Start planning your trip
คามิโคจิ (Kamikochi) เที่ยว 2 วัน 1 คืน นั่งบัสจากโตเกียวไปสวรรค์บนดินที่นากาโนะ (Nagano)
มาดูวิธีนั่งบัสจากสถานีรถบัสชินจูกุ ของโตเกียวไป คามิโคจิ (Kamikochi) แดนสวรรค์ท่ามกลางหุบเขาเจแปนแอลป์ (Japan Alps) อันงดงามในจังหวัดนากาโนะ (Nagano) ที่หลายคนบอกว่ายังไงก็ต้องไปเยือนให้ได้สักครั้ง! พร้อมที่พัก และเส้นทางเดินเขาระดับเริ่มต้น
คามิโคจิ สวรรค์บนดินที่นากาโนะ
คามิโคจิ (Kamikochi) ดินแดนแห่งธรรมชาติท่ามกลางหุบเขาแสนสวยของเจแปนแอลป์ (Japan Alps) เป็นส่วนหนึ่งของจังหวัดนากาโนะ (Nagano) มีอุณหภูมิเย็นสบายแม้แต่ในฤดูร้อน เลยกลายเป็นสถานที่พักผ่อนหลบร้อน เดินป่าปีนเขายอดนิยมสำหรับชาวญี่ปุ่น
ครั้งนี้มีโอกาสได้ไปเที่ยวคามิโคจิด้วยรถบัสจากโตเกียวเมื่อต้นเดือนมิถุนายน เลยขอมาแบ่งปันข้อมูลในการเดินทางเผื่อใครกำลังคิดจะไปเที่ยว จะได้เอาไว้เป็นทางเลือกกัน
สารบัญ
ซื้อตั๋วชินคันเซ็นราคาถูกบน KLOOK!
ซื้อตั๋ว JR East Nagano-Niigata Area Pass จาก Klook ได้ที่นี่
แนะนำสำหรับผู้ที่ต้องการไปใกล้ Kamikochi โดยรถเช่า! Nippon Rent-A-Car 10%OFF
7:05 ออกเดินทางจากชินจูกุ โตเกียว
ดูวิธีการเดินทางแบบอื่นๆ ได้ที่บทความ "คามิโคจิ (Kamikochi) เปรียบเทียบวิธีเดินทางและสภาพอากาศ"
การเดินทางไปคามิโคจิด้วยรถบัสจากโตเกียว ให้ไปขึ้นรถที่สถานีรถบัสชินจูกุ (Shinjuku Bus Terminal) ฝั่งตรงข้ามสถานีชินจูกุ ครั้งนี้เราเลือกใช้ตั๋วชุดชื่อ ตั๋วคามิโคจิยูยู (Kamikochi Yu Yu Ticket) ราคา 10,000 เยน (ประหยัดกว่าซื้อตั๋วแยกตั้ง 2,900 เยน)
ตั๋วชุดนี้ประกอบด้วย
・ตั๋วรถบัสด่วนพิเศษ (Expressway Bus) ไป-กลับ สถานีรถบัสชินจูกุ - สถานีรถบัสมัตสึโมโตะ
・ตั๋วรถไฟไป-กลับ สถานีมัตสึโมโตะ - สถานีชินชิมะชิมะ
・ตั๋วรถบัสประจำทางไป-กลับ ชินชิมะชิมะ - คามิโคจิ
ตั๋วมีอายุ 7 วันนับตั้งแต่วันเริ่มใช้ตั๋ว เพราะงั้นถ้าอยากไปค้างที่คามิโคจิซักหลายคืน หรืออยากแวะเที่ยวที่มัตสึโมโตะต่ออีกหลายวันก็ยังได้
กำหนดการใช้ตั๋ว
17 เมษายน - 15 พฤศจิกายน (ยกเว้นระหว่าง 27 เมษายน - 6 พฤษภาคม และ 13 กรกฎาคม - 25 สิงหาคม)
สถานที่จำหน่าย
1. เคาน์เตอร์ของ Central Honshu Information Plaza ชั้นใต้ดิน B1 ของศูนย์การค้าเคโอมอลล์ (KEIO MALL) ชินจูกุ เวลาทำการ 8:30 - 18:00
2. เคาน์เตอร์หมายเลข 5 หรือเครื่องขายตั๋ว ที่ชั้น 4 ของสถานีรถบัสชินจูกุ เวลาทำการ 5:50 - 23:55
