Start planning your trip

บทความแนะนำข้อมูลที่ควรรู้ไว้เมื่อได้มาเที่ยวเกียวโต (Kyoto) เมืองที่ยังคงหลงเหลือวัฒนธรรมและสถาปัตยกรรมดั้งเดิม ตั้งแต่วิธีการเดินทางไปยังเกียวโต วิธีการเดินทางภายในเกียวโต ข้อมูลจังหวัด แหล่งท่องเที่ยว ไปจนถึงแผนเที่ยวตัวอย่าง
เกียวโต (Kyoto) เป็นเมืองหลวงเก่าของญี่ปุ่นตั้งแต่ปี 794 รวมอายุมากกว่า 1000 ปี โดยเจริญรุ่งเรืองในฐานะที่เป็นศูนย์กลางทางการปกครอง วัฒนธรรม และศาสนาจนกระทั่งย้ายเมืองหลวงมาอยู่ที่โตเกียวในปี 1869 นอกจากในเกียวโตจะยังคงหลงเหลือวัดและศาลเจ้าเก่าแก่ที่สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยก่อนแล้ว ที่นี่ก็ยังคงหลงเหลือวัฒนธรรมในอดีตมากมาย เช่น “ไมโกะ” และ “เกกิ” อีกด้วย ทำให้ทั้งนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติหรือแม้กระทั่งคนญี่ปุ่นเองหลงใหลติดใจไปตามๆกัน เดี๋ยวเรามาเรียนรู้ข้อมูลเกี่ยวกับวัฒนธรรมและแหล่งท่องเที่ยวก่อนเดินทางไปเที่ยวเกียวโตกันดีกว่าค่ะ ^^
1.วิธีการเดินทางไปยังเกียวโต
2.ข้อมูลการเดินทางภายในเมืองเกียวโต
3.ไกด์ข้อมูลเมืองเกียวโต
4.“ศูนย์ประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวเกียวโต” เพื่อนรู้ใจของนักท่องเที่ยว
5.39 แหล่งท่องเที่ยวแนะนำในเกียวโต
6.แผนเที่ยวเกียวโตตัวอย่าง
7.ธรรมชาติและงานเทศกาลในเกียวโต
8.วัฒนธรรมของเกียวโต
9.ช้อปปิ้ง & ของฝากจากเกียวโต
10.โรงแรมในเกียวโต
11.อาหารท้องถิ่น & คาเฟ่แนะนำในเกียวโต
12.สภาพอากาศและเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายที่เหมาะสมในการท่องเที่ยวเกียวโต (+ ข้อมูลเรื่องบุหรี่ในเกียวโต)
13.ข้อมูลที่มีประโยชน์ต่อการท่องเที่ยว
ในครั้งนี้เราจะมาแนะนำวิธีการเดินทางจากสนามบินนาริตะ โตเกียว และสนามบินนานาชาติคันไซเข้าเมืองเกียวโตกันค่ะ ^^
สำหรับใครที่นั่งเครื่องบินมาลงที่สนามบินนาริตะแล้วอยากเดินทางเข้าเมืองเกียวโตเลยโดยไม่ท่องเที่ยวในโตเกียวก็ขอแนะนำให้นั่ง Narita Express ไปยัง Tokyo Station หรือ Shinagawa Station แล้วนั่งชินคันเซ็นเข้าเมืองเกียวโตได้เลย
【สนามบินนาริตะ】→(Narita Express)→【Tokyo Station หรือ Shinagawa Station】→(ชินคันเซ็น)→【เกียวโต】
ค่าโดยสาร Narita Express จากสนามบินนาริตะไปยังโตเกียว 2,820 เยน หรือไปยังชินากาว่า 2,990 เยน ส่วนค่าโดยสารชินคันเซ็นจากโตเกียวหรือชินากาว่าไปยังสถานีเกียวโต 13,080 เยน (ที่นั่งอิสระ) โดยใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง 30 นาที ค่าโดยสารรวมประมาณถึง 16,000 เยน ก็จริง แต่ทั้ง Narita Express และชินคันเซ็นสามารถใช้ตั๋ว Japan Rail Pass ที่สามารถใช้บริการรถบัสและรถไฟทั่วญี่ปุ่น (เฉพาะของบริษัท JR) อย่างไม่จำกัดได้นะจ๊ะ...
สำหรับใครที่ต้องการเดินทางไกล เช่น จากโตเกียวเข้าเมืองเกียวโต จึงขอแนะนำให้จองตั๋ว Japan Rail Pass เอาไว้ล่วงหน้าจะดีที่สุด
การเดินทางจากโตเกียวไปยังสถานีเกียวโตมี วิธีการเดินทางด้วยชินคันเซ็นและรถบัสกลางคืน
วิธีการเดินทางจากโตเกียวเข้าเมืองเกียวโตที่สะดวกสบายที่สุดก็ต้องยกให้ “ชินคันเซ็น” เลยค่ะ ถ้าเกิดนั่งชินคันเซ็น Nozomi จากสถานีโตเกียวไปยังสถานี JR เกียวโตใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง 20 นาที ค่าโดยสาร 13,080 เยน / เที่ยว (ข้อมูล ณ ปัจจุบัน เดือนสิงหาคม ปี 2016) เนื่องจากภายในขบวนรถไฟมีการประกาศเป็นภาษาอังกฤษด้วย นักท่องเที่ยวอย่างเราๆจึงสบายใจหายห่วง
สำหรับใครที่อยากได้ตั๋วเดินทางทั้งไปและกลับในราคาประหยัด ขอแนะนำตั๋วแบบ JR Flex Rail Ticket ที่เป็นตั๋วชุดมาพร้อมทั้งขาไปและขากลับ ซึ่งเลือกวันกลับได้ภายในเวลา 7 วัน แถมยังมีส่วนลดกิจกรรมหรือร้านอาหารอีกด้วย ขอเพียงมีพาสปอร์ตต่างชาติก็สามารถซื้อใช้ได้ค่ะ
สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมและจองได้ที่นี่เลย
จองตั๋วชินคันเซ็น : Voyagin>
สำหรับใครที่กำลังมองหาวิธีการเดินทางจากโตเกียวเข้าเมืองเกียวโตที่ถูกกว่าชินคันเซ็นก็ขอแนะนำเป็น “รถบัสกลางคืน” สถานีรถบัสกลางคืนหลักๆแล้วจะอยู่ที่ “สถานีรถบัส JR Tokyo Station ประตูฝั่งยาเอสุ” และ “สถานีรถบัส JR Shinjuku Station ประตูฝั่งใต้” จากสถานีชินจุกุหรือสถานีโตเกียวเข้าเมืองเกียวโตใช้เวลาประมาณ 7 – 9 ชั่วโมง ค่าโดยสารเฉลี่ย 6,000~9,000 เยน
วิธีการเดินทางจากโตเกียวไปยังเกียวโตที่ดีที่สุด
การเดินทางจากสนามบินนานาชาติคันไซเข้าเมืองเกียวโตมีหลายวิธี แต่มีวิธีที่สะดวกและไม่ต้องเปลี่ยนรถอยู่ 2 วิธีด้วยกัน
เส้นทางจากสนามบินนานาชาติคันไซเข้าเมืองเกียวโตโดยไม่ต้องเปลี่ยนขบวนก็คือวิธีการนั่ง「Kanku Limited Express Haruka」นั่นเอง โดยเราสามารถซื้อตั๋วได้จากเคาน์เตอร์จำหน่ายตั๋วภายในสถานีรถไฟหลักๆของ Keihanshin และบริษัททัวร์ชั้นนำทั่วไป
ค่าโดยสาร:ที่นั่งอิสระ 2,770 เยน(1,830 เยน + 940 เยน)ระบุที่นั่ง 3,080 เยน(1,830 เยน + 1,250 เยน) ※ ตั๋วรถไฟ 1,830 เยน และตั๋วด่วนรวมที่นั่ง
ระยะเวลาในการเดินทาง:ค่าโดยสารประมาณ 3,000 เยน จากสนามบินนานาชาติคันไซไปยังสถานีเกียวโตใช้เวลาราว 80 นาที
จากสถานีรถบัสภายในสนามบินนานาชาติคันไซจะมี ลีมูซีนบัสไปส่งหน้าสถานีเกียวโต วิ่งให้บริการ
ค่าโดยสาร:2,550 เยน ระยะเวลาในการเดินทาง:1 ชั่วโมง 30 นาที
ง่ายเหลือเชื่อ! ว่าด้วยเส้นทางจากสนามบินนานาชาติคันไซ มุ่งหน้าเข้าเมืองเกียวโต 2 เส้นทาง
ภายในเกียวโตมีระบบขนส่งสาธารณะวิ่งให้บริการมากมายไม่ว่าจะเป็น Kyoto Municipal Subway เช่น JR West Japan Railway, Kintetsu Kyoto Line, Hankyu Kyoto Line, Keihan Main Line, Eizan Electric Railway, Municipal Bus และ Kyoto Bus เป็นต้น
สำหรับใครที่อยากตระเวนเที่ยวแหล่งท่องเที่ยวหลายแห่งภายในเมืองเกียวโตก็ขอแนะนำให้ใช้ ตั๋ว 1-day (2-day) Pass Ticket สำหรับท่องเที่ยวเกียวโต จะสะดวกที่สุด โดยเป็นตั๋วที่สามารถใช้ขึ้น-ลง Kyoto City Bus, Municipal Subway และ Kyoto Bus ได้เกือบทุกสายภายในระยะเวลา 1 วัน หรือติดต่อกัน 2 วัน แหล่งท่องเที่ยวหลักๆส่วนใหญ่ภายในเมืองเกียวโตก็สามารถใช้ตั๋วนี้ตระเวนเที่ยวได้อย่างสบายๆ แถมยังมีไกด์แมพพร้อมสิทธิพิเศษแถมมาให้ด้วยนะเออ...
เราสามารถซื้อตั๋วได้จากตู้จำหน่ายตั๋วอัตโนมัติภายในสถานีรถไฟใต้ดิน, สำนักงานรถบัสเมือง, เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์รถบัสเมืองและรถไฟใต้ดิน, สำนักงานรถบัสเกียวโต (อาราชิยาม่าและทาคาโนะ), เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ (Demachiyanagi Station) และ Kyotokan (เกียวโตคัง) ในโตเกียว ราคา1-day Pass Ticket ผู้ใหญ่ 1,200 เยน เด็กเล็ก 600 เยน 2-day Pass Ticket ผู้ใหญ่ 2,000 เยน เด็กเล็ก 1,000 เยน
ตะลอนทั่วเกียวโตด้วยบัตรรถบัสเกียวโตแบบเหมาทั้งวันสุดคุ้ม!
