แหล่ง Power Spot อันดับ 1 ของญี่ปุ่นในทตโตริ! ผ่อนคลายไปกับธรรมชาติและวิวสุดสวย

บริการนี้รวมโฆษณาที่ได้รับการสนับสนุน
article thumbnail image

ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่เต็มไปด้วยแหล่ง Power Spot (จุดรับพลัง) เกี่ยวกับลัทธิชินโตและพุทธศาสนามากมาย ทตโตริเป็นที่ตั้งของโบสถ์นะเกะอิเรโดแห่งวัดซันบุทสึจิ “สมบัติชาติที่อันตรายที่สุดในญี่ปุ่น” และศาลเจ้าโอกามิยามะที่มี “ทางเดินศาลเจ้าที่ยาวที่สุดในญี่ปุ่น”

วันที่ปรับปรุงล่าสุด :

ในจังหวัดทตโตริเต็มไปด้วยแหล่งพาวเวอร์สปอต (Power Spot) จุดรวมพลังที่ถ่ายทอดจากจิตวิญญาณแห่งลัทธิชินโตและพุทธศาสนาของญี่ปุ่นโบราณมาจนถึงยุคปัจจุบัน คนญี่ปุ่นเชื่อว่าเราจะสามารถรับพลังจากธรรมชาติ เทพ หรือเสริมดวงได้จากแหล่ง Power Spot

และสถานที่ที่ขึ้นชื่อมากเป็นพิเศษเลยก็คือ โบสถ์นะเกะอิเรโดแห่งวัดซันบุทสึจิ ภูเขามิโตะกุ ที่ตั้งอยู่ใกล้กับ เมืองคุราโยชิ ทางภาคกลางของจังหวัดทตโตริ และ ศาลเจ้าโอกามิยามะ โอะขุมิยะ ที่ตั้งอยู่บริเวณตีน ภูเขาไดเซ็น นั่นเอง

ในครั้งนี้เราจะมาแนะนำเสน่ห์ของแหล่ง Power Spot ทั้ง 2 แห่งในทตโตริกันค่ะ ^^

สารบัญ

1.โบสถ์นะเกะอิเรโดแห่งวัดซันบุทสึจิ ภูเขามิโตะกุ (Nageiredo Hall of Sanbutsu-ji Temple) “แหล่ง Power Spot ที่อันตรายที่สุดในญี่ปุ่น”
2. ศาลเจ้าโอกามิยามะ โอะขุมิยะ(Ogamiyama Shrine - Okumiya) ที่มี "ที่สุดในญี่ปุ่น" อยู่ถึง 3 อย่างด้วยกัน

โบสถ์นะเกะอิเรโด แห่งวัดซันบุทสึจิ ภูเขามิโตะกุ (Nageiredo Hall of Sanbutsu-ji Temple) “แหล่ง Power Spot ที่อันตรายที่สุดในญี่ปุ่น”

“โบสถ์นะเกะอิเรโด แห่งวัดซันบุทสึจิ ภูเขามิโตะกุ” สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาพุทธมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 8

ภาคกลางของจังหวัดทตโตริ เป็นที่ตั้งของแหล่งท่องเที่ยวมากมายไม่ว่าจะเป็น “พิพิธภัณฑ์ยอดนักสืบจิ๋วโคนัน” ที่สามารถเพลิดเพลินกับโลกของ อนิเมะเรื่อง “ยอดนักสืบจิ๋วโคนัน” ได้อย่างจุใจและ กลุ่มโกดังกำแพงขาว (White Wall District) ที่ยังคงหลงเหลือร่องรอยในสมัย เอโดะ จนถึง เมจิ ให้เห็นกันอยู่จนถึงทุกวันนี้ และสถานที่ที่ตั้งอยู่ห่างจากศูนย์กลางการคมนาคมอย่าง JR Kurayoshi Station โดยรถบัสประมาณ 30 นาทีก็คือ ภูเขามิโตกุ (Mitoku) นั่นเอง

