Start planning your trip
นารา (Nara) รวมที่เที่ยวเมืองหลวงเก่า การเดินทาง ของฝาก
บทความแนะนำนารา (Nara) จังหวัดเก่าแก่ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน โดยเป็นเมืองอันน่าพิศวงที่ทำให้สัมผัสถึงห้วงเวลาอันเป็นนิจนิรันดร์ ในครั้งนี้เราจะมาแนะนำวิธีการเดินทาง, ข้อมูลโซนต่างๆ, แหล่งท่องเที่ยวแนะนำ และแผนเที่ยวนารากันค่ะ
นารา
“จ.นารา” คือ เขตปกครองตนเองที่ตั้งอยู่ติดกับจ.โอซาก้าและจ.เกียวโต เมื่อเปรียบเทียบกับโอซาก้าและเกียวโตแล้วอาจไม่ใช่แหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงโด่งดังอะไรมากมาย แต่ความจริงแล้วที่นี่เป็นจังหวัดที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่าทั้งโอซาก้าและเกียวโตเลยล่ะค่ะ
ภายในนารามีการสร้างเมืองใหญ่ขึ้นมามากมายไม่ว่าจะเป็น “ฟูจิวาระเคียว” ในปี 694 และ “เฮอันเคียว” ในปี 710 ในยุคเฮอันเคียว ที่นี่เจริญรุ่งเรืองทางด้านวัฒนธรรมนานาชาติในฐานะที่เป็นจุดหมายปลายทางของเส้นทางสายไหม แถมยังเป็นแหล่งรวมสถาปัตยกรรมสมบัติของชาติมากที่สุดในญี่ปุ่นอีกด้วย
ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่นาราจะเต็มไปด้วยไฮไลท์เด่นๆมากมายไม่ว่าจะเป็น พระพุทธรูปไดบุทสึแห่งนารา รวมถึงวัดและศาลเจ้าที่มีประวัติความเป็นมาอันยาวนาน เช่น วัดโฮริวจิซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมไม้ที่เก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่น เป็นต้น นอกจากนี้ มรดกโลกก็ไม่ได้มีน้อยหน้าไปกว่ากันเลย เนื่องจากภายในงาน Shōsōin (โชโซอิน) ที่จัดขึ้นในฤดูใบไม้ร่วงของทุกปีนั้นมีการจัดแสดงของล้ำค่ามากมายที่ค้นพบจากคลังเก็บของในสมัยก่อน จึงมีผู้คนเดินทางมาชมโบราณวัตถุเหล่านั้นกันเป็นจำนวนมาก
นอกจากนี้ก็ยังคงหลงเหลือโบราณวัตถุอีกมากมายที่ยังคงรอการขุดพบในนาราถึงขนาดมีคำกล่าวเอาไว้ว่าเมื่อขุดพื้นดินในนาราจะต้องค้นพบอะไรบางอย่างเสมอ เราจึงสามารถรับรู้ได้เลยว่าร่องรอยแห่งนาราโบราณนั้นยังคงหลับใหลอยู่ข้างใต้ผืนดินแห่งนี้เอง
ในครั้งนี้ เราจะมาแนะนำ “นารา” จังหวัดที่สามารถสัมผัสถึงกลิ่นอายสมัยก่อน ประวัติศาสตร์ และธรรมชาติได้กันค่ะ ^^
สารบัญ:
1.วิธีการเดินทางเข้าเมืองนารา
2.ข้อมูลการเดินทางท่องเที่ยวนารา
3.ข้อมูลโซนต่างๆของนารา
4.ศูนย์ประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวนารา
5.10 แหล่งท่องเที่ยวแนะนำในนารา
6.แผนเที่ยวแนะนำของนารา
7.งานอีเว้นท์และงานเทศกาลในนารา
8.10 ของฝากจากนารา
9.แหล่งช้อปปิ้งในนารา
10.โรงแรมที่พักในนารา
11.อาหารท้องถิ่นของนารา
