Start planning your trip
เดินเล่นที่คามาตะ หนึ่งในเมืองอันตรายติดอันดับของโตเกียว
สำหรับคนต่างชาติ น้อยคนที่จะรู้ว่าเขตไหนเมืองไหนของญี่ปุ่นมีภาพลักษณ์เป็นยังไง อย่างเมืองคามาตะที่ผู้เขียนได้มีโอกาสมาอยู่ถึง 3 ปีครึ่ง ดันมีชื่อเสียด้านความปลอดภัย กลายเป็นเมืองไม่น่าอยู่ติดอันดับไปเสียได้ แต่เอาเข้าจริงมันแย่อย่างนั้นเลยเหรอ ลองมาเดินเล่นที่คามาตะกัน
คามาตะ ก้าวแรกบนแผ่นดินญี่ปุ่น
ตอนนี้ใครที่ใช้สนามบินฮาเนดะน่าจะเคยนั่งรถไฟผ่านหรือไม่ก็มาลงเพื่อเปลี่ยนรถที่สถานีเคคิวคามาตะกันบ้าง แต่ถ้าย้อนไปช่วงก่อนปี 2010 ก่อนที่สนามบินฮาเนดะจะเปลี่ยนเป็นฮับสำหรับเที่ยวบินนานาชาติ เชื่อว่านักท่องเที่ยวต่างชาติส่วนใหญ่คงไม่เคยได้ยินชื่อคามาตะมาก่อน
คามาตะอยู่ทางใต้สุดของเขตโอตะ เขตที่อยู่ทางใต้สุดของเมืองโตเกียวชั้นในอีกที พ้นจากคามาตะไปก็เป็นคาวาซากิของจังหวัดคานากาวะแล้ว ก่อนที่จะมาญี่ปุ่นเราก็ไม่รู้หรอกว่าคามาตะอยู่ไหน แต่จำได้ว่าพอออกจากสนามบินนาริตะก็นั่งรถไฟมาเป็นชั่วโมงกว่าจะถึง อย่าถามนะว่านั่งรถไฟสายไหน ไปเปลี่ยนรถที่สถานีอะไร ตอนนั้นแค่ประกาศภาษาญี่ปุ่นในรถไฟก็ยังฟังไม่ออกสักคำ
ไม่ค่อยปลอดภัย คนเมาก็เยอะ ร้านปาจิงโกะก็แยะ ไม่น่าอยู่เท่าไหร่ นี่คือสิ่งที่คนญี่ปุ่นหลายคนนึกถึงเมื่อพูดชื่อคามาตะ ฟังแล้วเหมือนจะไม่ค่อยมีอะไรดีเลยแฮะ ครั้งนี้เลยขอมาพาไปเดินเล่นแถวๆ สถานีคามาตะ แล้วก็เดินย้อนรอยไปตามทางที่เคยเดินเป็นประจำสมัยอยู่หอ ดูว่าคามาตะเนี่ยไม่น่าอยู่อย่างที่เค้าว่าจริงๆ รึเปล่า
รอบๆ สถานี JR คามาตะ
อยากนอนก็นอนได้สบายๆ ตามสไตล์คามาตะ
สถานี JR คามาตะแบ่งเป็นทางออกฝั่งตะวันออกกับฝั่งตะวันตก หน้าสถานีฝั่งตะวันออกจะมีวงเวียนใหญ่ที่เป็นโซนสูบบุหรี่ ตรงนี้มีรูปปั้นโมอายสูงร่วม 3 เมตรตั้งอยู่ แต่กลมกลืนมากจนแทบไม่ทันสังเกต เดินข้ามจากวงเวียนไปก็มีโซนร้านอิซากายะและร้านกินดื่มที่ใหญ่มาก ขอเรียกว่าเป็นโซนที่เราหยั่งไม่ถึงแล้วกัน ตอนกลางคืนแทบจะไม่ได้ไปแถวนั้นแล้ว จากตรงนี้เดินตรงไปตามทางประมาณ 10 นาทีก็ถึงสถานีเคคิวคามาตะ