ส่วนพาหนะแนะนำอันดับ 1 ในการท่องเที่ยวเกียวโตเลยก็คือ “รถบัสเมือง” นั่นเอง ถ้าเกิดมีตั๋ว 1-day Pass Ticket จะยิ่งคุ้มสุดๆ เพราะว่าเราสามารถขึ้น-ลงรถบัสที่วิ่งให้บริการภายในเมืองเกียวโตได้อย่างไม่จำกัดเลยทีเดียว “1-day Pass Ticket สำหรับรถบัสเมือง” สามารถหาซื้อได้จากเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์รถบัสเมืองและรถไฟใต้ดิน, เคาน์เตอร์จำหน่ายตั๋วเดือน, เคาน์เตอร์จำหน่ายตั๋วรถไฟใต้ดิน และภายในรถบัสเมือง สำหรับใครที่กำลังหาซื้อตั๋วสุดคุ้มอยู่ เมื่อเดินทางมาถึงสถานีเกียวโตแล้วก็มุ่งหน้าไปยังเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์รถบัสเมืองและรถไฟใต้ดินกันก่อนเลย
ราคา ผู้ใหญ่ 500 เยน เด็ก 250 เยน สำหรับเส้นทางไปยัง Takao, Katsura・Rakusei, Iwakura・Shugakuin และ Ohara นั้นอยู่นอกขอบเขตการใช้งาน จึงจำเป็นต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม
และพาหนะที่ขาดไม่ได้ในการตระเวนเที่ยวแหล่งท่องเที่ยวในเกียวโตเลยก็คือ “รถไฟใต้ดินเกียวโต” นี่แหละ โดยประกอบด้วย Karasuma Line และ Tozai Line เราสามารถเดินทางไปยังแหล่งท่องเที่ยวขึ้นชื่อต่างๆได้ เช่น Kyoto Imperial Palace (พระราชวังอิมพีเรียลเกียวโต), Honnō-ji (วัดฮอนโนจิ), Nijō Castle (ปราสาทนิโจ) และ Heian Shrine (ศาลเจ้าเฮอัน) เป็นต้น สำหรับใครที่ต้องการท่องเที่ยวโดยใช้บริการรถไฟใต้ดินก็ขอแนะนำให้ใช้ “ตั๋ว 1-day Pass Ticket สำหรับรถไฟใต้ดิน” จะสะดวกสุดๆ โดยเราสามารถหาซื้อได้จากเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์รถบัสเมืองและรถไฟใต้ดิน, เคาน์เตอร์จำหน่ายตั๋วเดือน และเคาน์เตอร์จำหน่ายตั๋วรถไฟใต้ดินทุกสถานี
ราคา ผู้ใหญ่ 600 เยน เด็กเล็ก 300 เยน สำหรับรายละเอียดสามารถเข้าไปดูได้จาก โฮมเพจ ของกรมขนส่งเมืองเกียวโต
ในเกียวโตมีรถไฟวิ่งให้บริการมากมายทั้ง JR West Japan Railway, Kintetsu Kyoto Line, Hankyu Kyoto Line, Keihin Main Line และ Eizan Electric Railway เนื่องจากรถไฟไม่ได้วิ่งให้บริการภายในเมืองเกียวโต จึงใช้ในการเดินทางท่องเที่ยวที่อาราชิยาม่าและฮิเอในเกียวโตแทน
“รถราง” หนึ่งเดียวในเมืองเกียวโตที่วิ่งให้บริการจาก Shijo-Omiya Station ของ Keifuku Train ไปจนถึง Keifuku Arashiyama Station เรียกว่า “Randen” สองฟากฝั่งตลอดเส้นทางรถรางนอกจากอาราชิยาม่าแล้วก็เรียงรายไปด้วยวัดมากมาย เช่น Tenryū-ji (วัดเท็นริวจิ), Ryōan-ji (วัดเรียวอันจิ) และ Ninna-ji (วัดนินนาจิ) เป็นต้น Randen เป็นรถรางรูปแบบขึ้นด้านหลัง-ลงด้านหน้า โดยจะต้องขึ้นจากประตูตรงกลางขบวนและจ่ายเงินตอนลงที่ประตูหน้า ค่าโดยสาร 200 เยนตลอดสาย
“ย่านกิอง・ฮิกาชิยามะ” แหล่งรวมวัฒนธรรมดั้งเดิมของญี่ปุ่นแห่งนี้เป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวห้ามพลาดเมื่อได้มาเที่ยวเกียวโตเลยทีเดียว ย่านกิองที่อบอวลไปด้วยประวัติศาสตร์ไม่ได้เป็นแค่แหล่งท่องเที่ยวเท่านั้น แต่ยังเต็มไปด้วยกิจกรรมสัมผัสวัฒนธรรมดั้งเดิมของญี่ปุ่นมากมาย เช่น กิจกรรมแต่งตัวเป็นไมโกะและกิจกรรมทำขนมญี่ปุ่น เป็นต้น
ย่านชิโจคาวารามาจิ・คาราสึมะ・โอมิยะ เป็นแหล่งท่องเที่ยวแนะนำสำหรับใครที่กำลังหาซื้อของฝากเลยค่ะ บน Teramachi Street (ถนนทารามาจิ) ยอดนิยมในหมู่นักศึกษาที่ตั้งอยู่บน Shijō Street (ถนนชิโจ) แหล่งรวมห้างสรรพสินค้าและศูนย์การค้าแห่งนี้เต็มไปด้วยร้านจำหน่ายของจิปาถะและของฝากมากมาย นอกจากนี้ Ponto-chō (ปอนโตะโจ) ที่ทอดยาวเลียบแม่น้ำคาโมะก็เรียงรายไปด้วยร้านอาหารสุดเก๋ไก๋ที่รีโนเวทมาจากอาคารบ้านเรือนของชาวเมืองอีกด้วย เมื่อตกกลางคืนจะมีการเปิดโคมไฟสว่างไสวให้บรรยากาศโรแมนติกสุดๆ
"ย่านคิตายามะ” เป็นย่านสุดเก๋ไก๋สไตล์โมเดิร์นแตกต่างจากเมืองศูนย์กลางที่ยังคงหลงเหลืออาคารบ้านเรือนสไตล์ดั้งเดิม โดยอบอวลไปด้วยบรรยากาศที่สาวๆจะต้องถูกใจกันอย่างแน่นอน ทั้งร้านอาหารและคาเฟ่สุดเก๋ไก๋ นอกจากนี้ ในย่านคิตาโนะก็ยังเป็นที่ตั้งของศาลเจ้าขึ้นชื่อระดับโลกอย่าง「Kitano Tenmangū (ศาลเจ้าคิตาโนะเท็มมังงู)」ที่สักการะบูชาเทพเจ้าแห่งวิชาการด้วย ทำให้มีเหล่านักเรียน-นักศึกษาแวะเวียนกันมากราบไหว้บูชามากมาย
ย่านอาราชิยามะ・อุสึมาสะ ที่ตั้งอยู่ห่างจากเมืองเกียวโตเล็กน้อยแห่งนี้เป็นแหล่งชมทัศนียภาพทางธรรมชาติอันงดงามของเกียวโต โดยเฉพาะในฤดูใบไม้เปลี่ยนสีจะยิ่งงดงามเป็นพิเศษ ทำให้คึกคักไปด้วยนักท่องเที่ยวมากมาย
Kyoto Station ที่เป็นโครงสร้างเหล็กซ้อนกันเป็นลายตารางสไตล์อนาคตแห่งนี้นับเป็นประตูสู่เกียวโตต้อนรับนักท่องเที่ยวเลยทีเดียว นอกจากรูปร่างหน้าตาอันสวยงามแล้วภายในสถานีเกียวโตก็ยังประกอบด้วยห้างสรรพสินค้าและแหล่งช้อปปิ้งอันกว้างใหญ่ด้วย จึงเหมาะสำหรับการหาซื้อของฝากเป็นอย่างยิ่ง นอกจากนี้ บริเวณโดยรอบสถานีก็ยังเรียงรายไปด้วยศูนย์วัฒนธรรมและร้านขายส่งเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดใหญ่อย่างโยโดบาชิคาเมร่าและอิออนด้วย
Fushimi Inari-taisha (ศาลเจ้าฟุชิมิอินาริไทฉะ) ที่โด่งดังเรื่องเสาโทริอิกว่า 1 พันต้นแห่งนี้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในย่านฟุชิมิ สำหรับใครที่วางแผนเดินทางมาเยือนย่านอุจิแห่งนี้ก็อย่าลืมแวะมาเที่ยว Byōdō-in (วัดเบียวโดอิน) สถาปัตยกรรมทางประวัติศาสตร์ขึ้นชื่อที่ปรากฏอยู่บนเหรียญ 10 เยนกันด้วยเนอะ ส่วน “ย่านอุจิ” เป็นย่านที่มีชื่อเสียงในฐานะที่เป็นแหล่งผลิตชาเขียว
ไกด์นำเที่ยวเกียวโตตั้งแต่วิธีการเดินทางยันไฮไลท์แนะนำ
สำหรับใครที่มีข้อสงสัย ความลำบาก หรือมีแผนอยากเที่ยวที่ไหนในเกียวโตก็ลองแวะมาสอบถามที่ “Kyoto Tourist Information Center” หรือ “Tourist Information-Kyoto City Center” ที่ตั้งอยู่ในคาวารามาจิได้เลย
「Kyoto Tourist Information Center」ที่ตั้งอยู่ในสถานีเกียวโตนั้นสามารถเดินทางมาถึงได้โดยออกจากช่องตรวจตั๋วฝั่งตะวันตกบนชั้น 2F แล้วเลี้ยวขวา ต่อจากนั้นก็เดินต่อไปอีกประมาณ 30 วินาทีก็ถึงแล้วล่ะค่ะ ที่นี่เป็นศูนย์ให้คำแนะนำเกี่ยวกับแผนเที่ยวและวิธีการเดินทางไปยังแหล่งท่องเที่ยวต่างๆสำหรับคนญี่ปุ่นและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ เนื่องจากมีพนักงานที่สามารถสื่อสารภาษาญี่ปุ่น ภาษาอังกฤษ ภาษาจีน ภาษาเกาหลีใต้ และภาษาเกาหลีเหนือได้ นักท่องเที่ยวอย่างเราๆจึงสบายใจหายห่วง
โดยเป็นการบริหารร่วมกันระหว่างจ.เกียวโตและเมืองเกียวโต ที่นี่มีทั้งแผนที่เมืองเกียวโตและแผ่นพับงานอีเว้นท์ของเกียวโตจัดเตรียมเอาไว้ให้อย่างครบครัน นอกจากเราจะได้รับคำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการเดินทางไปยังแหล่งท่องเที่ยวต่างๆแล้วก็ยังมีตั๋วงานอีเว้นท์ตามฤดูกาล เช่น Haru no Odori จัดเตรียมเอาไว้ให้ด้วย แถมเจ้าหน้าที่ยังสามารถให้คำแนะนำเรื่องโรงแรมและเกสต์เฮ้าส์ได้ด้วยนะเออ...
Kyoto Tourist Information Center
ที่อยู่:8-3 Higashishiokōji Takakurachō, Shimogyō-ku, Kyōto-shi, Kyōto-fu
เวลาเปิดทำการ:08:30~19:00 น.
วัดหยุด:ไม่มีตลอดปี
Tourist Information-Kyoto City Center ที่ตั้งอยู่ในคาวารามาจิสามารถเดินทางมาถึงได้โดยเดินจากสี่แยกไฟแดงย่านชิโจคาวารามาจิขึ้นไปทางฝั่งเหนือของถนนคาวารามาจิประมาณ 5 นาทีก็ถึงแล้วล่ะค่ะ ที่นี่เป็นศูนย์ให้คำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการเดินทางไปยังแหล่งท่องเที่ยวต่างๆในเกียวโตเหมือนกับ Kyoto Tourist Information Center นั่นแหละ
โดยจะมีพนักงานคอยให้คำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการเดินทางไปยังแหล่งท่องเที่ยวภายในเมืองเกียวโต เช่น Kinkaku-ji (วัดคินคาคุจิ), Kiyomizu-dera (วัดคิโยมิสึ), Shimogamo Shrine (ศาลเจ้าชิโมกาโมะ), ย่านร้านค้าในบริเวณใกล้เคียง เช่น ชิโจ, คาวารามาจิ, ตลาดนิชิกิ, ชินเคียวโกคุ, ถนนเทรามาจิ และสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับซากาโมโตะ เรียวมะ เป็นต้น แถมยังให้คำแนะนำเกี่ยวกับร้านค้าขึ้นชื่อในเกียวโต เช่น โรงงานสัมผัสประสบการณ์และร้านอาหาร ด้วยเราจึงสามารถเพลิดเพลินกับการท่องเที่ยวเกียวโตได้อย่างเต็มที่
Tourist Information-Kyoto City Center
ที่อยู่ : 339 Shioyacho Kawaramachi Tatoyakushi Sagaru, Nakagyo-ku, Kyoto , Kyoto Prefecture
เวลาเปิดทำการ:10:00~18:00 น.