12.สภาพอากาศและเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายที่เหมาะสมต่อการท่องเที่ยวนารา
13.ข้อมูลอื่นๆที่มีประโยชน์ต่อการท่องเที่ยว
วิธีการเดินทางเข้าเมืองนารา
วิธีการนั่งรถไฟและรถบัสมาจากโตเกียว
ก่อนอื่นให้นั่ง JR Tokaido Shinkansen「Nozomi」「Hikari」หรือ「Kodama」จากโตเกียวไปยังเกียวโตกันก่อนเลยจ้า... โดยมีค่าโดยสารและระยะเวลาในการเดินทางแตกต่างกันดังต่อไปนี้
「Nozomi」……ประมาณ 2 ชั่วโมง 20 นาที ค่าโดยสารแบบระบุที่นั่งธรรมดา 13,910 เยน / เที่ยว
「Hikari」……ประมาณ 2 ชั่วโมง 40 นาที ค่าโดยสารแบบระบุที่นั่งธรรมดา 13,600 เยน
「Kodama」……ประมาณ ชั่วโมง ค่าโดยสารเท่ากับ「Hikari」ในกรณีที่ใช้แพ็คเกจทัวร์ Buratto Kodama ของ JR Tokai Tour เราจะสามารถใช้บริการได้ในราคา 10,100 เยน~
ส่วนวิธีการเดินทางจากเกียวโตมาถึงนารานั้นสามารถดูจากหัวข้อ “วิธีการนั่งรถไฟและรถบัสมาจากโอซาก้าและเกียวโต” ด้านล่างได้เลยค่ะ
จองตั๋วชินคันเซ็น : Voyagin>
จาก Tokyo Station และ Shinjuku Station มาถึง JR・Kintetsu Nara Station และ Kintetsu Nara Station มีรถบัสด่วนและรถบัสกลางคืนวิ่งให้บริการอยู่ ระยะเวลาในการเดินทางอย่างช้าที่สุด 9 ชั่วโมง ค่าโดยสารอาจเปลี่ยนแปลงไปตามแต่ละวัน 4,000 - 9,500 เยน / เที่ยว บอกเลยว่าถูกมาก เนื่องจากถ้าเกิดใช้บริการรถบัสกลางคืน เราจะเดินทางมาถึงนาราได้ในระหว่างนอนหลับ จึงขอแนะนำสำหรับใครที่ไม่ค่อยมีเวลาเหลือเฟือ
สำหรับรายละเอียดสามารถเข้าไปดูได้จากบทความ「รถไฟ?รถบัส?ชินคันเซ็น?แนะนำการเดินทางจากโตเกียวไปเมืองนารา」
จองตั๋วรถบัสด่วนพิเศษ : WILLER TRAVEL>
วิธีการนั่งรถไฟและรถบัสมาจากโอซาก้าและเกียวโต
วิธีการเดินทางมาจากเกียวโต
การเดินทางจาก Kyoto Station มาถึงนารามีรถไฟ JR และ Kintetsu Railway วิ่งให้บริการ โดยเราสามารถนั่ง JR Nara Line Miyakoji Rapid Service มาถึง JR Nara Station ได้โดยใช้เวลา 44 นาที ค่าโดยสาร 710 เยน หรือว่าจะนั่ง Kintetsu Express For Nara มาถึง Kintetsu Nara Station ก็ได้โดยใช้เวลาประมาณ 50 นาที ค่าโดยสาร 610 เยน ในกรณีที่ใช้บริการ Kintetsu Limited Express ใช้เวลา 34 นาที แต่ว่าจำเป็นต้องจ่ายค่าตั๋วด่วนเพิ่มอีก 510 เยน