ว่ากันว่าภูเขามิโตกุถูกใช้เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมของ ชูเก็นโด (*1) มาตั้งแต่ราวศตวรรษที่ 8 โดยสิ่งที่ตั้งอยู่บนหน้าผาสูงกว่า 520 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลบนภูเขามิโตกุคือโบสถ์ที่ชื่อว่า นาเกอิเรโด ซึ่งเรียกกันว่าเป็น “สมบัติชาติที่อันตรายที่สุดในประเทศญี่ปุ่น”

เนื่องจากตั้งอยู่บนหุบเขาลึกที่ยากต่อการขนย้ายวัสดุก่อสร้างและยังไม่อาจทราบได้อย่างชัดเจนว่าก่อสร้างขึ้นมาได้ยังไงเหมือนกับมาชูปิกชูในเปรูและพีระมิดในอียิปต์ ที่นี่จึงถูกเรียกขานกันว่า “วิหารปริศนา” ไปโดยปริยาย

* 1 : ชูเก็นโด ...... พุทธศาสนาสายหนึ่งที่มีเป้าหมายสู่นิพพานจากการปฏิบัติธรรมบนภูเขา โดยมีความเกี่ยวข้องอย่างลึกซึ้งกับลัทธิชินโตที่เคารพธรรมชาติและยังคงหลงเหลือธรรมเนียมดั้งเดิมให้เห็นกันอยู่ตามท้องถิ่นต่าง ๆ ในญี่ปุ่น

เว็บไซต์หลักเกี่ยวกับมรดกแห่งประเทศญี่ปุ่นของวัดซัมบุตสึจิ : http://spa-misasa.jp/japan-heritage/en/

ไปสักการะบนภูเขามิโตกุที่ถ่ายทอดจิตวิญญาณแห่งชูเก็นโดสู่ยุคปัจจุบันอย่างถูกกฎระเบียบ

わらじ

ชูเก็นโดมีแนวคิดว่า “เทพเจ้าสิงสถิตอยู่ในธรรมชาติ” และ “โดยเนื้อแท้แล้วมนุษย์ก็เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ” จึงให้ความสำคัญกับธรรมชาติเอามาก ๆ

เริ่มจากตอนขึ้นเขามิโตกุให้ซื้อ รองเท้าแตะฟาง ตรงเคาน์เตอร์รับรองมาใส่กันด้วยนะคะ เพราะว่านอกจากจะช่วยกันลื่นตอนปีนเขาแล้วก็ยังหมายถึงความใส่ใจในการ “ไม่ทำร้ายธรรมชาติบนภูเขา” อีกด้วย ถ้าเกิดใครพกรองเท้าปีนเขามาก็สามารถขึ้นเขามิโตกุได้โดยไม่ต้องซื้อรองเท้าแตะฟางก็จริง แต่ระวังเอาไว้นิดนึงว่าห้ามใช้รองเท้าที่มีปักหมุดบริเวณพื้นรองเท้าเด็ดขาด

三徳山

ก่อนขึ้นเขาให้คล้องวาเกสะ (*2) ที่เขียนว่า “รกคงโชโจ (六根清浄)” หรือ "การชำระล้างทั้ง 6"
“รกคง” นั้นหมายถึง ประสาทสัมผัสทั้งห้าของมนุษย์อันได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น ร่างกาย รวมกับสภาวะการทำงานของจิตใจอีกอย่างหนึ่ง รวมกันเป็น 6 อย่าง
จึงกล่าวได้ว่าเส้นทางไปยังโบสถ์นะเกะอิเรโดถือเป็นการปฏิบัติธรรมเพื่อชำระล้างบาปและจิตใจที่ไม่บริสุทธิ์เลยก็ว่าได้

เนื่องจากเส้นทางไปยังโบสถ์นะเกะอิเรโดมีอันตรายค่อนข้างมาก จึงไม่อนุญาติให้ขึ้นเขาในกรณีที่มาเพียงคนเดียว นอกจากนี้ก็ ควรจัดการให้มือทั้งสองข้างเคลื่อนไหวได้อย่างสะดวก อย่างพวกสัมภาระก็เก็บใส่กระเป๋าเป้ให้หมดเพื่อไม่ให้เกะกะ ที่นี่มีบริการให้ยืมกระเป๋าเป้ฟรีด้วยนะ

*2 : วาเกสะ ... ผ้าคล้องคอของพระสงฆ์ สำหรับการปีนเขามิโตกุจะใช้คล้องจากไหล่ไปผูกบริเวณรักแร้ก็ได้เหมือนกันเพื่อไม่ให้เกะกะและป้องกันอันตราย

เดินป่าตะลุยธรรมชาติ! ปีนโซ่และรากไม้ในขึ้นไปตามเส้นทางยังโบสถ์นะเกะอิเรโด แห่งวัดซันบุทสึจิ ภูเขามิโตะกุ!