วันหยุด:ทุกวันอังคารและ 29 ธันวาคม – 3 มกราคม
นอกจากนี้ก็ยังมีจำหน่ายตั๋วท่องเที่ยวแสนสะดวกสำหรับการท่องเที่ยวเกียวโตอย่างตั๋ว 1-day Pass Ticket ของกรมขมส่งเมืองเกียวโต, คูปองลดราคาช่วงกลางวัน และ Traffica Kyo Card อีกด้วย สำหรับใครที่อยากรู้ข้อมูลการท่องเที่ยวเกียวโตมากกว่านี้ก็สามารถแวะเข้าไปสอบถามได้ที่ Kyoto Tourist Information Center หรือ Tourist Information-Kyoto City Center ได้เลยเนอะ
ตัวช่วยที่ทำให้อุ่นใจของนักท่องเที่ยว「ศูนย์ข้อมูลข่าวสารสำหรับนักท่องเที่ยวเกียวโต」
“เกียวโต” เป็นเมืองท่องเที่ยวที่ติดอันดับต้นๆของเมืองท่องเที่ยวทั่วโลกเลยทีเดียว ในครั้งนี้เราก็ได้รวบรวมแหล่งท่องเที่ยวห้ามพลาดเมื่อได้มาเที่ยวโตเกียวไม่ว่าจะเป็นวัดหรือศาลเจ้าที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกมาไว้ที่นี่เรียบร้อยแล้วล่ะค่ะ ^^
แน่นอนว่า “วัด” เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในการท่องเที่ยวเกียวโต ในเกียวโตเต็มไปด้วยวัดชื่อเสียงโด่งดังไกลไปทั่วโลก เช่น Kiyomizu-dera (วัดคิโยมิสึ), Kinkaku-ji (วัดคินคาคุจิ) และ Ginkaku-ji (วัดกินคาคุจิ) รวมถึงวัดที่มีประวัติความเป็นมาอันยาวนานอีกมากมาย เช่น Tō-ji (วัดโทจิ) และ Tenryū-ji (วัดเท็นริวจิ) เป็นต้น วัดและศาลเจ้าในญี่ปุ่นบางแห่งก็ห้ามสวมหมวกหรือแว่นกันแดดเข้าไปและห้ามถ่ายรูปโบสถ์หรือวิหารหลักด้วย ยังไงก็ช่วยรักษากฎกติกามารยาทกันด้วยนะจ๊ะ...
Tō-ji (วัดโทจิ) เป็นวัดพุทธนิกายชินงอนซึ่งมีชื่อที่รู้จักอย่างเป็นทางการว่า “เคียวโอโกโคคุจิ” โดยสร้างขึ้นเมื่อปีค.ศ. 796 พระโคโบ ไดชิ (คูไค) ได้เข้ามาดำเนินการต่อเติมและพัฒนาวัดตามพระบัญชาของจักรพรรดิซากะ หอประชุมซึ่งเป็นที่ประดิษฐานของพระไวโรจนพุทธะในรูปแบบมันดาลา 3 มิติเป็นอะไรที่สุดยอดมากค่ะ สำหรับรายละเอียดสามารถเข้าไปอ่านได้จาก วัดโทจิ -กว่า 1200 ปีที่ผสมผสานเทคโนโลยีล่าสุดเข้ากับประวัติศาสตร์อันยาวนาน-
Kinkaku-ji (วัดคินคาคุจิ) แห่งนี้มีชื่อทางการว่า “โรคุออนจิ” โดยตั้งอยู่ในคินุกาสะ เขตคิตะ จ.เกียวโต แต่เดิมแล้วสร้างขึ้นมาเพื่อใช้เป็นบ้านพักตากอากาศของโชกุนรุ่นที่ 3 “อาชิคางะ โยชิมิตสึ” ในปี 1397 “หอสามชั้น” ซึ่งเป็นพระบรมสารีริกธาตุที่สักการะบูชาพระพุทธเจ้านั้นมีการปิดแผ่นทองคำภายใน โดยความงดงามของสีทองระยิบระยับตรงข้ามบ่อน้ำดึงดูดผู้คนให้มาเที่ยวกันมากมาย
Ginkaku-ji (วัดกินคาคุจิ) แห่งนี้มีชื่อเรียกทางการว่า “จิโชจิ” แต่เดิมแล้วสร้างขึ้นมาเพื่อใช้เป็นบ้านพักตามชายเขาของโชกุน “อาชิคางะ โยชิมาสะ” โดยแสดงแก่นแท้ของวัฒนธรรมฮิกาชิยามะออกมาเป็นอย่างดีผ่านความละเอียดประณีตแบบเรียบง่ายตรงข้ามกับความโดดเด่นของวัดคินคาคุจิ
Kiyomizu-dera (วัดคิโยมิสึ) เป็นวัดชั้นนำที่มีประวัติความเป็นมายาวนานของญี่ปุ่นที่สร้างขึ้นในปีค.ศ. 778 โดยมีไฮไลท์อยู่ที่ จุดชมวิวที่สร้างด้วยไม้ที่เรียกว่า“จิโกกุโดเมะ” ซึ่งสามารถชมวิวเมืองเกียวโตอันแสนงดงามได้นี่แหละ ภายในวัดเป็นที่ตั้งของน้ำพุ “โอโตวะโนะทาคิ” โดยผู้คนเชื่อว่าศักดิ์สิทธิ์ในเรื่องช่วยให้ประสบความสำเร็จด้านการเรียน ความรัก และอายุยืนยาว
Eikan-dō (วัดเอคันโด) เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “เซ็นรินจิ” ตั้งอยู่ในเอคันโดโจ เขตซาเคียว โดยสร้างขึ้นเมื่อปีค.ศ. 863 ที่นี่เป็นวัดที่มีประวัติความเป็นมายาวนานถึงขนาดปรากฏอยู่ใน Kokin Wakashū หนังสือรวมบทกลอนญี่ปุ่นในอดีตเลยทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฤดูใบไม้ร่วงนั้นมีความงดงามมาก แถมในตอนกลางคืนก็ยังมีการไลท์อัพด้วยนะเออ... ส่วนพระประธานคือ “พระอมิตาภพุทธะปางยืน” ซึ่งมีลักษณะค่อนข้างแปลกคือยืนหันหน้ามาทางผู้ที่มากราบไหว้สักการะเหมือนต้องการพูดคุยด้วย
Tōfuku-ji (วัดโทฟุกุจิ) เป็นการัน (สถานที่อันแสนเงียบสงบซึ่งมีพระปฏิบัติธรรมอาศัยอยู่รวมกัน) ที่ใหญ่ที่สุดในเกียวโตที่สร้างขึ้นในปี 1255 โดยใช้เวลาในการก่อสร้างนานถึง 19 ปี ใบไม้เปลี่ยนสีที่สามารถชมได้จากบนสะพานซือเท็นบาชินั้นเป็นทัศนียภาพอันงดงามจนแทบลืมหายใจเลยทีเดียว นอกจากนี้ ที่นี่ก็ยังโด่งดังเรื่อง “สวน” ด้วย เราสามารถนั่งแท็กซี่มาจากสถานีเกียวโตได้โดยใช้เวลาประมาณ 10 นาที
Tenryū-ji (วัดเท็นริวจิ) ในอาราชิยามะเป็นวัดเซ็นนิกายรินไซที่สร้างขึ้นโดย “อาชิคางะ ทาคาอุจิ” ในปี 1339 “สวนโซเก็นจิ” ที่สร้างขึ้นโดยพระเซ็น “มุโซ โซเซกิ” นั้นได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นร่องรอยทางประวัติศาสตร์แห่งแรกของญี่ปุ่นและแหล่งชมทัศนียภาพอันงดงามอีกด้วย ภาพมังกรที่วาดบนเพดานหอประชุมของวัดนั้นไม่ว่าจะดูจากทางไหนก็ดูเหมือนกำลังโดนจ้องมองอยู่ตลอดเวลาเลยทีเดียว บอกเลยว่าดูขลังทรงพลังมากค่ะ ^^
Kōryū-ji (วัดโคริวจิ) เป็นวัดที่เก่าแก่ที่สุดในเกียวโตซึ่งสร้างขึ้นในปีค.ศ. 603 โดยมีพระประธานเป็น “เจ้าชายโชโตกุ” พระศรีอริยเมตไตรยปางนั่งบนแท่นประทับห้อยขาซ้ายและพาดเท้าขวาเอาไว้บนขาซ้ายที่สร้างด้วยไม้นั้นเป็นสมบัติของชาติอันดับ 1 เลยทีเดียว โดยมีสีหน้าอมยิ้มอ่อนๆดูมีเสน่ห์มาก ส่วนบริเวณใกล้เคียงเป็นที่ตั้งของ “Toei Kyoto Studio Park” สวนสนุกสำหรับถ่ายหนังย้อนยุค ยังไงก็อย่าลืมแวะไปชมกันให้ได้นะคะ
อ้างอิง:รวมรูปภาพเกียวโตฟรี
Nanzen-ji (วัดนันเซ็นจิ) คือ วัดศูนย์กลางของนิกายรินไซที่ตั้งอยู่ในเขตซาเคียว เมืองเกียวโต โดยเป็นแหล่งชมซากุระและใบไม้เปลี่ยนสีขึ้นชื่อ ทำให้มีผู้คนเดินทางมาเยี่ยมชมกันมากมายในฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง
อ้างอิง:รวมรูปภาพเกียวโตฟรี
ภายในบริเวณวัดเป็นที่ตั้งของประตูซัมมงแสนสง่างาม, สวนหินโฮโจหรือที่เรียกว่าคาเรซันซุย และนันเซ็นอินซึ่งได้รับเลือกให้เป็น 1 ใน 3 สวนทางประวัติศาสตร์อันงดงามของเกียวโต แถมในบริเวณใกล้เคียงก็ยังมีวัดและศาลเจ้าอย่างวัดกินคาคุจิ, ศาลเจ้าเฮอัน และเอคังโคโดด้วย สำหรับใครที่เดินทางมาเที่ยวเขตซาเคียวก็ต้องแวะมาชมกันให้ได้ค่ะ ^^
Daitoku-ji (วัดไดโตคุจิ) ซึ่งว่ากันว่าเป็นวัดที่มีความเกี่ยวข้องอย่างลึกซึ้งกับธรรมเนียมการชงชาแห่งนี้เป็นวัดนิกายรินไซที่สร้างขึ้นในปีค.ศ. 1315 เนื่องจากมีพระชื่อดังมากมายร่ำเรียนมาจากที่นี่ จึงเจริญรุ่งเรืองในฐานะที่เป็นแหล่งส่งผ่านวัฒนธรรมพุทธศาสนาไปโดยปริยาย ดังนั้น ที่นี่จึงยังคงหลงเหลือมรดกทางวัฒนธรรมเอาไว้มากมายแม้ในปัจจุบัน เช่น สถาปัตยกรรม สวน ภาพวาดฝาผนัง อุปกรณ์ชงชา และภาพวาดจากประเทศจีน เป็นต้น
นอกจากนี้ บริเวณใกล้กับวัดไดโตคุจิก็ยังเป็นที่ตั้งของ Chado Research Center Galleries ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์รวมข้อมูลเกี่ยวกับการชงชาและอุราเซ็งเกะด้วย โดยเราสามารถเพลิดเพลินกับกิจกรรมชงชาได้ที่นี่เลย สำหรับใครที่สนใจในวัฒนธรรมการชงชาญี่ปุ่นบอกเลยว่าสวรรค์!