เนื่องจากรถไฟสายตรงวิ่งให้บริการเพียง 2 ขบวน / ชั่วโมงเท่านั้น ในกรณีที่ขึ้นรถไฟสายตรงไม่ทันจึงขอแนะนำให้นั่งรถไฟด่วน For Kashiwara Jingu-mae เพื่อไปเปลี่ยนขบวนเป็นรถไฟ For Nara ที่ Yamato Saidaiji Station จะเร็วกว่า แต่ก็มีข้อควรระวังอยู่อย่างหนึ่งคือ JR Nara Station และ Kintetsu Nara Station ไม่ได้ตั้งอยู่ที่เดียวกันนะจ๊ะ... การเดินไป-มาถึงกันใช้เวลาประมาณ 15 นาที สำหรับใครที่ต้องการเดินทางไปยังวัดโคฟุกุจิ, สวนนารา หรือวัดโทไดจิขอแนะนำให้ใช้ Kintetsu Nara Station จะใกล้กว่า แต่สำหรับใครที่ต้องการเดินทางไปยังวัดโฮริวจิควรนั่งรถไฟ Yamato Line ไปจาก JR Nara Station จะสะดวกที่สุด
วิธีการเดินทางมาจากโอซาก้า
สำหรับใครที่ต้องการเดินทางจากโอซาก้ามาถึงนารามีอยู่ 2 วิธีด้วยกันประกอบด้วยวิธีการเดินทางจากโอซาก้าด้วยรถไฟ JR และวิธีการเปลี่ยนรถไฟจาก JR หรือรถไฟใต้ดินไปยัง Kintetsu Railway ในกรณีที่ใช้บริการรถไฟ JR ก่อนอื่นให้นั่ง JR Kyoto Line ไปยัง Osaka Station แล้วเปลี่ยนขบวนเป็น JR Osaka Loop Line For Nishikujō ไปลงที่ Shin-Imamiya Station แล้วเปลี่ยนขบวนเป็นรถไฟด่วน Yamatoji Line มาถึง Nara Station ระยะเวลาในการเดินทาง 1 ชั่วโมง 20 นาที ค่าโดยสาร 920 เยน
นอกจากนี้ ในกรณีที่นั่ง JR Osaka Loop Line For Kyōbashi จำเป็นต้องเปลี่ยนขบวนเป็นรถไฟเร็วหรือรถไฟด่วน For Kintetsu Nara Station ที่ Tsuruhashi Station โดยใช้เวลาในการเดินทางรวมประมาณ 1 ชั่วโมง ค่าโดยสาร 710 เยน ส่วนในกรณีที่ใช้บริการรถไฟใต้ดินเมืองโอซาก้า Midosuji Line จาก Shin-Ōsaka Station จำเป็นต้องเปลี่ยนขบวนเป็น Kintetsu Nara Line ที่ Osaka Namba Station ระยะเวลาในการเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง ค่าโดยสาร 840 เยน
แต่เส้นทางจากโอซาก้าและเกียวโตมาถึงนารานั้นไม่มีรถบัสวิ่งให้บริการ แต่จากโอซาก้านัมบะจะมีเฉพาะรถบัสด่วนกลางคืนเท่านั้น
สำหรับรายละเอียดสามารถเข้าไปดูได้จากบทความ「รถไฟ?รถบัส?ชินคันเซ็น?แนะนำการเดินทางจากโตเกียวไปเมืองนารา」
ข้อมูลการเดินทางท่องเที่ยวนารา
・รถไฟ
เนื่องจากรถไฟ JR และ Kintetsu Railway ทั้ง 2 บริษัทนั้นให้บริการรถไฟครอบคลุมภายในตัวเมืองนาราอยู่แล้ว เราจึงสามารถเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆได้อย่างสะดวกสบายที่สุด
JR
รถไฟ JR มีบริการ「Kansai One-Day Pass」ตั๋วบุฟเฟ่ต์ขึ้น-ลงรถไฟ JR ภายในคันไซ (โอซาก้า, โกเบ, เกียวโต, ชิกะ, นารา และวายากาม่า) ตลอดทุกฤดูกาลได้อย่างไม่จำกัดภายในระยะเวลา 1 วัน ราคาผู้ใหญ่ 3,600 เยน โดยเราสามารถหาซื้อได้ตามตู้จำหน่ายตั๋วอัตโนมัติสีเขียวและเคาน์เตอร์จำหน่ายตั๋วภายในสถานีรถไฟหลักๆของ JR West เพียงแค่โชว์ตั๋วหลักและตั๋วแลกที่ Kintetsu Osaka Abenobashi Station หรือ Kyoto Station เราก็จะได้รับ “ตั๋วโยชิโนะ・อาสุกะ” เซ็ตรวมทั้งตั๋วไป-กลับระหว่าง Kintetsu Osaka Abenobashi Station หรือ Kyoto Station และโซนโยชิโนะและอาสุกะ รวมถึงตั๋วด่วนด้วย แถมเรายังสามารถใช้บริการรถจักรยานเช่า Ekirin-kun ได้อย่างไม่จำกัดภายในระยะเวลา 1 วันอีกต่างหาก