สำหรับคนที่ใช้พาส JAPAN RAIL PASS หรือ JR EAST PASS (Nagano, Niigata area) สามารถดูวิธีเดินทางเพิ่มได้จากบทความด้านล่างนี้
อ่านเพิ่มเติมได้ที่
หลังจากซื้อตั๋วเราจะได้ตั๋วมาเป็นชุด 4 ใบ พร้อมตัวเลข 1/4 - 4/4 อยู่มุมบนขวามือ บนตั๋วจะมีเขียนเป็นภาษาอังกฤษให้แล้วว่าใบไหนใช้ขึ้นจากไหนไปไหน ก็ให้ใช้ตามลำดับไปเลย จุดแรกที่เรามาขึ้นบัสนี่ก็ให้ใช้ตั๋วหมายเลข 1/4
พอวิ่งไปได้ซักครึ่งทางก็จะมีแวะจุดพักรถให้ได้ลงไปเข้าห้องน้ำ ยืดเส้นยืดสายกันซัก 10 นาที แล้วก็มานั่งรถต่อ
สถานี JR มัตสึโมโตะ
รวมใช้เวลาทั้งหมดประมาณ 3 ชั่วโมง 20 นาทีก็มาถึงสถานีรถบัสมัตสึโมโตะ (Matsumoto Bus Terminal) ตรงอาคารของสถานีรถบัสจะเป็นเหมือนอาคารสรรพสินค้า ชั้น 1 มีเคาน์เตอร์บริการของบริษัทรถบัส Alpico ด้านบนมีทั้งร้านร้อยเยน ร้านอาหาร ส่วนชั้นใต้ดินเป็นซูเปอร์มาร์เก็ต
ครั้งนี้เราก็ลงไปซื้อของกินกับวัตถุดิบที่จะเอาไปปิ้งย่างทำบาร์บีคิวกันที่คามิโคจิด้วย หลังจากซื้อของกินเสร็จก็เดินออกไปข้างนอกจะเห็นอาคารสถานีรถไฟมัตสึโมโตะอยู่ฝั่งตรงข้าม
ตอนนี้ให้เอาตั๋วหมายเลข 2/4 ไปแสดงให้เจ้าหน้าที่ตรงช่องตรวจตั๋วดูเพื่อผ่านเข้าสถานี แล้วไปขึ้นรถไฟที่ชานชาลา 7 ชานชาลาเฉพาะของรถไฟสายคามิโคจิ (Matsumoto Dentetsu Kamikochi Line)
รถไฟมาจอดรอเรียบร้อย
เป็นรถไฟสายโลคอลแบบหวานเย็น มีแค่ 2 ตู้
ระหว่างทางก็นี่เลย ทุ่งสวนไร่นา
ทางรถไฟสายคามิโคจินี่ไม่ได้ยาวเท่าไหร่ ผ่านไป 30 นาทีก็มาถึงสถานีสุดท้าย ชินชิมะชิมะ (Shinshimashima) แล้ว
ออกจากสถานีก็มาต่อรถบัสประจำทางที่ป้ายหมายเลข 1 ก่อนขึ้นเจ้าหน้าที่จะขอดูตั๋วก็ให้แสดงตั๋วหมายเลข 2/4 ใบเดิม
สถานีรถบัสคามิโคจิ
ก่อนจะถึงป้ายสุดท้ายที่สถานีรถบัสคามิโคจิจะมีป้ายให้เลือกลงอยู่หลายป้าย
1. ป้าย Taisho Pond ลงป้ายนี้จะเป็นบึงไทโช (Taisho Pond) พอดี จากตรงนี้เดินไปสะพานคัปปะบาชิประมาณ 70 นาที
2. ป้าย Teikoku (Imperial) Hotel Mae ป้ายหน้าโรงแรมเทโคคุ หรือโรงแรมอิมพีเรียล จะอยู่ใกล้สะพานโฮทากะและสะพานทาชิโระ เดินไปสะพานคัปปะบาชิประมาณ 40 นาที
จากทั้ง 2 ป้ายนี้จะมีเส้นทางเดินเขาเชื่อมต่อกันไปจนถึงสะพานคัปปะบาชิ ถ้าอยากเดินเล่นถ่ายรูปตั้งแต่ตรงนี้ก็สามารถเลือกลงได้ตามใจเลย
นั่งบัสมาราว 1 ชั่วโมงก็มาถึงปลายทางจริงๆ ของเราแล้วที่สถานีรถบัสคามิโคจิ (Kamikochi Bus Terminal)