อ้างอิง:รวมรูปภาพเกียวโตฟรี
Daigo-ji (วัดไดโกจิ) คือ วัดนิกายชินงอนที่สร้างขึ้นในปีค.ศ. 874 โดยได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก วัดมีพื้นที่กว้างใหญ่กว่า 2 ล้านทสึโบะ (ประมาณ 661,200 ตารางเมตร) บนภูเขาไดโกะ โดยเป็นสถานที่ที่ “โทโยโทมิ ฮิเดโยชิ” นายพลยุคเซ็งโกคุจัดงานชมดอกซากุระ “ไดโกะโนะฮานามิ” อย่างยิ่งใหญ่ แม้ในปัจจุบันก็ยังคงมีชื่อเสียงในฐานะที่เป็นแหล่งชมซากุระขึ้นชื่ออยู่เหมือนเดิม ภายในวัดเป็นที่ตั้งของสถาปัตยกรรมวัด “Sanbō-in” ซึ่งเกี่ยวข้องกับโทโยโทมิ ฮิเดโยชิและสมบัติของชาติอย่างเจดีย์ห้าชั้นซึ่งส่วนใหญ่ล้วนเป็นมรดกอันล้ำค่าทางประวัติศาสตร์ทั้งนั้น
Myōken-ji Temple (วัดเมียวเค็นจิ) คือ วัดศูนย์กลางของนิกายนิชิเร็นซึ่งตั้งอยู่ในเขตคามิเกียว เมืองเกียวโต จ.เกียวโต โดยโด่งดังมาจากภายในวัดเป็นที่ตั้งของเจดีย์ทัตจูกว่า 9 หลังนี่แหละ เราสามารถเดินมาจาก Kyoto Municipal Subway “Imadegawa station” ได้โดยใช้เวลาประมาณ 10 นาที
Ryōan-ji (วัดเรียวอันจิ) เป็นวัดนิกายรินไซที่ตั้งอยู่ในเขตอุเคียว เมืองเกียวโต จ.เกียวโต โดยได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในฐานะที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรมแห่งเมืองเก่าเกียวโต ที่นี่โด่งดังเรื่องสวนหินที่สร้างขึ้นมาจากหินและทรายขาวเท่านั้น แถมที่นี่ยังมีไฮไลท์อยู่ที่ซากุระในฤดูใบไม้ผลิและใบไม้เปลี่ยนสีในฤดูใบไม้ร่วงด้วย
Shingyo-ji Temple (วัดชินเกียวจิ) คือ วัดนิกายโจโดะที่ตั้งอยู่ในเขตซาเคียว เมืองเกียวโต จ.เกียวโต แม้ในปัจจุบันก็ยังคงหลงเหลือภาพดอกไม้กว่า 167 ดอกที่ Itō Jakuchū ศิลปินชื่อดังชาวญี่ปุ่นเป็นคนวาดขึ้นบนเพดานวัด โดยไม่ได้มีแค่พืชพรรณสไตล์ญี่ปุ่นอย่างดอกเบญมาศหรือดอกบัวเท่านั้น แต่ยังมีภาพของพืชพรรณที่นำเข้าจากโปรตุเกสและเนเธอร์แลนด์มาในญี่ปุ่นในสมัยเอโดะอย่างต้นกระบองเพชรและทานตะวันอีกด้วย บอกเลยว่าแค่ได้มองก็เพลินแล้วล่ะค่ะ
อ้างอิง:รวมรูปภาพเกียวโตฟรี
Nishi-Hongan-ji Temple (วัดนิชิฮอนกันจิ) คือ วัดศูนย์กลางของนิกายโจโดะซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก โดยตั้งอยู่ในเขตชิโมะเคียว เมืองเกียวโต ภายในวัดนอกจากจะมีสมบัติของชาติอย่างประตูคารามงแล้วก็ยังเรียงรายไปด้วยสถาปัตยกรรมที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกทางวัฒนธรรมอันล้ำค่า เช่น โบสถ์มิเอโด (ไดชิโด) และโบสถ์อามิดะ (โบสถ์หลัก) อีกด้วย รับรองว่าทุกคนจะต้องประทับใจในความขลังและสง่างามกันอย่างแน่นอน แถมยังเปิดให้เข้าชมฟรีอีกต่างหาก
Seiryō-ji (วัดเซริวจิ) คือ วัดนิกายโจโดะที่ตั้งอยู่ในย่านซากะ เขตอุเคียว เมืองเกียวโต จ.เกียวโต โดยมีชื่อเสียงเรื่องเป็นสถานที่ประดิษฐานของสมบัติของชาติอย่างพระศากยมุนีพุทธเจ้าปางยืนที่ทำมาจากไม้นี่แหละ ส่วนบริเวณโดยรอบเต็มไปด้วยแหล่งท่องเที่ยวมากมายไม่ว่าจะเป็นวัดโฮเคียวอิน, ซากาโนะ, เอ็นริอัน, ราคุชิฉะ และ พิพิธภัณฑ์ The Kyoto Arashiyama Orgel Museum
Rokkaku-dō (วัดรคคาคุโด) เป็นวัดที่ว่ากันว่าเจ้าชายโชโตคุสร้างขึ้นในปี 587 โดยโด่งดังในฐานะที่เป็นแหล่งต้นกำเนิดวัฒนธรรมอิเคบานะหรือการจัดดอกไม้นั่นเอง ส่วนภายในวัดเป็นที่ตั้งของห้องเรียนและสำนักสำหรับฝึกอบรมการจัดดอกไม้เพื่อส่งเสริมการเผยแพร่วัฒนธรรมอิเคบานะ
Hōnen-in (วัดโฮเน็นอิน) เป็นวัดที่ตั้งอยู่ในย่านชิชิกาทานิ เขตซาเคียว เมืองเกียวโต จ.เกียวโต โดยเป็นแหล่งชมใบไม้เปลี่ยนสีขึ้นชื่อ เนื่องจากมีบรรยากาศอันแสนเงียบสงบสุดเอกลักษณ์และอุดมไปด้วยป่าไม้อันเขียวขจี ที่นี่จึงกลายเป็นวัดในดวงใจของนักการศึกษาและนักเขียนขึ้นชื่อของญี่ปุ่นไปโดยปริยาย นอกจากนี้ ที่นี่ก็ยังเก็บรักษาภาพวาดบนประตูบานเลื่อนกรอบไม้ของ “คาโน มิตสึโนบุ” เอาไว้ด้วยนะเออ...
13 แหล่งท่องเที่ยวห้ามพลาดในเกียวโต (วันคินคาคุจิ,วัดเรียวอันจิ ฯลฯ)
แผนเที่ยวเกียวโตแบบรวบรัดภายใน 2 วัน〜วัดคินคาคุจิ,ศาลเจ้าฟุชิมิอินาริไทฉะ,วัดคิโยมิสึ,พิพิธภัณฑ์มังงะนานาชาติเกียวโต ฯลฯ〜
ในเกียวโตเต็มไปด้วยศาลเจ้าขึ้นชื่อของญี่ปุ่นมากมาย เช่น Fushimi Inari-taisha (ศาลเจ้าฟุชิมิอินาริไทฉะ) และ Heian Shrine (ศาลเจ้าเฮอัน) เป็นต้น
Fushimi Inari-taisha (ศาลเจ้าฟุชิมิอินาริไทฉะ) เป็นศาลเจ้าหลักของศาลเจ้าอินาริกว่า 30,000 แห่งทั่วญี่ปุ่น โดยเป็นสถานที่สักการะบูชาเทพเจ้าแห่งการค้าขายรุ่งเรืองและพืชผลอุดมสมบูรณ์มาตั้งแต่ปีค.ศ. 711 โดยเฉพาะ “เสาโทริอิ 1 พันต้น” นับเป็นไฮไลท์สำคัญที่ดึงดูดผู้คนมากมายมาท่องเที่ยวเลยทีเดียว
อ้างอิง:รวมรูปภาพเกียวโตฟรี
Yasaka Shrine (ศาลเจ้ายาซากะ) เป็นศาลเจ้าที่สักการะบูชาเทพเจ้าตามตำนานเทพญี่ปุ่นประกอบด้วย “ซุซาโนโอะโนะมิโคโตะ”, “คุชินาดะฮิเมะโนะมิโคโตะ” และ “ยาฮาขิระโนะมิโคกามิ” โดยตั้งอยู่ในย่านกิอง เขตฮิกาชิยามะ เมืองเกียวโต จ.เกียวโต “ศาลเจ้ายาซากะ” โด่งดังเรื่อง “งานเทศกาลกิอง” 1 ใน 3 งานเทศกาลใหญ่ในญี่ปุ่นที่จัดขึ้นในเดือนกรกฎาคม บางครั้งก็เรียกกันว่า “กิองซัง” ที่นี่ตั้งอยู่ติดกับย่านกิองซึ่งไม่มีนักท่องเที่ยวเกียวโตคนไหนไม่เคยมาเยือนเลยก็ว่าได้ จึงนับเป็นศาลเจ้าที่ต้องมาเยือนกันให้ได้สักครั้งเมื่อเดินทางมาเที่ยวเกียวโต
สำหรับรายละเอียดสามารถเข้าไปดูได้จากบทความ「「ศาลเจ้ายาซากะ」แหล่งขอพรด้านความรักย่านกิองในเกียวโต」
Kifune Shrine (ศาลเจ้าคิฟุเนะ)เป็นศาลเจ้าที่ตั้งอยู่ใจเขตซาเคียว เมืองเกียวโต จ.เกียวโต โดยสักการะบูชาเทพเจ้าแห่งสายฝนและเทพเจ้าแห่งต้นน้ำ นอกจากนี้ เนื่องจาก “อิซุมิ ชิคิบุ” นักประพันธ์หญิงในสมัยเฮอันได้เดินทางมาสักการะบูชา และแต่งร้อยกรองเกี่ยวกับความรัก หลังจากนั้นมาที่นี่ก็เป็นที่รู้จักในฐานะที่เป็นเทพเจ้าแห่งคู่ครองไปโดยปริยาย
Heian Shrine (ศาลเจ้าเฮอัน) นับเป็นศาลเจ้าแห่งใหม่เมื่อเทียบกับศาลเจ้าแห่งอื่นๆในเกียวโต โดยสร้างขึ้นในเขตซาเคียว เมืองเกียวโต จ.เกียวโตในปี 1895 ที่นี่เป็นแหล่งท่องเที่ยวบรรยากาศเก่าแก่ที่เรียงรายไปด้วยสถาปัตยกรรมที่จำลองเมืองเฮอันเมื่อประมาณ 1000 ปีที่แล้ว ไฮไลท์อยู่ที่ดอกไม้ที่บานสะพรั่งตามแต่ละฤดูกาล เช่น ซากุระในฤดูใบไม้ผลิ รวมถึงดอกไอริสและดอกบัสในฤดูร้อน นี่แหละ
สำหรับรายละเอียดสามารถเข้าไปดูได้จาก「จำลองที่พำนักของราชวงศ์!?「ศาลเจ้าเฮอันจิงงู」จ.เกียวโต」
Kitano Tenmangū (ศาลเจ้าคิตาโนะเท็มมังงู) แห่งนี้เป็นสาขาหลักของศาลเจ้าเท็มมังงูทั่วญี่ปุ่นกว่า 12,000 แห่งซึ่งสักการะบูชา “สุกาวาระโนะมิจิซาเนะโค” เทพเจ้าแห่งการศึกษา ที่นี่สร้างขึ้นเมื่อปีค.ศ. 947 ตั้งอยู่ในเขตคามิเกียว เมืองเกียวโต โดยมีนักเรียน-นักศึกษาแวะเวียนมาสักการะกันเป็นจำนวนมาก ที่นี่โด่งดังเรื่องสวนบ๊วย ในช่วงที่เปิดให้บริการเราสามารถจิบชาพลางชมดอกบ๊วยได้ด้วยนะเออ... โดยภายในวัดจะมีรูปปั้นวัวซึ่งเกี่ยวข้องกับมิจิซาเนะโคตั้งเอาไว้ตามจุดต่างๆ ผู้คนเชื่อกันว่าถ้าลูบจะทำให้ได้โชคลาภ แถมในวันที่ 25 ของทุกเดือนจะมีการจัดงานวัดขึ้นอีกต่างหาก
สำหรับรายละเอียดสามารถเข้าไปดูได้จากบทความ「เดินเที่ยวเกียวโต...ขอพรเทพเจ้าแห่งการศึกษา ที่ศาลเจ้า「Kitanotenmangu」」
นอกจากนี้ “เกียวโต” แหล่งต้นกำเนิดวัฒนธรรมญี่ปุ่นแห่งนี้ก็ยังโดดเด่นด้านศิลปะด้วยนะจ๊ะ... ในครั้งนี้เราก็ได้รวบรวมพิพิธภัณฑ์ศิลปะและพิพิธภัณฑ์สถานแนะนำมาไว้ที่นี่แล้วล่ะค่ะ เอ้า ตามมาดูกันเลย...
