายปลาในคอออกมาตอนที่กำลังหนีและการมีความสามารถในการมองเห็นที่ดีเหล่านี้คือคุณสมบัติที่ได้รับการยอมรับมาแต่โบราณ เกิดเป็นการสืบทอดวิธีการประมงแบบดั้งเดิมร่วมกับมนุษย์มาจนถึงปัจจุบัน

การอยู่ร่วมกับนกกาน้ำและดูแลจนสามารถจับปลาได้เองเป็นงานของนักหาปลาที่เรียกว่า อุโช ซึ่งอุโชแห่งแม่น้ำนางาระเป็นเพียงกลุ่มเดียวในประเทศที่ได้รับตำแหน่งอุโชแห่งสำนักพระราชวัง และในแต่ละปีพวกเขาจะส่งมอบปลาอายุให้กับพระราชวังเป็นจำนวน 8 ครั้ง
ตำแหน่งนี้ทำให้การจับปลาด้วยนกกาน้ำแห่งแม่น้ำนางาระดูจะมีความพิเศษกว่าที่อื่นๆ ตั้งแต่วันที่ 11 พฤษภาคมถึง 15 ตุลาคมของทุกปี จะมีการจัดกิจกกรรมการจับปลาด้วยนกกาน้ำในเวลากลางคืน ทุกคนในชุมชนจะมารวมตัวกันเพื่ออนุรักษ์ประเพณีการจับปลาด้วยนกกาน้ำนี้

“พิพิธภัณฑ์นางาระคาวะอุไค” เป็นสถานที่ที่คุณจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์การจับปลาด้วยนกกาน้ำ เทคนิคการจับปลา และการดำรงชีวิตของนกกาน้ำอย่างละเอียดครบถ้วน สถานที่แห่งนี้เปิดให้บริการแม้ในช่วงที่ไม่ใช่ฤดูกาลจับปลาด้วยนกกาน้ำ

ในเลาจน์ชมวิว คุณสามารถผ่อนคลายและเพลิดเพลินไปกับทิวทัศน์อันงดงามของแม่น้ำนางาระ ภูเขาคินคะ และปราสาทกิฟุ

ในพื้นที่กลางแจ้งยังมีการเลี้ยงนกกาน้ำไว้ด้วย ซึ่งคุณจะได้เห็นดวงตาสีฟ้าใสและท่าทางน่ารักของมันอย่างใกล้ชิด

จุดเด่นของพิพิธภัณฑ์คือโรงภาพยนตร์สาธิต ซึ่งมีเรือผูกนกกาน้ำขนาดเท่าของจริงและจอภาพรูปม้วนกระดาษอธิบายเกี่ยวกับการจับปลาด้วยนกกาน้ำเป็นเวลาประมาณ 10 นาที เพื่อให้ทุกคนตั้งแต่เด็กไปจนถึงผู้ใหญ่ได้เรียนรู้เกี่ยวกับการจับปลาด้วยนกกาน้ำอย่างละเอียดหากคุณแจ้งให้แผนกต้อนรับทราบล่วงหน้า พวกเขาสามารถจัดเตรียมคำบรรยายภาษาอังกฤษ จีนตัวย่อ และจีนตัวเต็มได้

นอกจากนี้ ที่แผนกต้อนรับยังมีแผ่นพับภาษาเกาหลี อังกฤษ จีนตัวย่อ และจีนตัวเต็มให้บริการ

กล่าวกันว่านกกาน้ำที่มีความผูกพันกับชาวประมงอย่างแน่นแฟ้นจะมีอายุยืนยาวและมีสุขภาพแข็งแรงกว่านกกาน้ำที่ใช้ชีวิตในธรรมชาติถึงเกือบ 2 เท่า การได้เรียนรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์การจับปลาด้วยนกกาน้ำที่พิพิธภัณฑ์ก่อนไปชมการจับปลาด้วยนกกาน้ำจริงๆ อาจทำให้คุณได้รับประสบการณ์ในมุมมองที่ต่างไปจากเดิม
สรุป
โปรแกรมท่องเที่ยวที่แนะนำในครั้งนี้คือการทัวร์ชมสถานที่ท่องเที่ยวในเมืองกิฟุ ซึ่งคุณจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของการหมักดองของเมืองกิฟุในเชิงลึก เมืองกิฟุมีอาหารหมักดองแบบดั้งเดิม เช่น สาเกท้องถิ่นรสเลิศและโชยุที่ทำมาจากน้ำใต้ดินของแม่น้ำนางาระ ซูชิปลาอายุหมัก รวมถึงกิจกรรมชมการจับปลาด้วยนกกาน้ำซึ่งมีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 1,300 ปี คุณจึงสามารถสัมผัสประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่นได้อย่างง่ายดาย ต้องลองมาสัมผัสประสบการณ์ด้วยตัวเองสักครั้ง
นอกจากนี้ จังหวัดไอจิ ซึ่งอยู่ห่างจากกิฟุเพียง 20 นาทีจากการเดินทางโดยรถไฟก็เป็นสถานที่ซึ่งอุดมสมบูรณ์ไปด้วยวัฒนธรรมอาหารหมักดองเช่นกัน ลองวางแผนทริปไปชิมอาหารหมักดองในพื้นที่ชูบุเพื่อค้นพบเสน่ห์และประวัติศาสตร์ของการหมักดองที่ยังไม่รู้จักดีไหม?
อาหารหมักเป็นสิ่งสำคัญต่อความอร่อยของอาหารญี่ปุ่น เราจะมาแนะนำเสน่ห์ของอาหารหมักของญี่ปุ่น ซึ่งเป็นวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ที่พัฒนาขึ้นได้เนื่องมาจากสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ของเรา
นอกจากนี้ บทความอาจมีลิงก์โฆษณา โปรดพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจซื้อหรือจอง
หน้าเว็บไซต์นี้ใช้เครื่องมือแปลภาษาอัตโนมัติบางส่วน