ตัวอาคารสถานีรถบัสมีทั้งร้านขายของฝาก ร้านอาหารของว่าง และศูนย์บริการข้อมูลท่องเที่ยวคามิโคจิด้วย
เส้นทางเดินเข้าไปด้านในจะมี 2 เส้นทาง ระยะทางเท่ากันแหละ 300 เมตร ประมาณ 5 นาที
ขาไปเราเลือกเส้นทางริมน้ำ เดินประมาณ 5 นาทีก็เจอสะพานคัปปะบาชิ (Kappa Bridge) สะพานชื่อดังที่เป็นเหมือนสัญลักษณ์ของคามิโคจิ ตอนแรกพยากรณ์อากาศบอกไว้ว่าวันนี้ฝนตกกับมีเมฆมาก แต่พอมาถึงฝนก็หยุด เมฆก็ไม่เยอะอย่างที่คิด อากาศบนเขานี่เอาแน่เอานอนไม่ได้จริงๆ
ที่พักในครั้งนี้คือ โคนาชิไดระ แคมป์ปิ้งกราวด์ (Konashidaira Camping Ground) จุดตั้งแคมป์ที่อยู่ใกล้สะพานคัปปะบาชิที่สุด
(ล่างซ้าย) อุปกรณ์ที่มีให้เช่า (ล่างขวา) ทางเข้าห้องอาบน้ำใหญ่ โคนาชิโนะยุ (Konashi no Yu) แยกชาย-หญิง
ตรงอาคารเคาน์เตอร์เช็คอิน จะมีให้เช่าอุปกรณ์ตั้งแคมป์ทั้งหลาย ตั้งแต่ถุงนอน แผ่นรองพื้นในเต๊นท์ ผ้าห่ม โต๊ะ ม้านั่ง ไปจนถึงอุปกรณ์บาร์บีคิวอย่างเตาย่าง ถ่านก่อไฟ หม้อ ฯลฯ คือถ้าคิดจะเอามาแค่เสื้อผ้าเฉยๆ แล้วที่เหลือมาเช่าเอาก็ยังได้
อาคารฝั่งตรงข้ามเป็นร้านขายอาหารและกาแฟ มีอาหารให้เลือกเยอะ เช่น ข้าวหน้าแกงกะหรี่ ข้าวหน้าหมูทอด อุด้ง แล้วก็มีส่วนร้านค้าขายขนม เครื่องดื่มธรรมดาและแอลกอฮอล์ สเปรย์ทากันแมลง และของฝากที่เป็นของใช้กระจุกกระจิก
มีที่พักแบบบ้านพัก (Cabin) ให้เลือกหลายขนาด หรือใครชอบแนวเอาท์ดอร์ก็มีเต๊นท์ที่กางไว้ให้แล้ว (Fixed tent) ส่วนใครที่แอดวานซ์ขึ้นไปอีกก็สามารถพกเต๊นท์มากางเองได้ในที่ที่เค้าจัดไว้ให้ (Campground)
ดูรายละเอียดเกี่ยวกับห้องพักต่างๆ ได้ที่นี่ (ภาษาอังกฤษ)
อันตัวเราก็ยังไม่โปรขนาดนั้น เลยขอนอนห้องพักดีกว่า ห้องว่างที่เหลือคือ Type B นอนได้ 4 คน เป็นห้องแบบเล็กสุดเลยไม่มีห้องน้ำในตัว แต่ก็มีห้องน้ำรวมอยู่ใกล้ๆ
ส่วนห้องอาบน้ำนี่ไม่ว่าจะห้องแบบไหนก็ไม่มีให้ เค้าจะมีห้องอาบน้ำรวมพร้อมบ่อน้ำร้อน (ไม่ใช่ออนเซ็น) อยู่ในอาคารเดียวกันกับเคาน์เตอร์เช็คอิน ไปใช้ตรงนั้นได้ ราคาผู้ใหญ่คนละ 600 เยน
มีห้องครัวกับอุปกรณ์พร้อม หม้อ ไห จาน ชาม กระทะ ตะหลิว แม้แต่หม้อหุงข้าวยังมีให้เลย! ส่วนพวกขยะทั้งหลายให้ใส่ในถุงขยะแล้วเอาไปทิ้งที่ถังแยกขยะตามประเภทตรงหน้าอาคารเช็คอิน
ตัวห้องเป็นแบบปูเสื่อทาทามิกว้าง 6 เสื่อ (ประมาณ 10 ตารางเมตร) มีโต๊ะญี่ปุ่นให้ 1 ตัว โทรทัศน์ แล้วก็มีเตาฮีตเตอร์ให้ด้วย แต่ถ้าจะใช้ต้องไปซื้อน้ำมันจากเคาน์เตอร์เช็คอินราคา 500 เยน ที่จริงตอนที่ไปนี่ต้นเดือนมิถุนายน ตกกลางคืนอุณหภูมิก็ราวๆ 7 องศา พอซุกตัวในที่นอนฟุตงก็ไม่ถึงกับหนาวจนทนไม่ได้นะ ก็เลยไม่ได้ซื้อน้ำมัน