Kyoto National Museum (พิพิธภัณฑ์แห่งชาติเกียวโต) คือ พิพิธภัณฑ์ที่เปิดทำการครั้งแรกในเดือนพฤษภาคม ปี 1897 โดยจัดแสดงมรดกทางวัฒนธรรมของเกียวโตตั้งแต่สมัยเฮอันถึงสมัยเอโดะ เช่น พระพุทธรูป ผ้าย้อม ภาพวาดลงรักลายทอง/เงิน และคัมภีร์ศาสนาพุทธ เป็นต้น ถ้าเกิดใครเดินทางมาเยี่ยมชม รับรองว่าจะต้องกลายเป็นเซียนวัฒนธรรมญี่ปุ่นอย่างแน่นอน
The Museum of Kyoto (พิพิธภัณฑ์วัฒนธรรมเกียวโต) คือ พิพิธภัณฑ์สถานที่ตั้งอยู่ในเขตนาคาเกียว เมืองเกียวโต โดยจัดแสดงภาพวาดและผลงานศิลปหัตถกรรมที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของเกียวโต ร้านค้าของพิพิธภัณฑ์บนชั้น 1 มีจำหน่ายศิลปหัตถกรรมดั้งเดิมของเกียวโตซึ่งเหมาะสำหรับการซื้อกลับไปเป็นของฝากสุดๆ แถมยังมีร้านค้าจิปาถะ คาเฟ่ และร้านอาหารด้วยนะเออ... เราสามารถสัมผัสถึงวัฒนธรรมเกียวโตอันลึกซึ้งผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 5 ได้จากที่นี่เลยค่ะ
Kyoto Municipal Museum of Art (พิพิธภัณฑ์ศิลปะเมืองเกียวโต) คือ พิพิธภัณฑ์ศิลปะที่ตั้งอยู่ในสวนโอคาซากิ เมืองเกียวโต จ.เกียวโต โดยเปิดทำการเป็นครั้งแรกในปี 1933 ที่นี่จัดแสดงผลงานศิลปะสมัยใหม่มากมาย เนื่องจากมีการเก็บสะสมผลงานของศิลปินชื่อดังชาวญี่ปุ่น เช่น ภาพวาดสไตล์ญี่ปุ่นและภาพสีน้ำมัน เอาไว้เป็นจำนวนมาก จึงนับเป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะแนะนำสำหรับใครที่สนใจในศิลปะญี่ปุ่นเป็นอย่างยิ่ง
National Museum of Modern Art, Kyoto (พิพิธภัณฑ์ศิลปะสมัยใหม่แห่งชาติ เมืองเกียวโต) คือ พิพิธภัณฑ์ศิลปะที่จัดแสดงผลงานศิลปะ ศิลปหัตถกรรม และรูปภาพของญี่ปุ่นตะวันตกหรือภูมิภาคคันไซ เช่น เกียวโต เป็นต้น โดยมีการเก็บสะสมผลงานศิลปะสมัยใหม่ของต่างประเทศ เช่น ภาพวาดของ Henri Matisse เอาไว้ด้วย จึงเหมาะสำหรับผู้ชื่นชอบศิลปะสุดๆ
Kyoto International Manga Museum (พิพิธภัณฑ์มังงะนานาชาติเกียวโต) นั้นรีโนเวทมาจากโรงเรียนที่ปิดตัวลงไปแล้ว โดยนับเป็นพิพิธภัณฑ์หนังสือการ์ตูนมังงะที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นเลยทีเดียว ที่นี่จัดแสดงเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของมังงะและอุตสาหกรรมมังงะ เนื่องจากมีโซนสอนวิธีการวาดการ์ตูนด้วย สำหรับแฟนๆวัฒนธรรมป๊อบคัลเจอร์ของญี่ปุ่นบอกเลยว่าห้ามพลาด!
สำหรับรายละเอียดสามารถเข้าไปดูได้จากบทความ มังงะครบเครื่อง!「พิพิธภัณฑ์มังงะนานาชาติ จ.เกียวโต」สัมผัสวัฒนธรรมรองชั้นแนวหน้า」
Kyoto Railway Museum (พิพิธภัณฑ์รถไฟเกียวโต) คือ พิพิธภัณฑ์ศิลปะที่มีทั้งโซนกิจกรรมและโซนจัดแสดงเกี่ยวกับประวัติศาสตร์รถไฟและประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นที่พัฒนาขึ้นพร้อมๆกับรถไฟ นอกจากจะมีการจัดแสดงชินคันเซ็นและรถไฟจักรไอน้ำกว่า 53 ขบวนที่นำไปสู่ญี่ปุ่นสมัยใหม่แล้ว ภายในพิพิธภัณฑ์ก็ยังสามารถลองนั่งรถไฟจักรไอน้ำของจริงได้ด้วย แถมบนอาคารหลักชั้น 2F ก็ยังสามารถสัมผัสประสบการณ์จำลองการขับรถไฟได้อีกต่างหาก ถ้าเกิดใครได้ลองขับรถไฟจำลองดู รับรองว่าจะรู้จักรถไฟญี่ปุ่นมากขึ้นอย่างแน่นอน
Hosomi Museum (พิพิธภัณฑ์โฮโซมิ) คือ พิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงผลงานศิลปะเก่าแก่ของญี่ปุ่นซึ่งตั้งอยู่ในโอคาซากิ เขตซาเคียว เมืองเกียวโต โดยมีไฮไลท์อยู่ที่ผลงานจัดแสดงที่ครอบคลุมประเภทและยุคสมัยเกือบทั้งหมดของศิลปะญี่ปุ่นนี่แหละ เช่น ศิลปะของชินโตและพุทธศาสนา, ศิลปะการชงชา, ภาพวาดในสมัยเอโดะอย่าง Rinpa และ Itō Jakuchū เป็นต้น
นอกจากวัดและศาลเจ้าในเกียวโตแล้ว บอกเลยว่าย่านกิองซึ่งยังคงหลงเหลืออาคารบ้านเรือนเก่าแก่ของเกียวโตและอาราชิยาม่าที่โดดเด่นเรื่องใบไม้เปลี่ยนสีอันแสนงดงามก็ห้ามพลาดเด็ดขาด!
Gion (กิอง) เป็นแหล่งรวมความบันเทิงขึ้นชื่อของเกียวโตที่ตั้งอยู่แถวศาลเจ้ายาซากะ โดยโด่งดังเรื่องร้านโอะจะยะที่มีไมโกะคอยรับรองแขกนี่แหละ ภายในย่านกิองเป็นที่ตั้งของถนนสายหลักที่เรียกว่า “ฮานามิโคจิ” ซึ่งเรียงรายไปด้วยร้านจำหน่ายผลงานศิลปหัตถกรรมดั้งเดิมของเกียวโต ร้านอาหาร และคาเฟ่มากมาย ด้วยบรรยากาศสไตล์เมืองหลวงเก่า ทำให้ที่นี่มีนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกแวะเวียนมาเยือนกันมากมาย
ที่อยู่:Gion, Higashiyama-ku, Kyoto City
Nijō Castle (ปราสาทนิโจ) เป็นปราสาทบนที่ราบที่สร้างขึ้นในปี 1603 โดยเป็นสถานที่เกิดเหตุการณ์ “ไทเซโฮคัง” ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนของประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นอย่างใหญ่หลวงเลยทีเดียว คูรอบนอกปราสาทภายในเมืองเป็นอะไรที่โดดเด่นสะดุดตาอย่างมาก เราสามารถสัมผัสประสบการณ์อันล้ำค่าในการเดินเที่ยวปราสาทญี่ปุ่นได้จริงๆเลยล่ะค่ะ
ถ้าชอบปราสาทญี่ปุ่นล่ะก็ต้องนี้เลย!5 ปราสาทที่พลาดไม่ได้ของญี่ปุ่น
Arashiyama (อาราชิยามะ) เป็นแหล่งท่องเที่ยวขึ้นชื่อของเกียวโตที่เต็มไปด้วยไฮไลท์มากมาย โดยเฉพาะเป็นแหล่งชมซากุระและ ใบไม้เปลี่ยนสี อันแสนงดงาม บริเวณโดยรอบสะพานโทเก็ตสึเคียวนั้นเป็นที่ตั้งของ Tenryū-ji (วัดเท็นริวจิ), Nonomiya Shrine (วัดโนโนมิยะ) แห่งความสัมพันธ์, Seiryō-ji (วัดเซเรียวจิ), Matsuo-taisha (วัดมัตสึโอะไทฉะ) และ Hōrin-ji (วัดโฮรินจิ) ป่าไผ่นั้นมีบรรยากาศดีและกว้างใหญ่มากถึงขนาดเดินทั้งวันก็ไม่หมด
ที่อยู่:Saga Ukyo Ward, Kyoto, Kyoto Prefecture/Nishi gyo ward, Kyoto
「7 แอเรียชมใบไม้แดงในเกียวโตที่ต้องไปให้ได้」คนท้องถิ่นที่เกียวโตเขาฝากมาบอก
เส้นทางชมวิวซากะ และอาราชิยามะที่คนเกียวโตเจ้าถิ่นแนะนำ
นั่งรถไฟสายโรแมนติกซากาโนะเที่ยวอาราชิยาม่าในฤดูร้อน
Toei Kyoto Studio Park (โทเอ เกียวโต สตูดิโอ ปาร์ค) คือ ธีมปาร์คสำหรับถ่ายหนังที่ตั้งอยู่ในเขตอุเคียว เมืองเกียวโต ภายในสวนเรียงรายไปด้วยอาคารบ้านเรือนที่จำลองมาจากเมืองเอโดะ แถมยังมีการจัดการแสดงชัมบาระ (ศิลปะการฟันดาบ) ให้ชมอีกด้วย นอกจากนี้ เรายังสามารถสัมผัสกิจกรรมแปลงกายเป็นนินจา, ชาวเมืองเอโดะ และเจ้าหญิงได้ด้วยนะเออ... เนื่องจากมีการจัดการแสดงอนิเมะด้วย จึงนับเป็นธีมปาร์คที่เหมาะกับการพาครอบครัวมาเพลิดเพลินร่วมกันสุดๆ
ที่อยู่:10 Higashihachiokachō Uzumasa , Ukyō-ku, Kyōto-shi, Kyōto-fu
Kyoto Tower (หอคอยเกียวโตทาวเวอร์) คือ หอคอยสูงกว่า 131 เมตรที่ตั้งอยู่ใกล้กับ JR Kyoto Station เราสามารถชมวิวเมืองเกียวโตแบบ 360 องศาจากบนจุดชมวิวสูงกว่า 100 เมตรได้ที่นี่เลย
Maruyama Park (สวนมารุยามะ) คือ สวนสาธารณะที่ตั้งอยู่ติดกับศาลเจ้ายาซากะและวัดจิองอินในเขตฮิกาชิยามะ เมืองเกียวโต จ.เกียวโต โดยเป็นแหล่งชมซากุระขึ้นชื่อถึงขนาดได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งชมทัศนียภาพอันงดงามของชาติเลยทีเดียว ไฮไลท์อยู่ที่สวนญี่ปุ่นที่จำลองธรรมชาติอย่างภูเขาและน้ำตกออกมาได้อย่างสมจริงนี่แหละ แถมยังตั้งอยู่ใกล้กับย่านกิองด้วย เราจึงสามารถแวะมาเดินเล่นได้อย่างชิลล์ๆ
สุดยอดจุดชมดอกซากุระในเมืองเกียวโต เริ่มเดินจากย่านกิองไปจนถึงสวนสาธารณะมารุยามะ
ในครั้งนี้เราก็ได้แนะนำแหล่งท่องเที่ยวภายในเกียวโตกันไปมากมาย แต่ความจริงแล้วนอกเมืองเกียวโตก็เต็มไปด้วยไฮไลท์อีกเพียบเลยล่ะค่ะ ^^ สำหรับใครที่มีเวลาเที่ยวเยอะก็ขอแนะนำให้ลองแวะไปเที่ยว Amanohashidate (อามาโนะฮาชิดาเตะ), Tateiwa (หินทาเทอิวะ) และ Ine (อิเนะ) กันดูด้วยน้า...