橋

เมื่อขึ้นเขามาแล้วก่อนอื่นก็ลอดประตูเล็กเข้าไปได้เลย หลังจากนั้นก็ข้ามแม่น้ำขึ้นเส้นทางเดินเขาไปเรื่อย ๆ

三徳山

เราจะพบกับเดินทางสูงชันทันที ถ้ามาในช่วงเวลาหลังฝนตกจะลื่นง่ายและอันตรายมาก ยังไงก็ระวังกันให้ดีด้วยเนอะ

カズラ坂
クサリ坂

ระหว่างทางเราจะพบกับ “เนินคาสึระ” ที่ต้องปีนรากไม้และ “เนินคุซาริ” ที่ต้องปีนโซ่ขึ้นไป เนื่องจากถ้าดึงรากไม้แรงเกินไปอาจจะหักลงได้มาได้ จึงควรปีนอย่างระมัดระวังสุด ๆ

เมื่อผ่านจุดนี้ไปได้แล้วจะพบกับอาคาร มอนจุโด (Monjudo) และ จิโซโด (Jizoudo) ที่สามารถชมวิวภูเขาใกล้ ๆ ได้ด้วยนะ เดินต่อจากนั้นไปเรื่อย ๆ สักพักก็จะถึงโบสถ์นะเกอิเรโดแล้วล่ะค่ะ ^^

เรียนรู้เรื่องราวของ “ความตายและการเกิดใหม่” ที่ซุกซ่อนอยู่ตามเส้นทางไปจนถึงโบสถ์นะเกะอิเรโด แห่งวัดซันบุทสึจิ ภูเขามิโตะกุ

文殊堂

ระหว่างทางไปยังโบสถ์นะเกะอิเรโด แห่งวัดซันบุทสึจิ ภูเขามิโตะกุซุกซ่อน เรื่องราวเกี่ยวกับความตายและการเกิดใหม่ เอาไว้ด้วย

แม่น้ำที่เราข้ามมาในตอนแรกเป็นสัญลักษณ์แสดงถึงเส้นแบ่งเขตระหว่างชีวิตและความตาย ส่วนเส้นทางสูงชันระหว่างทางแสดงถึงโลกหลังความตาย การที่เราได้ข้ามผ่านบททดสอบอันยากลำบากก็เหมือนได้เป็นการชำระล้างบาปและจิตใจที่ไม่บริสุทธิ์ของตัวเองนี่แหละ

“มอนจุโด” และ “จิโซโด” แหล่งชมวิวสุดงามที่เดินทางมาถึงหลังจากนั้นเป็นสถานที่ขัดเกลาปัญญาอันสูงส่ง ได้รับซึ่งอายุขัย และจิตใจเมตตากรุณา ส่วน คันนงโด (Kannondo) วิหารที่สร้างขึ้นด้านหน้าโบสถ์นาเกอิเรโดราวกับถูกฝังอยู่ในกำแพงหินเป็นสัญลักษณ์แสดงถึงในครรภ์ของแม่

投入堂

เส้นทางไปยังโบสถ์นาเกอิเรโดเป็นสัญลักษณ์แสดงถึงเรื่องราวของมนุษย์ที่เปี่ยมไปด้วยบาปกรรมและสิ่งชั่วร้ายเวียนว่ายตายเกิดจนได้เกิดมาเป็นพระพุทธเจ้า ความจริงแล้วเส้นทางกว่าจะไปถึงโบสถ์นาเกอิเรโดนั้นยากลำบากมาก ไม่ว่าใครเดินทางมาถึงได้สำเร็จก็จะรู้สึกถึงชัยชนะอันยิ่งใหญ่ราวกับได้เกิดใหม่เลยทีเดียว