ฟูกฟุตงสำหรับปูนอนก็มีให้อยู่ในตู้แล้ว ตอนที่ไปเช็คอินจะได้ตะกร้าจ่ายกับข้าวมาใบนึง มีผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน แล้วก็ไฟฉายให้ด้วย สะดวกดี ตอนเช็คเอาท์ก็เอาทุกอย่างใส่ตะกร้าแล้วไปยื่นให้ที่เคาน์เตอร์เหมือนเดิม สะดวกดี
ห้องน้ำที่แยกเป็นอาคารเดี่ยวๆ อยู่ติดกับห้องพักเลย มีทิชชู่ให้พร้อมแถมที่รองนั่งชักโครกแบบมีระบบอุ่นด้วย ไม่ต้องสะดุ้งเวลานั่ง! แต่อย่าลืมปิดประตูด้านหน้าด้วยจะได้กันแมลงเข้าข้างใน
วางกระเป๋า สำรวจห้องพักเสร็จก็ได้เวลาไปเดินเล่นกันแล้ว
มองไปทางไหนก็สวยไปหมดจริงๆ
เมฆยังเยอะอยู่แต่ไม่ใช่เมฆฝน แล้วฟ้าก็เริ่มเปิดบ้างแล้ว ดีใจมาก
ด้านหน้าสะพานคัปปะบาชิมีร้านขายของฝาก เห็นคนเค้าซื้อซอฟต์ครีมกันก็อยากกินมั่ง
ลองดูการแต่งตัวของคนอื่นๆ กันได้ ส่วนใหญ่ก็รองเท้าผ้าใบที่เดินง่ายๆ เสื้อผ้าทะมัดทะแมงหน่อย ถ้าไม่ได้กะมาปีนเขาแบบจริงจังก็ประมาณนี้ก็เอาอยู่ แต่ขอแนะนำว่าอย่าลืมเอาเสื้อตัวนอกมาไว้ซักตัวเผื่อสวมทับ เพราะกลางคืนอากาศค่อนข้างหนาวเลย ถ้ากันน้ำได้ด้วยก็ยิ่งดีเพราะอาจมีฝนตก
ซอฟต์ครีมนมหอมๆ รสละมุน โคนละ 400 เยน
ถ่ายรูปชื่อสะพานเป็นที่ระลึก 河童橋 อ่านแบบญี่ปุ่นก็ "คัปปะบาชิ" แปลว่า "สะพานคัปปะ"
วิวระหว่างเดินข้ามสะพานคัปปะบาชิ เค้าว่ากันว่าวิวของคามิโคจิจากบนสะพานคัปปะบาชินี่แหละที่สวยที่สุด
ข้ามมาอีกฝั่งก็ยังมีร้านค้ากับคาเฟ่อีก เลยมาซื้อพายแอปเปิ้ลของร้านคาเฟ่ทรัวส์แซงก์ (Trois Cinq) เค้าใช้แอปเปิ้ลของชินชู (ชื่อเรียกพื้นที่แถบนากาโนะ) 100% ราคาชิ้นละ 480 เยน ที่เห็นเป็นไส้นั่นคือชิ้นแอปเปิ้ลล้วนๆ ก็อร่อยดีนะ แต่ส่วนตัวเป็นประเภทชอบกินแป้งไง เลยอยากได้แป้งพายหนาๆ หน่อย มีฮอทด็อก ทาโก้ แล้วก็ข้าวกล่องเบ็นโตขายด้วย มาถึงได้แป๊บเดียวยังกินไม่หยุดเลย ขอกลับไปหาชาวคณะหน่อยดีกว่า
ระหว่างเดินกลับก็เจอชาวคณะ ไม่ใช่ละ เจอลิงญี่ปุ่นด้วย นี่แม่ลูก แล้วก็มีตัวอื่นๆ อีกอยู่ใกล้ๆ กันรวมแล้วก็ 5 ตัว
ข้อควรระวังเวลาเจอลิงป่าคือ 1. อย่าเข้าไปใกล้ 2. อย่าจ้องตา 3. อย่าให้อาหาร เพราะงั้นอย่าโยนอาหารเพื่อเรียกให้ลิงเข้ามาใกล้ๆ ขอให้อยู่ถ่ายรูปกันไกลๆ ก็พอ แล้วก็อย่าทิ้งเศษอาหารของกินไว้ตามป่า ให้เอาไปทิ้งในจุดทิ้งขยะที่จัดไว้ให้เท่านั้น