Amanohashidate (อามาโนะฮาชิดาเตะ) เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับเลือกให้เป็น 1 ใน 3 ทัศนียภาพอันงดงามของญี่ปุ่นเลยทีเดียว ที่นี่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเกียวโต โดยเป็นสันดอนที่ถูกขนาบข้างด้วยทะเลอาโซและอ่าวมิยาซุ เมืองมิยาซุ จ.เกียวโต จากสวนคาซามัตสึและ Amanohashidate View Land เราสามารถชมทัศนียภาพอันงดงามของอามาโนะฮาชิดาเตะได้ ที่นี่จึงกลายเป็นแหล่งชมวิวยอดนิยมไปโดยปริยาย แถมในบริเวณใกล้เคียงก็ยังเป็นที่ตั้งของวัดและศาลเจ้าอย่าง “วัดจิอนจิ” และ “ศาลเจ้าโมโตอิเซะโคโนะ” ที่ยังคงหลงเหลือกลิ่นอายในสมัยก่อนเอาไว้ในปัจจุบันด้วย เราจึงสามารถเพลิดเพลินกับการท่องเที่ยวได้อย่างสบายๆ
ที่อยู่:Miyazu, Kyoto Prefecture
【นิชิไมซุรุ・อามาโนะฮาชิดาเตะ】นั่งรถไฟตันโกะคุโรมัตสึชมทะเลเกียวโต
อ้างอิง:รวมรูปภาพเกียวโตฟรี
อ่าวไทสะอุระ เมืองตันโกะตั้งอยู่ไม่ไหลจากเมืองมิยาซุซึ่งเป็นที่ตั้งของอามาโนะฮาชิดาเตะ ที่นี่มีหินขนาดยักษ์ลอยอยู่บนทะเลซึ่งเรียกกันว่า Tateiwa (หินทาเทอิวะ) โดยเป็นหินที่มีตำนานเล่าขานกันว่าในสมัยก่อนได้มีการกำจัดยักษ์ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่แห่งนี้ หินก้อนนี้ได้ตกลงมาจากสวรรค์และปิดผนึกยักษ์เอาไว้
ที่อยู่: Taiza Tangocho, Kyotango, Kyoto Prefecture
ถ้าเต็มอิ่มกับคอร์สท่องเที่ยวทั่วไปเเล้วล่ะก็มาลองอะไรที่ต่างออกไป"ไปเที่ยวทะเลเกียวโตกัน"
อิเนะ เมืองท่าเรือในเกียวโตแห่งนี้เป็นเมืองขึ้นชื่อเรื่อง “ฟุนายะ” ที่ตั้งเรียงรายเลียบอ่าวอิเนะสีเขียวมรกต สำหรับใครที่เข้าพักที่ “ฟุนายะ” จะได้สัมผัสกับบรรยากาศอันแสนโรแมนติกชมวิวทะเลอันเงียบสงบจากนอกหน้าต่าง ภายในเมืองเป็นที่ตั้งของแหล่งท่องเที่ยวมากมาย เช่น “โรงกลั่นเหล้ามุไค”ที่มีหัวหน้าเป็นผู้หญิงและ “นางิสะ” ร้านอาหารจำหน่ายเมนูข้าวหน้าผลิงทะเลตากแห้ง เป็นต้น โดยเป็นเมืองที่มีบรรยากาศแตกต่างจากเมืองเกียวโตโดยสิ้นเชิง
ที่อยู่:Ine, Yosa District, Kyoto Prefecture,
เที่ยวผ่อนคลายที่「เมืองอิเนะ」เมืองท่าเรือเล็กๆแสนสงบในเกียวโต
ทัวร์ริมชายทะเล 1 วันในเกียวโต
บริการเช่าชุดกิโมโนสำหรับหนึ่งวันในเกียวโต
ต่อไป เราจะมาแนะนำแผนตระเวนเที่ยวแหล่งท่องเที่ยวหลักๆในเกียวโตแบบรวบรัดภายใน 2 วันกันค่ะ ^^ ก่อนอื่นขอเริ่มจากเขตฮิกาชิยามะก่อนแล้วกันเนอะ
ตอนเช้า:Fushimi Inari-taisha (ศาลเจ้าฟุชิมิอินาริไทฉะ) ตอนเที่ยง:Kennin-ji (วัดเคนนินจิ) ・Kōdai-ji (วัดโคไดจิ) ตอนเย็น:Kiyomizu-dera (วัดคิโยมิสึ) ตอนกลางคืน:Hanamikoji Street (ถนนฮานามิโคจิ)
ส่วนวันที่ 2 เราจะมาตระเวนเที่ยวแหล่งท่องเที่ยวทางฝั่งเหนือของเกียวโตอย่าง Kinkaku-ji (วัดคินคาคุจิ) และ Ryōan-ji (วัดเรียวอันจิ) กันค่ะ
ตอนเช้า:Kinkaku-ji (วัดคินคาคุจิ) ตอนเที่ยง:Ryōan-ji (วัดเรียวอันจิ)ตอนบ่าย – ตอนเย็น:Kyoto International Manga Museum (พิพิธภัณฑ์มังงะนานาชาติเกียวโต)
แผนเที่ยวข้างต้นเป็นเส้นทางท่องเที่ยวแนะนำสำหรับใครที่ต้องการเที่ยวเกียวโตในระยะสั้น สำหรับรายละเอียดสามารถเข้าไปอ่านได้จากบทความ「แผนเที่ยวเกียวโตแบบรวบรัดภายใน 2 วัน〜วัดคินคาคุจิ,ศาลเจ้าฟุชิมิอินาริไทฉะ,วัดคิโยมิสึ,พิพิธภัณฑ์มังงะนานาชาติเกียวโต ฯลฯ〜」
ฤดูกาลที่เหมาะสมในการท่องเที่ยวเกียวโตมากที่สุดเลยก็คือฤดูใบไม้ผลิ (เดือนมีนาคมและเดือนเมษายน) และฤดูใบไม้ร่วง (เดือนพฤศจิกายนและเดือนธันวาคม) นั่นเอง ในฤดูใบไม้ผลิ ทั่วทั้งเมืองจะบานสะพรั่งไปด้วยซากุระ ส่วนในฤดูใบไม้ร่วงจะย้อมไปด้วยสีแดงและสีเหลืองของใบไม้เปลี่ยนสี วัดและศาลเจ้า เช่น วัดคิโยมิสึและศาลเจ้ายาซากะ นั้นนับเป็นแหล่งชมซากุระและใบไม้เปลี่ยนสีขึ้นชื่อในเกียวโต ยังไงก็ลองเดินทางมาเที่ยวเกียวโตในช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วงกันให้ได้นะคะ ^^
「7 แอเรียชมใบไม้แดงในเกียวโตที่ต้องไปให้ได้」คนท้องถิ่นที่เกียวโตเขาฝากมาบอก
งานเทศกาลในเกียวโต บางอย่างเป็นประเพณีที่สืบทอดมาเป็นเวลายาวนานกว่า 1000 ปีเลยทีเดียว โดยเฉพาะ 3 งานเทศกาลใหญ่แห่งเกียวโตอย่าง งานเทศกาลกิอง, งานเทศกาลอาโออิ และงานเทศกาลจิไดนั้นเป็นงานอีเว้นท์ขึ้นชื่อที่มีนักท่องเที่ยวจากทั้งทั่วโลกเดินทางมาเข้าร่วมกันมากมาย ภายในงานเทศกาล เราจะได้เห็นผู้คนแต่งชุดญี่ปุ่นดั้งเดิมและสัมผัสถึงวัฒนธรรมขุนนางชั้นสูงในญี่ปุ่นเมื่อ 1000 ปีที่แล้วได้
“งานเทศกาลกิอง” มีจุดเริ่มต้นมาจากความหวังที่จะกำจัดโรคระบาดและโรคติดต่อร้ายแรงต่างๆเมื่อประมาณ 1,100 ปีที่แล้ว งานเทศกาลกิอง นี้จะจัดขึ้นนานเป็นเวลา 1 เดือนตั้งแต่วันที่ 1 กรกฏาคมไปจนถึงวันที่ 31 กรกฎาคม โดยจัดขึ้นในย่านการค้าของเกียวโตเริ่มจากย่านคาราสึมะไปจนถึงคาวารามาจิ ช่วงพีคของงานคือช่วง 4 วัน ประกอบด้วยวันที่ 14 - 16 กรกฎาคมซึ่งเรียกว่า “โยอิยามะ” ส่วนวันที่ 17 จะเป็นวันที่มีขบวนพาเหรดเกี้ยวยามาโฮโกะ ในการลากรถยามาโฮโกะที่สูงกว่า 25 เมตรนี้จำเป็นต้องใช้ผู้ชายกำยำราวๆ 50 คนเลยทีเดียว บอกเลยว่าบรรยากาศการแห่เกี้ยวตระเวนไปรอบเมืองเป็นอะไรที่สุดยอดมาก
สำหรับรายละเอียดสามารถเข้าไปดูได้จาก「【ฤดูร้อน】 พูดถึงเทศกาลหน้าร้อนในเกียวโต ต้องเทศกาลกิองเท่านั้น!」
Picture courtesy of JNTO
「Aoi Matsuri (งานเทศกาลอาโออิ)」เป็น 1 ใน 3 งานเทศกาลใหญ่ประจำเกียวโตคู่กับงานเทศกาลกิองและงานเทศกาลจิได โดยเป็นงานเทศกาลสำคัญที่ทำให้รับรู้ถึงความรุ่งเรืองขุนนางญี่ปุ่นเมื่อ 1000 ปีก่อน งานนี้เป็นการเดินขบวนพาเหรดของผู้คนที่แต่งตัวตามสไตล์ชนชั้นสูงในยุคเฮอันกว่า 500 คน พร้อมกับม้าหลายสิบตัว, วัว และเกวียนบนถนนยาว 8 กิโลเมตรตั้งแต่พระราชวังอิมพีเรียลเกียวโตไปจนถึงศาลเจ้าชิโมกาโมะและศาลเจ้าคามิกาโมะ
【ฤดูใบไม้ผลิญี่ปุ่น】ไปดูเทศกาลและกิจกรรมในเดือนมีนา-พฤษภากันไหม?