หน้าสถานีฝั่งตะวันตก แต่ก่อนตรงต้นไม้นี่จะทำเป็นยกพื้นขึ้นมาหน่อย มีม้านั่งให้นั่งได้รอบ แต่ส่วนใหญ่จะมีคนมานอนซะมากกว่า
กลับมาฝั่งตะวันตก ครั้งแรกที่มาถึงสถานี JR คามาตะ เอ๊ะ ทำไมออกจากสถานีแล้วยังอยู่ในตึก ร้านก็เยอะเหมือนเป็นห้างย่อมๆ มารู้ทีหลังว่าแบบนี้เค้าเรียกเอกิบิรุ (อาคารสถานีรถไฟมิกซ์ยูส) พอออกจากตึกถึงจะเจอถนนจริงๆ หน้าอาคารสถานีเป็นลานคนเดินกว้างๆ ถัดออกไปก็เต็มไปด้วยอาคารพาณิชย์เรียงเป็นตับกับป้ายร้านค้าสารพัดทั้งร้านกินดื่มอิซากายะ ร้านข้าวหน้าเนื้อ ร้านราเม็ง ร้านปาจิงโกะ ละลานตาไปหมด โอ ญี่ปุ่นเป็นอย่างนี้นี่เอง
ถ้าเดินไปทางขวาจะมีโรงเรียนภาษากับโรงเรียนเซ็มมงที่เราไปเรียน ก็ถือว่าเป็นโรงเรียนที่ค่อนข้างใหญ่เหมือนกัน คามาตะเลยกลายเป็นเมืองนักศึกษาไปด้วย ร้านอาหารราคาไม่แพงก็เยอะ ทั้งป้ายร้านทั้งจักรยานดูเกะกะวุ่นวาย เห็นแล้วทำให้นึกถึงไทยขึ้นมาเลย แต่พอเป็นป้ายภาษาญี่ปุ่นแล้วทำไมรู้สึกมันเก๋ดีจัง
ครั้งแรกกับอิเอะเคราเม็ง
เนกิราเม็ง มีท้อปปิ้งเป็นชิรากะเนกิ ต้นหอมซอยแบบเส้น
ตรงนี้จะมีร้านราเม็งชื่อเซยะ (Seiya : せい家) ร้านที่ทำให้เราได้รู้จักกับอิเอะเคราเม็งเป็นครั้งแรก ถ้าจำแนกตามประเภทซุปจะเรียกว่าทงคตสึโชยุ ซุปกระดูกหมูผสมโชยุ ครั้งแรกที่ได้ซดน้ำซุป รู้สึกเหมือนเอากระดูกหมูทั้งก้อนมาอม หอมมาก รสจะเค็ม เข้มกว่าพวกมิโซะราเม็งหรือโชยุราเม็งที่เรารู้สึกว่ารสมันจืดไป ราเม็งธรรมดาราคาไม่รวมภาษี 500 เยนเท่านั้น!
ถ้าดูจากรูปข้างบนเมื่อกี๊จะเห็นป้ายร้านอยู่ทางซ้ายมือ สมัยที่ไปเรียนเนี่ยร้านจะอยู่ทางขวา แต่หลังจากนั้นก็เปลี่ยนเป็นร้านราเม็งกินตะไป ก็อร่อยเหมือนกันแต่ชอบเซยะมากกว่า หลังสุดที่ไปมาตอนเดือนกรกฎาคม 2020 ร้านเซยะปิดไปซะแล้ว เสียใจ แต่ยังมีสาขาอื่นอีก ดูจากเว็บไซต์แล้วไปลองกันนะ
ครั้งแรกกับโชเท็นไก
ทางเข้าซันไรส์ ออกแบบเหมือนเป็นพระอาทิตย์ขึ้นตามชื่อถนน
ตรงหน้าสถานีมีโชเท็นไกชื่อว่าซันไรส์ (อย่าแปลกใจถ้าจะเจอถนนร้านค้าชื่อซันไรส์เหมือนกันที่เมืองอื่น เพราะคนญี่ปุ่นจะชอบชื่อที่เกี่ยวกับพระอาทิตย์)