ชาวคณะเค้าก็จัดแจงกางเต๊นท์กันเรียบร้อย ส่วนเราก็ไปขอยืมของเค้ามาเป็นพร๊อพถ่ายรูปเฉยๆ
หลังจากไปอาบน้ำแช่น้ำร้อนให้สบายตัวแล้วก็ได้เวลาของบาร์บีคิว! วัตถุดิบที่ซื้อมาจากมัตสึโมโตะ กับอุปกรณ์ปิ้งย่างที่เช่าเอาจากที่พัก
เลือกมาตั้งเตากันตรงริมน้ำใกล้ๆ อาคารเช็คอินเพราะมีโต๊ะใหญ่อยู่ แล้วก็ห่างจากเต๊นท์ของผู้พักคนอื่นๆ พอสมควร ทางที่พักเค้าก็ไม่ได้กำหนดสถานที่อะไรมากมาย แค่ขอความร่วมมือว่าหลัง 3 ทุ่มให้ลดการใช้เสียงลงจะได้ไม่รบกวนคนอื่น
พอพระอาทิตย์ตกดินแล้วแถวนี้แทบจะไม่มีแสงไฟอะไรเลย ถ้าวันไหนที่ฟ้าโปร่งอย่างนี้จะเห็นดาวได้ชัดมากๆ ใครที่ชอบถ่ายดาวน่าจะถูกใจกัน มันอลังการดาวล้านดวงมากๆ
วันที่สอง 10:20 เดินเขาไปสะพานเมียวจิน-บึงเมียวจิน
เช้าวันรุ่งขึ้นเราจะเดินตามเส้นทางเดินเขาไปยังสะพานเมียวจิน (Myojin Bridge) และบึงเมียวจิน (Myojin Pond) เลยต้องเติมพลังก่อนเดินทางกันหน่อย กาแฟทรีอินวันกับข้าวปิ้งแบบแพ็คที่พี่ชาวคณะปิ้งให้ แล้วก็ซาลาเปาร้อนๆ จากร้าน Kamikochi Reststation ของโรงแรมชิราคาบะโซ (Hotel Shirakabaso)
เส้นทางจากสะพานคัปปะบาชิไปยัง สะพานเมียวจิน-บึงเมียวจินจะมี 2 เส้นทางคือ เส้นทางริมแม่น้ำอาซุซะฝั่งขวา (Azusa River Right Bank Course) กับ เส้นทางริมแม่น้ำอาซุซะฝั่งซ้าย (Azusa River Left Bank Course) ถ้าดูตามแผนที่เส้นทางฝั่งขวาจะอยู่ด้านบนส่วนเส้นทางฝั่งซ้ายจะอยู่ด้านล่างของแม่น้ำอาซุซะ ขาไปนี่เราใช้เส้นทางฝั่งขวา เพราะงั้นจะเริ่มจากการข้ามสะพานคัปปะบาชิแล้วเดินขึ้นไปทางขวาตามเข็มนาฬิกา
เส้นทางนี้จะลัดเลาะไปบนเขาทวนแม่น้ำอาซุซะ มีทั้งที่เป็นทางเดินธรรมชาติแบบดินล้วนๆ แล้วก็มีทั้งทางเดินไม้ที่ทำขึ้นมาด้วย ไม่ต้องมีอุปกรณ์เดินป่าปีนเขาอะไรเป็นพิเศษก็มาเดินกันได้ แต่เน้นว่าควรจะเป็นรองเท้าผ้าใบหรือรองเท้าเดินป่า และเสื้อผ้าทะมัดทะแมงที่เดินเหินสะดวก
ระยะทางไปถึงสะพานเมียวจินประมาณ 3.5 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 70 นาที แต่บอกเลยว่าต้องใช้เวลานานกว่านั้นแน่ๆ
เพราะตามทางเดินจะมีกับดักให้เรามาถ่ายรูปสวยๆ กันเต็มไปหมดอย่างบึงดาเกซาวะ (Dakesawa Marsh) หนึ่งในจุดถ่ายรูปเด็ดๆ ห่างจากจุดเริ่มต้นมาได้ซัก 10 นาที
ตามข้างทางก็มีดอกไม้สวยๆ ตรงธารน้ำก็มีทั้งเป็ดมากาโมะแม่ลูก บางคนก็เจอลิงด้วย ธรรมชาติสมบูรณ์มากๆ