ส่วนงานเทศกาลที่เราจะได้เห็นถึงการเปลี่ยนผ่านตั้งแต่ ยุคเฮอัน ไปสู่ ยุคเมจิ ก็คือ Jidai Matsuri (งานเทศกาลจิได) นั่นเอง ภายในงานจะเป็นการเดินขบวนของผู้คนสวมชุดดั้งเดิมทางประวัติศาสตร์ไปรอบๆเมืองเกียวโต โดยจัดขึ้นในวันที่ 22 ตุลาคมของทุกปีซึ่งเป็นวันสถาปนาเกียวโตเป็นเมืองหลวงของญี่ปุ่นเพื่อถ่ายทอดประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของเกียวโตไปสู่สายตาชาวโลก เสื้อผ้าและอุปกรณ์ของผู้คนที่เข้าร่วมงานเทศกาลล้วนทำขึ้นมาอย่างพิถีพิถันผ่านการควบคุมของผู้เชี่ยวชาญ จึงนับเป็นงานเทศกาลที่สามารถสัมผัสถึงประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นได้อย่างใกล้ชิดเลยทีเดียว
【ฤดูใบไม้ร่วงญี่ปุ่น】ลองไปงานอีเว้นท์ งานเทศกาลเดือนกันยายน-พฤศจิกายนกันมั้ย?
Gozan no Okuribi (งานเทศกาลโกะซันโนะโอคุริบิ) หรือ Daimonji (ไดมอนจิ) คือ งานเทศกาลจุดไฟบนเนินเขาเนียวอิกาตาเคะ (ภูเขาไดมอนจิ) ที่ตั้งอยู่ในเขตซาเคียว เมืองเกียวโต จ.เกียวโต ในวันที่ 16 สิงหาคมของทุกปีนั่นเอง แต่เดิมแล้วมีต้นกำเนิดมาจากความเชื่อของคนญี่ปุ่นเพื่อส่งวิญญาณของบรรพบุรุษไปสู่ปรภพ ในปัจจุบันกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งฤดูร้อนในเกียวโตไปโดยปริยาย เนื่องจากเป็นการจุดโคมไฟเรียงกันเป็นรูปตัวอักษร เราจึงมองเห็นภูเขายามค่ำคืนเป็นตัวอักษรสวยงามมาก
Tanabata (ทานาบาตะ) เป็นหนึ่งในงานเทศกาลในดวงใจของชาวเมืองเกียวโต โดยจะมีการไลท์อัพตามแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ เช่น ศาลเจ้าคิตาโนะเท็มมังงู, ปราสาทนิโจ และสวนอุเมโคจิในช่วงวันที่ 1 – 15 สิงหาคมของทุกปี ทำให้ทั่วทั้งเมืองสว่างไสวสวยงาม
นอกจากนี้ก็ยังมีงานเทศกาลสุดครึกครื้นในเกียวโตอีกมากมายไม่ว่าจะเป็น “งานเทศกาลหนังสือมือสอง” ที่ศาลเจ้าชิโมกาโมะ, “งานเทศกาลโคโฮ” ที่จัดขึ้นที่วัดโทจิทุกวันที่ 21 และ “งานเทศกาล
เครื่องดินเผา” ในโกโจซากะ เป็นต้น สำหรับใครที่มีโอกาสได้เดินทางมาเที่ยวเกียวโตในช่วงเทศกาลก็บอกเลยว่าห้ามพลาด!
ตลาดโคโบชิ•เกียวโต—มาหาของดีที่ซ่อนไว้ในตลาดโคโบที่เปิดเฉพาะวันที่ 21 กันเถอะ!
“เกียวโต” เมืองหลวงเก่าของญี่ปุ่นที่มีอายุกว่า 1000 ปีแห่งนี้ยังคงหลงเหลือวัฒนธรรมเอาไว้มากมายไม่ว่าจะเป็นไมโกะ, ชุดกิโมโน, การเขียนพู่กัน และการชงชา เป็นต้น
ไมโกะ・เกกิ คือ ผู้หญิงแต่งชุดกิโมโนที่มีหน้าที่รับรองแขกและคอยสร้างสีสันตามร้านอาหารสไตล์โอจะยะแบบห้องส่วนตัวด้วยศิลปะการแสดงอย่างการร้องเพลงหรือร่ายรำและการพูดคุย โดยเราสามารถพบกับพวกเธอได้ในเขตรวมร้านเกกิที่เรียกว่า “ฮานามาจิ / กาไก” ในเกียวโต
ข้อมูลพื้นฐานกับความสวยงามของ「ไมโกะ」「เกอิโกะ」และสถานที่ที่จะได้พบเจอพวกเธอ
เมื่อเอ่ยถึงชุดดั้งเดิมของญี่ปุ่นแล้วจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจาก “กิโมโน” นั่นเอง ว่ากันว่าชุดกิโมโนสไตล์เปิดหน้าและรัดด้วยผ้าคาดเอวโอบิแบบในปัจจุบันนั้นเริ่มใช้กันมาตั้งแต่สมัยเอโดะ นอกจากนี้ เราเรียกชุดที่ใส่นอนและชุดที่ใส่ลำลองทั่วไปว่า “ยูกาตะ” ในปัจจุบันนิยมใส่กันในฤดูร้อน ทั้งชุดกิโมโนและยูกาตะจำเป็นต้องผ่านการฝึกฝนกว่าที่จะสามารถใส่ด้วยตัวเองได้ เนื่องจากในเกียวโตมี「Yumeyakata」ร้านแต่งชุดกิโมโนและยูกาตะถ่ายรูปเป็นที่ระลึกด้วย ยังไงก็ลองแวะไปใช้บริการกันดูนะคะ ^^
แต่งชุดกิโมโนเดินเล่นชมเมือง กำลังเป็นที่นิยมในเกียวโต
“ยูเซ็นโซเมะ” คือ เทคนิคการย้อมสีหรือลวดลายผ้ากิโมโนดั้งเดิมของญี่ปุ่น ในเกียวโตยังคงหลงเหลือร้านที่สืบทอดเทคนิคดั้งเดิมนี้อยู่ในปัจจุบัน ถึงแม้ว่าจะใช้เวลามากก็จริง แต่ชุดกิโมโนที่ผ่านการย้อมแบบยูเซ็นจะมีความงดงามประณีตเป็นอย่างมาก กิโมโนสำหรับผู้หญิงมีราคาสูงมากอยู่ที่ประมาณ 3 แสน – 1 ล้านเยน / ชุดเลยทีเดียว
「มารุมาสุนิชิมุรายะ」จ.เกียวโต เปิดกิจกรรมย้อมผ้าแบบยูเซ็นด้วยตัวเอง
โชโด เป็นหนึ่งในวัฒนธรรมดั้งเดิมของญี่ปุ่นซึ่งเป็นการเขียนอักษรคันจิหรือฮิรากานะด้วยพู่กันหมึกดำซึ่งเป็นอุปกรณ์เครื่องเขียนที่ใช้กันมาตั้งแต่สมัยโบราณ แต่เดิมแล้วมีต้นกำเนิดในประเทศจีนและเริ่มเผยแพร่เข้ามาในประเทศญี่ปุ่นในภายหลัง
พู่กันและหมึก ศิลปะดั้งเดิม「โชะโด」 ชั้นเรียนการเขียนพู่กันสำหรับนักท่องเที่ยว
“คิโยมิสึยากิ” (เครื่องปั้นดินเผาคิโยมิสึ) เป็นหนึ่งในศิลปหัตถกรรมดั้งเดิมขึ้นชื่อของเกียวโต โดยเป็นเครื่องปั้นดินเผาผลิตในเกียวโตซึ่งมีเอกลักษณ์อยู่ที่สีน้ำเงินและสีแดงสดใสนี่แหละ
ซาโด คือ ธรรมเนียมการชงชาซึ่งเป็นที่นิยมในหมู่ขุนนางในเกียวโต โดยทั้งสองฝั่งประกอบด้วยฝั่งที่เตรียมชาเขียว “มัจฉะ” และฝั่งที่ได้รับการรับรองด้วยน้ำชาจะปฏิบัติตามตามขั้นตอนและมารยาทของพิธีชงชาซึ่งแตกต่างจากการดื่มชาทั่วไปในชีวิตประจำวัน เนื่องจากในเกียวโตมีสถานที่จัดกิจกรรมชงชาให้ทดลองชงชากันด้วย จึงบอกเลยว่าห้ามพลาด!
เรียนรู้ความรู้พื้นฐานของ ซะโด(พิธีชงชาญีุ่่น) และสถานที่เปิดประสบการณ์ซะโด
“สาเกญี่ปุ่น” คือ เหล้าที่ผลิตมาจากข้าวหมัก โดยเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในวัฒนธรรมและการดำเนินชีวิตของคนญี่ปุ่นถึงขนาดว่าตามงานพิธีของชินโตในญี่ปุ่นมีการใช้เหล้าเป็นเครื่องสักการะบูชาเทพเจ้าเป็นปกติเลยทีเดียว ในเมืองเกียวโตเป็นที่ตั้งของ「Jo Social Sake Bar」บาร์จำหน่ายสาเกญี่ปุ่นหลากหลายแบบ เราจึงสามารถดื่มเปรียบเทียบเหล้าแต่ละแบบได้อย่างชิลล์ๆ
สัมผัสประสบการณ์ชิมสาเกญี่ปุ่นที่ “โจ - Jo- Social Sake Bar ” ของเมืองพอนโตะ เคียวโต
นอกจากนี้ ในเกียวโตก็ยังเต็มไปด้วยกิจกรรมทางวัฒนธรรมอีกมากมาย เช่น คอนเสิร์ต “เทระโนะเนะ” ที่จัดขึ้นในวัดโจเคจิ ด้วย สำหรับใครที่เดินทางมาเที่ยวเกียวโตก็อย่ามัวแต่เที่ยวเพลินจนลืมสัมผัสวัฒนธรรมญี่ปุ่นอย่างการชงชาหรือการเขียนพู่กันกันด้วยนะจ๊ะ...
ชมคอนเสิร์ตฟรี「เทระโนะเนะ」ที่วัดโจเคียวจิในเกียวโต!