แวะแช่มิซาสะออนเซ็นหลังปีนเขามิโตขุกันสักหน่อย

มิซาสะออนเซ็น (Misasa Onsen) ที่ตั้งอยู่ใกล้กับภูเขามิโตกุแห่งนี้เคยเป็นสถานที่พักผ่อนของเหล่าผู้ปฏิบัติธรรมทั้งก่อนและหลังมุ่งหน้าไปยังภูเขามิโตกุในสมัยก่อน ช่วงขาไปหรือขากลับจากภูเขามิโตกุ ยังไงก็อย่าลืมแวะมาเที่ยวมิซาสะออนเซ็นกันเนอะ

เว็บไซต์หลักของมิซาสะออนเซ็น : http://spa-misasa.jp/eng/

อ่านเพิ่มเติมได้ที่ :

ไกด์แนะนำภาคกลางของจังหวัดทตโตริแบบจัดเต็มทั้งที่เที่ยว อาหาร และการเดินทาง (เมืองคุราโยชิ)!

“ศาลเจ้าโอกามิยามะ โอะขุมิยะ (Ogamiyama Shrine - Okumiya)” แหล่ง Power Spot ที่มีที่สุดในญี่ปุ่นอยู่ถึง 3 อย่างด้วยกัน

“ศาลเจ้าโอกามิยามะ โอะขุมิยะ” แหล่ง Power Spot บนแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมอย่างตีนภูเขาไดเซ็น

大神山神社奥宮

ภูเขาไดเซ็น เป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมทางภาคตะวันตกของจังหวัดทตโตริซึ่งมีวัดไดเซนจิอยู่ตรงกลาง สถานที่ที่ตั้งอยู่ติดกับวัดไดเซ็นจินั้นก็คือ “ศาลเจ้าโอกามิยามะ โอะขุมิยะ” ในสมัยก่อนที่นี่เคยเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมของเหล่าพุทธศาสนิกชนของชูเก็นโดมาก่อน

เพียงแค่เดินบนทางเดินของศาลเจ้าโอกามิยามะ โอะขุมิยะก็ผ่อนคลายราวกับได้รับการบำบัดด้วยป่าไม้เลยทีเดียว!

参道

ทางเดินของศาลเจ้าโอกามิยามะ โอะขุมิยะยาวกว่า 700 เมตร โดยเป็นทางเดินสร้างจากหินธรรมชาติที่ยาวที่สุดในญี่ปุ่น ว่ากันว่าการเดินท่ามกลางป่าลึกนั้นมีสรรพคุณราวกับได้รับการบำบัดด้วยป่าไม้ (Shinrin Yoku - Forest Bathing) เลยทีเดียว

御神水

ระหว่างทางเดินศาลเจ้าเป็นที่ตั้งของโจสุยะ (*3) มีป้ายที่เขียนว่า “น้ำศักดิ์สิทธิ์อายุยืนยาว” (延命長寿の御神水) ให้ทุกคนดื่มน้ำตรงนี้เพื่อรับพรให้อายุขัยยืนยาวได้เลย

*3 : โจสุยะ ...... จุดล้างมือและปากภายในศาลเจ้าเพื่อชำระล้างร่างกายให้บริสุทธิ์

本殿

โบสถ์หลักมีรูปแบบของสถาปัตยกรรมศาลเจ้าชื่อว่า “กองเก็นสึคุริ” ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น

เสาภายในโบสถ์หลักใช้เทคนิคแบบ “เบียกขุดันนุริ” ซึ่งทำให้ดูเหมือนกับเป็นทองคำเปลวจากการทาชาดลงบนเงินเปลว โดยเป็นการตกแต่งสไตล์ “เบียกขุดันนุริ” ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นเลยทีเดียว บนเพดานมีการวาดภาพบุคคล นกและดอกไม้มากกว่า 234 ภาพซึ่งนับเป็นไฮไลท์ห้ามพลาดเลยก็ว่าได้

อ่านเพิ่มเติมได้ที่ : แผนเที่ยวแนะนำภูเขาไดเซ็น ทตโตริ! มีทั้งวิวสวย อาหาร วัด และพิพิธภัณฑ์ศิลปะครบเครื่อง

ออกจากเส้นทางหลักของทางเดินศาลเจ้าโอกามิยามะ โอะขุมิยะ! ห้ามพลาด “คิมมง” ที่สามารถชมวิวอันน่าพิศวงได้!