ระหว่างทางก็มีป้ายบอกทางบ้างเป็นระยะ อย่างที่บอกว่ามีกับดักเยอะ นี่เดินมา 30 นาทีเพิ่งผ่านมา 700 เมตร! ไม่เป็นไรเราเน้นหวานเย็น เดินชมนกชมไม้ไปตามทาง
ได้อารมณ์ป่าศักดิ์สิทธิ์แบบเรื่องโมโนโนเกะฮิเมะ ของจิบลิอยู่นะ
หลังจากเดินมาได้ 1 ชั่วโมง 40 นาที ก็มาถึงสะพานเมียวจินแล้ว เอาจริงไม่เหนื่อยเลยนะ เพราะอากาศไม่ร้อน แล้วก็เป็นเส้นทางในป่า เพราะงั้นแทบจะไม่โดนแดดเลย คนญี่ปุ่นบางคนที่เห็นน่าจะอายุราวๆ 70 ปีก็มี แต่บางจุดก็อาจจะมีทางชันบ้าง ถ้าใครคิดจะพาผู้ใหญ่มา ถ้าเค้าเดินไม่สะดวก แข้งขาไม่ดีก็ไม่แนะนำเท่าไหร่
พอเดินพ้นป่าจนเจอสะพานเมียวจินแล้วให้เลี้ยวซ้าย จะมีทางเดินไปบึงเมียวจิน จากตรงทางเข้าจะเห็นเสาประตูโทริอิตั้งอยู่ เพราะตรงนี้ไม่ใช่แค่บึงธรรมดา แต่เป็นที่ตั้งของโอคุมิยะ วิหารชั้นในของศาลเจ้าโฮทากะ (Hotaka Rear Shrine Okumiya) สักการะเทพโฮทากะมิ โนะ มิโคโตะ เทพผู้คุ้มครองดินแดนเทือกเขาโฮทากะ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเจแปนแอลป์
เดินผ่านโทริอิเข้ามานิดเดียว ด้านซ้ายจะเป็นบ้านพักและร้านอาหารเล็กๆ ชื่อ คามนจิโกยะ (Kamonjigoya) จุดเติมพลังมื้อเที่ยงของเรา
ที่ร้านนี้เค้าบอกว่าให้จองโต๊ะก่อนนะ เพราะงั้นมาถึงก็หาโต๊ะว่างแล้วไปนั่งดูเมนูบนโต๊ะ จะมีภาษาอังกฤษให้เรียบร้อย จากนั้นจำหมายเลขโต๊ะแล้วไปซื้อตั๋วจากเครื่องอัตโนมัติ เอาตั๋วให้พนักงานในร้านพร้อมบอกเลขโต๊ะ แล้วก็กลับไปนั่งรอเค้ายกมาเสิร์ฟที่โต๊ะได้เลย
เมนูเด่นของเค้าคือปลาอิวานะย่างเกลือ (Grilled fish with salt) 1,000 เยน เสียบไม้ย่างช้าๆ ด้วยเตาถ่านอิโรริแบบญี่ปุ่น กินได้ทั้งตัวเลย ถ้าสั่งเป็นชุดปลาย่าง (Grilled fish set) ราคา 1,600 เยน ก็จะมาพร้อมข้าวสวย ซุปมิโซะ และเครื่องเคียงแบบในรูป
ถ้าไม่อยากกินปลาก็สั่งเป็นโซบะแทน ในรูปนี้คือโซบะกับผักป่า (Wild vegetable soba) ราคา 800 เยน
เติมพลังเสร็จก็เดินต่อเข้าไปด้านใน สามารถมาสักการะศาลเจ้าโอคุมิยะตรงนี้ได้ (ตรงกลางรูป) ถ้าจะเข้าไปดูบึงเมียวจินด้านในจะมีค่าผ่านทาง 300 เยน
อย่างที่บอกว่านี่คือวิหารชั้นใน เพราะงั้นจะมีวิหารหลักจะอยู่ที่ศาลเจ้าโฮทากะ (Hotaka Shrine) ในเมืองอาซุมิโนะ ติดกับเมืองมัตสึโมโตะ แล้วยังมีวิหารยอดเขา มิเนะมิยะ (Minemiya, Hotaka Peak Shrine) ตั้งอยู่บนยอดเขาโอคุโฮทากะดาเกะ (Oku-Hotakadake) ภูเขาที่สูงเป็นอันดับสามของญี่ปุ่นที่ความสูง 3,190 เมตรด้วย!