ส่วนของฝากน่าซื้อเมื่อได้มาเที่ยวเกียวโตก็จะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากผลงานศิลปหัตถกรรมดั้งเดิมอย่าง “เครื่องปั้นดินเผาคิโยมิสึ” และ “พัดญี่ปุ่นเคียวเซ็นสุ” รวมถึงขนมญี่ปุ่น “ยัตสึฮาชิ” ด้วย นอกจากนี้ ขนมรสชาเขียวสไตล์เกียวโตที่มีต้นกำเนิดมาจากวัฒนธรรมการดื่มชาก็มีให้เลือกซื้อเพียบ!
7 ของฝากจากเกียวโต รวมพลขนมญี่ปุ่นที่คิดค้นขึ้นเป็นพิเศษ
ชินเคียวโกคุ・ถนนเทรามาจิ・ถนนนิชิกิในเมืองเกียวโตเป็นย่านร้านค้าในดวงใจของชาวเมืองเกียวโตมาตั้งแต่ในอดีต ที่นี่นับเป็นแหล่งช้อปปิ้งแนะนำสำหรับนักท่องเที่ยวที่กำลังมองหาของฝากอย่างพัดญี่ปุ่นเคียวเซ็นสุหรือของกระจุกกระจิกลายญี่ปุ่นเลยค่ะ
แหล่งช้อปปิ้งในเกียวโตสำหรับหาซื้อของฝากสไตล์ญี่ปุ่น
ในเกียวโตที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเยือนกันตลอดทั้งปีแห่งนี้เป็นที่ตั้งของโรงแรมมากมายตั้งแต่เกสต์เฮ้าส์อย่าง Khaosan Kyoto Guesthouse โรงแรมสุดหรูอย่าง The Ritz-Carlton, Kyoto ไปจนถึงเรียวกังที่สามารถสัมผัสถึงแก่นแท้ของบริการชั้นเลิศของญี่ปุ่นได้เลยทีเดียว นอกจากนี้โรงแรมแคปซูลอย่าง Hotel Anteroom Kyoto ที่มีงานศิลปะอยู่ภายในห้องพักก็ขอแนะนำเหมือนกัน
ยังไงเพื่อนๆก็ลองเลือกโรงแรมที่พักตามแผนเที่ยวและงบประมาณของตัวเองกันดูเนอะ ในช่วงนี้ โรงแรมหลายแห่งก็เริ่มมีพนักงานที่สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษ ภาษาจีน และภาษาเกาหลีได้เพิ่มขึ้นมาบ้างแล้ว
จองที่พัก : Booking.com>
“เกียวโต” นับเป็นเมืองศูนย์กลางของวัฒนธรรมอันแสนยาวนาน โดยมีการพัฒนาวัฒนธรรมด้านอาหารการกินขึ้นมาจนเกิดเป็นสไตล์อาหารญี่ปุ่น เช่น โซจินเรียวริ (อาหารมังสวิรัติ) และเมนูคอร์สไคเซกิ เป็นต้น เมื่อเอ่ยถึง “ไคเซกิ” ขึ้นชื่อก็ต้องยกให้ร้านอาหารเก่าแก่อย่าง「Kitcho」เลยค่ะ ดังนั้น ในเกียวโตจึงเต็มไปด้วยร้านอาหารที่สามารถลิ้มลองอาหารญี่ปุ่นสูตรต้นตำรับได้ไปโดยปริยาย “ไคเซกิ” ของบางร้านก็มีราคาสูงถึง 20,000 เยน / มื้อเลยทีเดียว บางคนจึงอาจรู้สึกว่ามีราคาแพงไปสักหน่อย แต่เนื่องจากเป็นโอกาสที่ดีในการสัมผัสถึงแก่นแท้ของวัฒนธรรมอาหารการกินของญี่ปุ่น จึงบอกเลยว่าถ้าไม่ลำบากอะไรก็ต้องลองกันดูสักครั้ง
เมื่อเดินเล่นในเกียวโตมาสักพักก็รู้สึกเมื่อยขึ้นมาซะแล้วสิ... เอาล่ะ งั้นแวะพักที่คาเฟ่กันหน่อยดีกว่า ในเกียวโตเต็มไปด้วยร้านค้าสุดเอกลักษณ์มากมายไม่ว่าจะเป็นคาเฟ่สไตล์โมเดิร์นและคาเฟ่สไตล์คลาสสิค
“efish” คือ คาเฟ่ที่สามารถชมทัศนียภาพอันงดงามของแม่น้ำคาโมกาวะที่ไหลผ่านเมืองเกียวโตได้อย่างชิลล์ๆ ภายในร้านเป็นพื้นที่แสนสบายที่มีแสงแดดสาดส่องเข้ามาจากหน้าต่างสว่างไสว จึงขอแนะนำสำหรับใครที่กำลังมองหาร้านสำหรับแวะพักระหว่างท่องเที่ยวเกียวโตเลยค่ะ
สำหรับรายละเอียดสามารถเข้าไปดูได้จากบทความ「เดินชมเมืองเกียวโตมาเหนื่อยๆ ลองมาแวะนั่งชิลๆไปกับบรรยากาศริมแม่น้ำคาโมะที่ร้านคาเฟ่ efish」
“Salon de thé François” ที่ตั้งอยู่เลียบแม่น้ำทาคาเสะแห่งนี้มีเสน่ห์อยู่ที่ความคลาสสิคที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงกว่า 80 ปีเลยนี่แหละ ทำให้ที่นี่กลายเป็นคาเฟ่ในดวงใจของผู้คนท้องถิ่นไปโดยปริยาย โดยมีเอกลักษณ์อยู่ที่การตกแต่งภายในสไตล์ตะวันตกสุดคลาสสิค บอกเลยว่าเมนูกาแฟและชีสเค้กขึ้นชื่อนั้นรสชาติเยี่ยมสุดๆ
สำหรับรายละเอียดสามารถเข้าไปดูได้จาก「สโลว์ไลฟ์...ในเกียวโต กับร้านกาแฟสุดคลาสสิค「ฟรองซัว คาเฟ่」」
“Sarasa Nishijin” คาเฟ่ที่รีโนเวทมาจากโรงอาบน้ำสาธารณะแห่งนี้ไม่ได้มีแค่เมนูคาเฟ่อย่างกาแฟหรือเค้กเท่านั้น แต่ยังมีเมนูอาหารนานาชาติด้วยนะเออ...
สำหรับรายละเอียดสามารถเข้าไปดูได้จากบทความ「「ซาราสะนิชิจิน」คาเฟ่ดัดแปลงจากโรงอาบน้ำในเกียวโต」
เมืองเกียวโตมีลักษณะภูมิประเทศเป็นแอ่งล้อมรอบด้วยภูเขาทั้ง 4 ทิศ ดังนั้นจึงกล่าวกันว่า “ฤดูร้อนก็ร้อนมาก ฤดูหนาวก็หนาวมาก” เลยทีเดียว ภายในเมืองฤดูร้อนมีสภาพอากาศร้อนชื้นเหนียวเหนอะหนะ ส่วนในฤดูหนาวก็มักจะมีหิมะตกอยู่เป็นประจำ สำหรับใครที่เดินทางมาเที่ยวในฤดูร้อนจึงขอแนะนำให้ใส่เสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดีมาจะดีที่สุด ส่วนในฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาวจำเป็นต้องเตรียมอุปกรณ์กันหนาวเอาไว้ให้พร้อม
photo credit: tinou bao via photopin cc
โดยพื้นฐานแล้วในเกียวโตมีกฎหมายห้ามสูบบุหรี่ตามท้องถนน ถ้าเกิดใครฝ่าฝืนจะต้องถูกปรับ 1,000 เยน
มันช่างยุ่งยากสำหรับนักสูบ? กฎการสูบบุหรี่ของเกียวโต
สำหรับใครที่กำลังมองหาที่แลกเงินเยนหรือเงินสกุลต่างประเทศก็สามารถใช้บริการแลกเงินตราต่างประเทศของธนาคารหรือตู้ ATM ตามเซเว่นอีเลฟเว่นได้เลยจ้า...
เวลาที่เงินสดไม่พอ! สถานที่4แห่งสำหรับแลกเงินในญี่ปุ่น
ในกรณีที่เงินสดหมดให้รีบหาตู้ ATM ที่มีสัญลักษณ์ PLUS เพียงเท่านี้เราก็จะสามารถกดเงินสดระหว่างประเทศได้อย่างง่ายดายแล้วล่ะค่ะ ^^
รู้ไว้ใช่ว่า ช็อปเพลินเงินหมดจะหาตู้กด ATM ได้ที่ไหนบ้าง
สำหรับใครที่อยากรู้วลีแสนสะดวกสำหรับใช้ตอนเข้าพักตามโรงแรมในญี่ปุ่นสามารถเข้าไปอ่านได้จากบทความดังต่อไปนี้
รวม 10 ภาษาญี่ปุ่น ที่สามารถใช้ได้ในโรงแรม!
นอกจากนี้ ในญี่ปุ่นก็ยังมีบริการ「Japan Connected-free Wi-Fi」แสนสะดวกสำหรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติด้วยนะเออ... ยังไงก็ลองดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่นเอาไว้ล่วงหน้ากันได้เลย
รวมจุดให้บริการ Japan Connected-free Wi-Fi ในญี่ปุ่น
เอ่อ...แล้วค่าอาหารที่ใช้ระหว่างเที่ยวญี่ปุ่นตกประมาณเท่าไหร่ต่อวันกันน้า? งั้นคำนวณเอาไว้ล่วงหน้าจะดีที่สุด
ค่าอาหารเฉลี่ยต่อวันระหว่างเที่ยวญี่ปุ่น (ร้านสะดวกซื้อ,ร้านอาหาร,ร้านซูชิ)
บริการเช่า Wi-Fi : PUPURU>
“เกียวโต” เป็นเมืองที่อัดแน่นไปด้วยเสน่ห์มากมายตั้งแต่ย่านกิองสุดขลังไปจนถึงธรรมชาติอันแสนงดงามอย่างอามาโนะฮาชิดาเตะ ถึงยังไงการตระเวนท่องเที่ยวแบบมีเวลาหลายวันก็ย่อมดีกว่าการท่องเที่ยวแบบรวบรัดภายใน 1 วันอยู่วันยังค่ำ ยังไงเพื่อนๆก็ลองแวะมาสัมผัสเสน่ห์ของเกียวโตซึ่งเรียกได้ว่าเป็นศูนย์กลางของวัฒนธรรมญี่ปุ่นแห่งนี้กันดูนะคะ ^^
13 แหล่งท่องเที่ยวห้ามพลาดในเกียวโต (วันคินคาคุจิ,วัดเรียวอันจิ ฯลฯ)
วิธีการเดินทางจากโตเกียวไปยังเกียวโตที่ดีที่สุด
ไกด์นำเที่ยวเกียวโตตั้งแต่วิธีการเดินทางยันไฮไลท์แนะนำ
แหล่งช้อปปิ้งในเกียวโตสำหรับหาซื้อของฝากสไตล์ญี่ปุ่น
หากได้มาเกียวโตแล้วละก็ ควรจะไปเยือน「วัดคิโยะมิซุ แห่งภูเขาโอโทะวะ」
Photos by Pixta
Written by
เข้าร่วม MATCHA ในเดือนตุลาคม 2017 ใช้งานในเมืองมิโตโย จังหวัดคางาวะ ตั้งแต่เดือนเมษายน 2562 ฉันอาศัยอยู่ใกล้กับชายหาดชิจิบุกาฮามะอันงดงาม ซึ่งเป็นที่รู้จักในนาม ``กระจกแห่งท้องฟ้า''