Kintetsu Railway
ส่วน Kintetsu Railway มีบริการ「Kintetsu Weekend Free Pass」ตั๋วบุฟเฟ่ต์ขึ้น-ลงรถไฟ Kintetsu Railway ได้อย่างไม่จำกัดภายในระยะเวลา 3 วันติดต่อกันรวมวันเสาร์-อาทิตย์ นอกจากนี้ก็ยังมี「World Heritage Free Pass」ตั๋วขึ้น-ลงรถไฟ Kintetsu Railway และรถบัสสาธารณะได้อย่างไม่จำกัดภายในขอบเขตที่กำหนดอีกด้วย โดยเราสามารถเลือกซื้อสำหรับเส้นทางนารา・อิคารูกะ (1 วัน・2 วัน) หรือเส้นทางนารา・อิคารูกะ・โยชิโนะ (3 วัน) ได้อย่างอิสระ ราคา Kintetsu Weekend Free Pass ผู้ใหญ่ 4,100 เยน ส่วน World Heritage Free Pass ราคาผู้ใหญ่ 1,500 เยน~ / 1 วัน
นอกจากนี้ สำหรับใครที่ต้องการนั่งรถไฟเอกชนหรือรถไฟใต้ดินมาถึงนาราก็มี「Nara/Ikaruga One Day Ticket」และ「Ancient Roman Asuka Day-Trip Ticket」ตั๋วบุฟเฟ่ต์ไป-กลับจากนาราและขึ้น-ลงรถไฟ Kintetsu Railway และรถบัสสาธารณะภายในนาราได้อย่างไม่จำกัดเช่นเดียวกัน เนื่องจากราคาตั๋วอาจมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นอยู่กับสถานีต้นทาง จึงควรสอบถามข้อมูลจากเคาน์เตอร์ก่อนเสมอ
เนื่องจากตั๋วข้างต้นไม่ได้มีจำหน่ายทุกสถานีรถไฟ จึงขอแนะนำให้เข้าไปดูรายละเอียดจาก เว็บไซต์หลัก (ภาษาอังกฤษ・ภาษาจีนตัวย่อ・ภาษาจีนตัวเต็ม・ภาษาเกาหลี・ภาษาไทย) ของ Kintetsu Railway
・รถบัส
รถบัสนาราวิ่งให้บริการภายในเมืองนารา นอกจากรถบัสประจำทางแล้วก็ยังมีรถบัสพิเศษบางคันที่วิ่งให้บริการรับ-ส่งตามแหล่งท่องเที่ยวตามฤดูกาลอีกด้วย ในกรณีที่ใช้บริการ「Nara Park Gurutto Bus」ที่วิ่งให้บริการภายในเมืองนารา เราจะสามารถตระเวนท่องเที่ยวตามแหล่งท่องเที่ยวต่างๆได้ในราคาสุดคุ้มเพียง 100 เยนตลอดสาย นอกจากนี้ก็ยังมีตั๋วฟรีพาสสุดคุ้มที่สามารถใช้ขึ้น-ลงรถบัสสาธารณะภายในขอบเขตที่กำหนดได้หลายครั้งพร้อมส่วนลดพิเศษสำหรับเข้าชมวัด-ศาลเจ้าและร้านค้าที่ร่วมรายการด้วย โดยมีประเภทและราคาดังต่อไปนี้
สวนนารา・นิชิโนะเคียว มรดกโลก 1-Day Pass (ผู้ใหญ่ 500 เยน)
สวนนารา・นิชิโนะเคียว・วัดโฮริวจิ มรดกโลก 1-Day Pass Wide (ผู้ใหญ่ 1,000 เยน)
นารา・ยามาโทจิ 2-Day Pass (ผู้ใหญ่ 1,500 เยน)
โซนที่เกี่ยวข้องกับเจ้าชายโชโตกุ (ผู้ใหญ่ 500 เยน)
สำหรับรายละเอียดสามารถสอบถามได้จากเคาน์เตอร์จำหน่ายตั๋วรถบัสหรือเช็คจาก เว็บไซต์หลัก (ภาษาอังกฤษ・ภาษาจีนตัวย่อ・ภาษาจีนตัวเต็ม・ภาษาเกาหลี)
・รถจักรยาน