บึงเมียวจิน (Myojin Pond) เป็นบึงรูปผลน้ำเต้า มีแนวคอดตรงกลางระหว่างบึงที่หนึ่ง อิจิโนะอิเคะ (Ichi no Ike) กับบึงที่สอง นิโนะอิเคะ (Ni no Ike)
บึงแรกที่เจอคือบึงที่หนึ่ง อิจิโนะอิเคะ มีทางเดินไม้ยาวและเรือสีแดงสองลำเทียบอยู่ ทุกวันที่ 8 ตุลาคม จะมีพิธีล่องเรือ โอฟุเนะ ชินจิ (Ofune Shinji) บรรเลงดนตรีบนเรือที่ล่องวนไปทั่วบึงเมียวจินเพื่อแสดงความขอบคุณต่อเทพเจ้าที่ช่วยคุ้มครองและมอบความอุดมสมบูรณ์ให้แก่ขุนเขา
มันอลังการจริงๆ นะ ดูเงาที่สะท้อนบนน้ำสิ น้ำใสอย่างกับกระจกจริงๆ
บึงที่สอง นิโนะอิเคะ ที่อยู่ด้านในจะเล็กกว่า แต่ก็สวยไม่แพ้กัน
ขากลับเราจะใช้เส้นทางอีกอันที่บอกไปตอนแรกคือ เส้นทางริมแม่น้ำอาซุซะฝั่งซ้าย เส้นทางนี้ระยะทางก็พอๆ กัน แต่จะเป็นทางเดินธรรมชาติเสียมาก สามารถเดินกลับได้เร็วกว่าทางขามาพอสมควร ใช้เวลาประมาณ 50 นาทีก็กลับมาถึงจุดตั้งแคมป์ของที่พักแล้ว
เป็นอันจบเส้นทางเดินเขาเลียบแม่น้ำอาซุซะ เส้นทางนี้เป็นระดับเริ่มต้น ไม่ต้องมีอุปกรณ์อะไรก็มาเดินกันได้สบายๆ ถ้าใครที่โปรแล้วก็มีเส้นทางปีนเขาให้เลือกอีกหลายเส้นทาง ลองสอบถามข้อมูลได้จากศูนย์ข้อมูลท่องเที่ยวคามิโคจตรงสถานีรถบัส
14:40 เตรียมตัวนั่งบัสกลับทางเดิม
ไปรับบัตรคิวตรงเคาน์เตอร์ด้านซ้าย แล้วมารอเค้าเรียกตรงป้ายหมายเลข 4
จากนี้ก็เตรียมตัวไปนั่งรถบัสกลับย้อนเส้นทางเดิมเหมือนขามาเลย
***หมายเหตุดอกจันล้านตัว***
ข้อควรระวังสำหรับคนที่จะนั่งรถบัสกลับไปต่อรถสถานีชินชิมะชิมะ ไม่ว่าจะใช้ตั๋วชุดนี้หรือซื้อแยกก็คือ เราต้องเอาตั๋วขึ้นรถที่เรามี ในกรณีของตั๋วชุดคามิโคจิยูยูคือตั๋วหมายเลข 3/4 ไปยื่นขอรับบัตรคิวขึ้นรถ (Numbered ticket 整理券 Seiri-ken) ที่เคาน์เตอร์ก่อนโดยบอกรอบรถที่เราต้องการขึ้นจากตารางเวลาที่เค้ามีให้
พอถึงเวลาเรียกขึ้นรถเค้าจะเรียกขึ้นตามหมายเลข เพราะงั้นถ้าคนเกินเราจะต้องไปขึ้นรถเสริมที่ออกเวลาเดียวกัน หรือถ้าโชคไม่ดีคนขึ้นรถเสริมน้อยเกินไปก็อาจจะต้องรอขึ้นรถรอบถัดไปแทนเลย