โชเท็นไกเป็นถนนรวมร้านค้า เทียบกับไทยแล้วน่าจะเหมือนถนนแถวตลาดที่มักจะมีร้านตึกแถวมารวมกันเยอะๆ ร้านค้าในนี้มีทั้งคาเฟ่ ร้านหนังสือ ร้านขายยา ร้ายขายของชำ คลินิก ร้านผักดอง ร้านขายเสื้อผ้า ซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านร้อยเยน และอีกสารพัด สมัยนั้นอยากซื้ออะไรก็มาซื้อในนี้หมดเลย
ยังมีถนนร้านค้าอีกเส้นขนานกันไปชื่อซันโรด ทางเดินจะแคบกว่าหน่อย แต่ร้านค้าก็เรียงเป็นตับเหมือนกัน พอมาถึงซันโรดก็ต้องขอแนะนำของอร่อยอีกอย่างนั่นคือเกี๊ยวซ่าแบบมีปีก
ครั้งแรกกับเกี๊ยวซ่าแบบมีปีก
เรียงจากซ้ายไปขวา ร้าน Hoan Yon (歓迎) ร้าน Nihao (你好) ร้าน Konparu (金春)
เกี๊ยวซ่าแบบมีปีกตอนนี้ไปที่ไหนก็กินได้ แต่ขอแนะนำ 3 ร้านอาหารจีนที่มีเกี๊ยวซ่าแบบมีปีกในคามาตะ ร้านแรก Hoan Yon (歓迎) ปีกบางกรอบ ไส้เกี๊ยวซ่าผสมขิงกับกุยช่าย หอมมาก ร้านที่สองหนีห่าว ไม่ได้จะพูดสวัสดีเป็นภาษาจีน แต่ร้านเค้าชื่อ Nihao (你好) ปีกมาเป็นแผ่นสี่เหลี่ยมสวยจนไม่อยากจะพรากเค้าออกจากกัน ไส้เกี๊ยวซ่าไม่ผสมกระเทียมเผื่อใครกลัวกลิ่นติดปาก ร้านสุดท้าย Konparu (金春) แป้งหนานุ่ม ไส้เกี๊ยวซ่าผสมผักกาดขาว ข้างในเลยฉ่ำน้ำจุ๊ยซี่สุดๆ
ลืมบอกไปว่า 3 ร้านนี้เป็นพี่น้องกันและเป็น 3 ตำนานผู้ให้กำเนิดเกี๊ยวซ่าแบบมีปีกเป็นครั้งแรกของคามาตะ พูดอีกอย่างคือของญี่ปุ่น หรือให้ถูกก็คือของโลก รู้สึกอยากลองชิมกันขึ้นมาบ้างยัง
ถัดจากซันโรดก็เป็นถนนริมทางรถไฟชื่อ Bourbon Road (バーボンロード) ตลอดสองฝั่งตรอกแคบๆ นี่คือร้านอิซากายะ บาร์นั่งดื่ม ร้านยากิโทริ ฯลฯ ตอนกลางคืนจะครึกครื้นมาก พ้นจากตรงนี้ไปจะเป็นเส้นทางที่เคยใช้เวลามาเรียนละ
พอเดินลอดทางรถไฟไปนิดเดียวจะเจอกับตึกที่มีป้ายแบบนี้อยู่หลายตึก ร้าน YUZAWAYA เป็นร้านที่ฮิตในกลุ่มคนชอบงานฝีมือมาก พวกผ้าเมตร อุปกรณ์เย็บปักถักร้อย จักรเย็บผ้า อุปกรณ์ทำเครื่องหนัง เครื่องเขียน แล้วก็อุปกรณ์ศิลปะทั้งหลาย ตอนที่เข้าเรียนเซ็มมงแล้วก็มักจะมาซื้อสีน้ำ สีอคริลิก ดินญี่ปุ่น กระดานไม้ พู่กันที่นี่ตลอด
มองย้อนกลับไปทางสถานีจะเห็นชิงช้าสวรรค์หลากสีอยู่บนยอดตึก นี่คือ Kamataen สวนสนุกบนดาดฟ้าแห่งสุดท้ายที่เหลืออยู่ของจังหวัดโตเกียว อยู่บนห้าง TOKYU PLAZA KAMATA