เราสามารถใช้บริการรถจักรยานเช่าภายในเมืองนาราได้ด้วยนะเออ... โดยหนึ่งในบริการจักรยานเช่าที่ได้รับความนิยมในหมู่นักท่องเที่ยวมากที่สุดเลยก็คือการเช่าจักรยานตระเวนชม Asuka Historical National Government Park นั่นเอง เนื่องจากที่นี่มีเนินขึ้น-ลงเล็กน้อย ในปัจจุบันจึงมีการจัดเตรียมทั้งจักรยานไฟฟ้า, จักรยานติดเบาะนั่งสำหรับเด็กเล็ก และจักรยานสำหรับเด็กที่มีหมวกกันน็อคเอาไว้อย่างครบครัน
จักรยานไฟฟ้าราคา 1,500 เยน / วัน, จักยานราคา 900 เยน / วัน (วันธรรมดา) 1,000 เยน / วัน (วันเสาร์-อาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์) เนื่องจากมีการรองรับปัญหาเรื่องจักรยานและเราสามารถนำจักรยานไปจอดทิ้งตามจุดที่ตกลงกันไว้ได้ (คิดเงินเพิ่ม 200 เยน) จึงบอกเลยว่าสบายใจหายห่วงจ้า...
ข้อมูลโซนต่างๆของนารา
① โซนนารา
สวนนาราเป็นแหล่งท่องเที่ยวขึ้นชื่อเรื่องเป็นที่อยู่อาศัยของกวางมากมายซึ่งเชื่อกันว่าเป็นสัตว์รับใช้ของเทพเจ้า ภายในโซนนี้เต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมทางประวัติศาสตร์และวัด-ศาลเจ้าที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกมากมาย เช่น「วัดโทไดจิ」ภายใน「นารามาจิ」เรียงรายไปด้วย “มาจิยะ” หรือทาวน์เฮ้าส์ดั้งเดิมของญี่ปุ่นใน สมัยเอโดะ เราจึงสามารถเดินเล่นสัมผัสประวัติศาสตร์ของนาราได้อย่างเต็มที่ นอกจากนี้ก็ยังสามารถเพลิดเพลินกับการช้อปปิ้งสินค้ามากมายหลายประเภทจากร้านค้าภายในย่านร้านค้าและนารามาจิได้อีกด้วย
② โซนอาสุกะ・คาชิฮาระ
โซนอาสุกะ・คาชิฮาระเป็นโซนที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของพื้นที่แอ่งล้อมรอบด้วยภูเขาในนารา นอกจากที่นี่จะเป็นที่ตั้งของแหล่งชมทัศนียภาพอันงดงามของชาติอย่าง อุทยานประวัติศาสตร์คาสุกะที่ยังคงหลงเหลือซากโบราณสถานโบราณ แล้วก็ยังมี「3 ภูเขาแห่งยามาโตะ」ที่ประกอบด้วย ภูเขาอามาโนะคากุ, ภูเขาอุเนบิ และ ภูเขามิมินาชิ อีกด้วย แถมเรายังสามารถสัมผัสกับประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นมากมายได้ไม่ว่าจะเป็น「ถนนยามาโนเบะ」ซึ่งว่ากันว่าเป็นถนนที่เก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่น,「ศาลเจ้าคาชิฮาระจิงงู」ซึ่งสักการะบูชาจักรพรรดิองค์แรกของญี่ปุ่น และ「เมืองอิไม」ซึ่งยังคงหลงเหลือมาจิยะในสมัยเอโดะ
③ โซนอิโคมะ・อิคารูกะ