หลังจากตุ้มๆ ต่อมๆ เพราะชาวคณะเรามากัน 10 คน ตอนไปขอรับบัตรคิวเจ้าหน้าที่ก็บอกว่าอาจจะไม่ได้ขึ้นคันเดียวกันนะ เพราะมี 2 คนที่ได้รับบัตรคิวเป็นรถเสริม แต่พอตอนเค้าเรียกขึ้นรถตามเบอร์ ก็มีบางเบอร์ที่ไม่มาอยู่หลายคนเหมือนกัน สรุปเลยได้ขึ้นรถกลับพร้อมกันหมด
ทั้งขามาและขากลับจะได้ผ่านบึงไทโช (Taisho Pond) ซึ่งครั้งนี้ไม่ได้อยู่ในแผนเที่ยวของเรา ก็ขอดูจากหน้าต่างรถแทนละกัน
อีกจุดคือตรงเขื่อนนากาวะโดะ (Nagawado Dam) ที่มีป้ายรถบัสประจำทางกับทางหลวงวิ่งผ่านบนสันเขื่อน เรียกได้ว่าเป็นของหายากอยู่เหมือนกัน
พอรถบัสมาถึงสถานีชินชิมะชิมะ ก็ต่อรถไฟไปลงสถานีมัตสึโมโตะ เพื่อรอขึ้นรถรอบ 18:20 ที่จองไว้ตรงสถานีรถบัสมัตสึโมโตะ
ที่จริงแถวสถานีก็มีร้านอาหารเยอะเลยนะ ทั้งราเม็งเอยอะไรเอย แต่พอดีแวะไปโรงอาบน้ำเซ็นโตมาเวลาเลยไม่พอ มื้อเย็นเลยไปหาซื้อของกินเอาจากซูเปอร์ชั้นใต้ดินของสถานีรถบัสเหมือนเดิม ได้ฟุโตมากิกับปลาทอดมากินบนรถ จากนั้นก็นอนยาวจนถึงโตเกียวประมาณ 3 ทุ่มครึ่งตามกำหนด
คามิโคจิ ครั้งเดียวคงไม่พอ
เป็นอันจบทริปเที่ยวคามิโคจิด้วยรถบัสจากโตเกียว 2 วัน 1 คืนของเรา ก่อนจะไปก็เห็นรูปที่คนอื่นๆ เค้าถ่ายกันก็คิดในใจว่าสวยดีนะ แต่ก็ไม่น่าจะมีอะไรเป็นพิเศษ แต่พอได้ไปเห็นด้วยตาตัวเองแล้วก็ต้องยอมรับว่าที่เห็นในรูปว่าสวยขนาดไหน ของจริงนี่สวยกว่านั้นหลายเท่า ทั้งความยิ่งใหญ่อลังการของเทือกเขาที่ต่อเนื่องกันจนเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด ทั้งอากาศเย็นสบายและบริสุทธิ์ และธรรมชาติที่แสนจะอุดมสมบูรณ์
ใครที่ชอบแนวธรรมชาติ ชอบเดินป่าเดินเขา ชอบถ่ายรูป ชอบไปตั้งแคมป์เอาท์ดอร์ ขอแนะนำว่ายังไงก็ต้องมาให้ได้สักครั้งจริงๆ
เตรียมตัวไปเที่ยวญี่ปุ่น!
- ซื้อตั๋วเจอาร์พาสประเภทต่างๆ ที่ KLOOK
- ค้นหาและจองที่พักกับ Booking.com
อ่านเพิ่มเติมได้ที่
นอกจากนี้ บทความอาจมีลิงก์โฆษณา โปรดพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจซื้อหรือจอง