ระหว่างกำลังเดินไปโรงเรียนในเช้าของวันฝนตกวันหนึ่ง ทันทีที่เหยียบบนรางเหล็กปิดทางระบายน้ำตรงหน้าประตูใหญ่นี่พอดี เราก็ลื่นล้มก้นจ้ำเบ้าต่อหน้าซาลารี่แมนนับร้อยที่เดินจากสถานีมาเข้างานกันที่นี่ เจ็บก้นมากแต่ก็ไม่เท่าความอาย เดาได้ว่าตอนนั้นหน้าคงแดงมาก
เส้นทางเลียบทางรถไฟที่ไม่ว่าจะเช้าสายบ่ายเย็นก็มีคนใช้สัญจรไปมา ยิ่งเดินห่างจากสถานีรถไฟมามากเท่าไหร่ ทั้งร้านค้าทั้งความวุ่นวายก็น้อยลงเท่านั้น ถ้าไม่นับเสียงรถไฟวิ่งผ่านเป็นระยะก็ถือว่าเงียบสงบมาก
กร๊าซซซซ!!! อยู่ๆ ไคจูตัวยักษ์ก็ปรากฏตัวออกมากลางสวนสาธารณะ
สวนนิชิรกคุโก ชื่อเล่นคือ ไทยาโคเอ็น แปลว่าสวนยางรถยนต์ นอกจากไคจูที่เหมือนก๊อตซิล่าตัวนี้ ก็ยังมีตัวเล็กอีกหนึ่ง จรวดอีกหนึ่ง แล้วก็หุ่นยนต์อีกหนึ่ง ตอนเย็นๆ กับวันหยุดจะมีพ่อแม่พาเด็กๆ มาเล่นกันเต็มไปหมด
ได้ยินเสียงเจี๊ยวจ๊าวจากทางรางรถไฟ หันไปเห็นพวกเด็กๆ ยืนโบกไม้โบกมืออยู่บนสะพานลอย รถไฟที่กำลังวิ่งมาสองขบวนก็พร้อมใจกันบีบแตรเปิดหวูดเหมือนจะทักทายเด็กๆ กลับยังไงยังงั้น
ครั้งแรกกับตู้ไอศกรีมอัตโนมัติ
ริมบันไดทางขึ้นสะพานลอยมีตู้ขายน้ำขวดกับไอศกรีมอัตโนมัติ จำไม่ได้แล้วว่าตอนนั้นซื้อรสอะไร แต่เป็นครั้งแรกที่ได้ลองซื้อไอศกรีมจากตู้อัตโนมัติ
ชอบกิมมิกเล็กๆ น้อยๆ บนแผงเหล็กกั้นทางเดินที่จะเห็นเป็นรูปปลาเวลามองจากด้านข้าง
อุโมงค์ต้นไม้แสนร่มรื่นบนตรอกแคบๆ จากที่ตอนอยู่ไทยจะขี่จักรยานไม่ค่อยคล่องเท่าไหร่เพราะไม่ค่อยมีโอกาสขี่ แต่พอมาอยู่ญี่ปุ่นปุ๊บคล่องปรื๋อเลยเพราะต้องขี่ผ่านทางแคบอย่างนี้ทุกวัน
ครั้งแรกที่ได้เห็นบ้านหลังนี้นี่รู้สึกทึ่งมาก ส่วนที่แคบสุดนั่นน่าจะแค่ประมาณ 1 เมตรเองมั๊ง สงสัยจังว่าส่วนที่แคบที่สุดนั่นจะเป็นห้องอะไร
ครั้งแรกที่ต้องแก้ผ้าอาบน้ำรวม
ถึงแล้ว หอที่เคยอยู่ ที่ซุกหัวนอนตั้งแต่คืนแรกนับตั้งแต่ถึงญี่ปุ่นไปจนให้หลังอีก 1 ปีครึ่ง มีครั้งแรกของตัวเองอยู่หลายอย่างเหมือนกัน ครั้งแรกที่ได้ออกมาอยู่ที่อื่นที่ไม่ใช่บ้านตัวเองเกิน 2 เดือน ครั้งแรกที่ได้อยู่หอ ครั้งแรกที่ได้ใช้เครื่องซักผ้าหยอดเหรียญ และครั้งแรกที่ต้องแก้ผ้าอาบน้ำรวม!