金門

ระหว่างทางมุ่งหน้าไปยังศาลเจ้าโอกามิยามะ โอะขุมิยะมีป้ายบอกเส้นทางแยกที่เขียนว่า “金門 (คิมมง)” ตั้งอยู่ ถ้ามุ่งหน้าไปตามเส้นทางเรื่อย ๆ ก็จะพบกับชายฝั่งแม่น้ำ

ว่ากันว่าที่นี่เป็นสถานที่ที่ผู้คนที่ตายไปแล้วข้ามไปยังโลกหลังความตายซึ่งเรียกกันว่า “ไซโนะคาวาระ (Sai no Kawara)” ที่นี่จะมีกองหินที่ถูกนำมาซ้อนกันสูงต่ำกระจัดกระจายตัวอยู่ ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นการปลอบประโลมดวงวิญญาณของเด็กที่ตายไปตั้งแต่ยังเล็กนั่นเอง

บริเวณใกล้กันเป็นที่ตั้งของจุดที่มีหินก้อนใหญ่แตกจนน้ำไหลลงมากลายเป็นน้ำตก ในวันอุตตรายัน (Summer Solstice  หมายถึงวันที่กลางวันยาวนานที่สุดของปี จะอยู่ช่วงประมาณวันที่ 22 ของเดือนมิถุนายน) จะมีแสงอาทิตย์ยามเย็นสาดส่องผ่านร่องหินออกมาดูราวกับเป็นประตูสีทองตามชื่อ "คิมมง" เลยทีเดียว จากทัศนียภาพอันน่าพิศวงจึงว่ากันว่า “คิมมง” นี้เป็นประตูที่เชื่อมต่อกับเทพเจ้า

สำหรับใครที่เดินทางมายังศาลเจ้าโอกามิยามะ โอะขุมิยะก็บอกเลยว่าห้ามพลาดค่ะ ^^

สำหรับใครที่อยากรู้รายละเอียดเพิ่มเติมเสามารถเข้าไปดูได้จากเว็บไซต์หลักของจังหวัดทตโตริ (https://www.tottori-tour.jp/th/) ได้เลย! หรือสามารถอ่านเพิ่มเติมได้จาก "คอลัมน์พิเศษรวมบทความจังหวัดทตโตริของ MATCHA"

อ่านเพิ่มเติมได้ที่ :

ยังไม่สายเกินไปใช่มั๊ย ที่จะถามเกี่ยวกับวิธีการนมัสการที่ถูกต้องของศาลเจ้า
ไกด์แนะนำการท่องเที่ยวทตโตริแบบจัดเต็มตั้งแต่แหล่งท่องเที่ยว การเดินทาง ยันอาหารการกิน!
ไกด์แนะนำด้านตะวันออกของจังหวัดทตโตริแบบจัดเต็มทั้งที่กิน ที่เที่ยว และการเดินทาง (รอบเมืองทตโตริ)!
ไกด์แนะนำภาคกลางของจังหวัดทตโตริแบบจัดเต็มทั้งที่เที่ยว อาหาร และการเดินทาง (เมืองคุราโยชิ)!
ไกด์แนะนำภาคตะวันตกของจังหวัดทตโตริแบบจัดเต็มทั้งที่เที่ยว อาหาร และการเดินทาง (เมืองโยนาโกะ)!

Sponsored by Tottori Prefecture

Written by

Avatar

MATCHA-PR

Tokyo, Japan

บัญชีส่งเสริมการขายของ MATCHA สำหรับการโฆษณาองค์กรและรัฐบาลท้องถิ่น เรามุ่งมั่นที่จะให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านของเราอย่างสนุกสนาน

เนื้อหาในบทความนี้อ้างอิงจากการเก็บข้อมูลในช่วงเวลาที่เขียนบทความ อาจมีการเปลี่ยนแปลงของรายละเอียดสินค้า บริการ ราคาในภายหลังได้ กรุณาตรวจสอบกับสถานที่นั้นอีกครั้งก่อนการไปใช้บริการ
นอกจากนี้ บทความอาจมีลิงก์โฆษณา โปรดพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจซื้อหรือจอง