ครั้งแรกที่ได้เห็นหิมะ
ครั้งแรกในชีวิตที่ได้เห็นหิมะก็ตอนอยู่ที่หอนี่แหละ สำหรับคนที่เกิดและเติบโตมาในเมืองร้อนอย่างไทย หิมะนี่ดูเหมือนจะเป็นอะไรที่ทุกคนอยากจะลองเจอของจริงให้ได้สักครั้ง จำได้ว่าตื่นเต้นมาก
พอเดินมาถึงหอก็จบเส้นทางไปเรียนละ แต่ขอพาเดินเล่นต่อกันอีกหน่อย เดินเลยต่อไปตามทางเลย
พอมาถึงถนนก็เจอสถานีรกคุโกโดเตะ ของรถไฟเคคิว สถานีรถไฟที่อยู่ใกล้หอที่สุด จากตรงนี้เราเดินตรงไปไม่ได้เพราะเป็นส่วนสถานี ให้ข้ามถนนแล้วเดินไปทางซ้ายหน่อยนึงจะเจอทางให้เลี้ยวขวา
พอเดินขึ้นเนินมาปุ๊บก็เจอกับลานโล่งกว้างยาวไปตลอดแนวซ้ายขวา จากในรูปนี่อาจจะมองไม่เห็น แต่ตรงสุดสนามหญ้านั่นคือแม่น้ำทามากาวะ ส่วนตึกสูงๆ ที่เห็นนั่นก็คือฝั่งคาวาซากิ จังหวัดคานากาวะ ไม่ใช่โตเกียวแล้ว เห็นมั๊ยล่ะว่าคามาตะอยู่ใต้สุดของโตเกียวจริงๆ
ตรงนี้เหมือนเป็นพื้นที่อเนกประสงค์ มีสนามเบสบอล สนามกอลฟ์ สนามฟุตบอล ใครก็มาใช้ได้แค่ไปทำเรื่องติดต่อตรงสำนักงาน วันเสาร์อาทิตย์มักจะมีทีมเบสบอลมาแข่งกันประจำ ที่จริงแล้วพื้นที่ตรงนี้ถือเป็นพื้นที่กันน้ำล้นของแม่น้ำ โดยเนินยาวตลอดแนวที่เรายืนอยู่ตอนนี้คือคันกั้นแม่น้ำของจริง เป็นการเอาพื้นที่มาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ดีมาก
ครั้งแรกที่ได้เห็นซากุระบาน
พอเข้าฤดูใบไม้ผลิก็ได้เวลาของดอกซากุระบาน ฝั่งด้านหลังของคันกั้นน้ำเป็นบ้านคนบ้างหละแมนชั่นบ้างหละ แล้วก็มีต้นซากุระปลูกเป็นแถว ดอกซากุระตรงนี้ส่วนใหญ่สีออกชมพูอ่อนเกือบขาว น่าจะพันธุ์โซเมอิโยชิโนะ พูดตามตรงว่าก่อนจะได้มาญี่ปุ่นเนี่ยรู้สึกเฉยๆ กับซากุระมาก แต่พอได้มาเห็นของจริงแล้วก็รู้สึกเหมือนโดนดึงดูดยังไงไม่รู้ ดูดอกซากุระบานเต็มต้นแล้วมันรู้สึกสดชื่น
หลังจากอยู่หอได้ 1 ปีครึ่งก็ย้ายไปอยู่อพาร์ตเมนต์แถวโรงเรียนแทน แต่พอมีเวลาก็จะปั่นจักรยาน 15 นาทีเพื่อมาที่นี่บ่อยๆ พอได้เห็นท้องฟ้ากว้างๆ อย่างนี้แล้วรู้สึกสบายใจ
ยิ่งช่วงใกล้พระอาทิตย์ตกยิ่งสวย แต่ละช่วงปีตำแหน่งพระอาทิตย์ตกก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ดูไม่เคยเบื่อเลย
ครั้งแรกที่ได้เห็นภูเขาไฟฟูจิ
วันที่อากาศดีจะได้เห็นภูเขาไฟฟูจิด้วยนะ ถึงจะเห็นแค่รูปร่างเหมือนเป็นเงาก็เถอะ
สำหรับคนที่อยู่ในเมืองมาตั้งแต่เด็ก มองไปทางไหนก็เจอแต่ตึก พอได้มีมีวิวสวยๆ อย่างนี้ให้ดูทุกวันนี่มันไฮโซสุดๆ ไปเลย
ขากลับอย่าลืมมานั่งรถไฟสีแดงของเคคิวกันนะ อาจจะได้เจอรถไฟขบวนที่ส่งเสียงเพลงตอนรถออกตัวด้วย วันไหนได้นั่งขบวนนั้นจะรู้สึกโชคดีมาก
คามาตะ เมืองเล็กๆ ในความทรงจำ
ในภาษาญี่ปุ่นจะมีสำนวนหนึ่งว่า 住めば都 (sumeba miyako) ถ้าแปลง่ายๆ ก็ความหมายประมาณว่าอยู่ไปก็ชินเอง ถึงจะมาแบบภาษาญี่ปุ่นไม่แข็งแรง สื่อสารยังไม่ค่อยได้ เจอกับวัฒนธรรมประเพณีใหม่ที่ไม่คุ้นชิน เจอกับสภาพบ้านเมืองและผู้คนที่ไม่คุ้นเคย แต่พออยู่ไปสักพัก ความไม่สะดวกสบายทั้งหลายก็หายไป ถึงตอนนี้จะไม่ได้อยู่คามาตะแล้ว แต่ก็รู้สึกเสมอว่าประเทศญี่ปุ่นสำหรับตัวเองแล้วก็หมายถึงคามาตะนี่แหละ
นอกจากนี้ บทความอาจมีลิงก์โฆษณา โปรดพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจซื้อหรือจอง