ภูเขาอิโคมะ ที่ตั้งอยู่ตรงพรมแดนเชื่อมต่อกับโอซาก้าทางฝั่งตะวันตกของนาราแห่งนี้โด่งดังในฐานะที่เป็นโซนที่มีตำนานและเทพนิยายมากมาย โดยชาวเมืองนาราเชื่อกันว่าเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ อิคารูกะเป็นสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับเจ้าชายโชโตกุหรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “อุมายาโดะ โนะ โอจิ” นอกจากนี้ก็ยังมีสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับเจ้าชายโชโตกุอีกมากมาย เช่น วัดโฮริวจิ เป็นต้น
④ โซนโยชิโนะ
โซนโยชิโนะเป็นโซนภูเขาที่ทอดยาวจากใจกลางนาราไปทางตอนใต้ โดยเป็นที่ตั้งของออนเซ็นธรรมชาติที่มีสรรพคุณมากมาย แถมยังเป็นโซนที่ทำให้เราสามารถดื่มด่ำกับความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติของนาราได้อีกด้วย ในฤดูใบไม้ผลิมีไฮไลท์เป็นซากุระ, ฤดูร้อนเป็นดอกไฮเดรนเยีย, ฤดูใบไม้ร่วงเป็นใบไม้เปลี่ยนสี ส่วนฤดูหนาวเป็นทัศนีภาพสีขาวโพลนของหิมะ จึงเรียกได้ว่าเพลิดเพลินได้ตลอดทั้ง 4 ฤดูกาลจริงๆค่ะ
สำหรับรายละเอียดสามารถเข้าไปดูได้จากบทความ「 คู่มือเที่ยวนารา・เมืองมรดกโลก〜แนะนำพื้นที่แถบนารา・อะซึกะ・อิคะรุกะ・โยชิโนะ〜 」
ศูนย์ประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวนารา
Nara City Tourist Center
Nara City Tourist Center คือ ศูนย์ประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวที่ตั้งอยู่ตรงสี่แยกบนถนนซันโจโดริซึ่งเชื่อมต่อไปยัง JR Nara Station และถนนยาสุริกิที่เชื่อมต่อไปยัง Kintetsu Nara Station โดยมีบริการรองรับภาษาอังกฤษระหว่างเวลา 9.00 – 19.00 น. ส่วนบริการรองรับภาษาจีนและภาษาเกาหลีระหว่างเวลา 9.00 – 15.30 น. แถมยังมีบริการ Free WiFi เอาใจนักท่องเที่ยวด้วย ที่นี่เปิดทำการ 9.00 – 21.00 น.
ที่อยู่:23-4 Kamisanjōchō, Nara-shi, Nara-ken
เบอร์โทรศัพท์:0742-22-3900
Nara City Tourist Information Center
อาคารสถานีรถไฟเก่าของ JR Nara Station ในปัจจุบันเปิดให้บริการเป็นศูนย์ประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยว Nara City Tourist Information Center ไปแล้ว นอกจากที่นี่จะรองรับภาษาต่างประเทศตลอดเวลาเปิดทำการแล้วก็ยังมีโซนค้นหาข้อมูลการท่องเที่ยวที่เชื่อมต่อบริการอินเตอร์เน็ตอีกด้วย โดยเปิดทำการ 9.00 – 21.00 น.
ที่อยู่:1082 Sanjōhonmachi, Nara-shi, Nara-ken
เบอร์โทรศัพท์:0742-27-2223
Kintetsu Nara Station General Tourist Information Center
Kintetsu Nara Station General Tourist Information Center คือ ศูนย์ประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวรวมที่ตั้งอยู่บนชั้น 1F ของ Kintetsu Nara Station โดยเราสามารถหยิบแผนที่ท่องเที่ยวภายในเมือง, ใบปลิว และแผ่นพับต่างๆได้ที่นี่เลย โดยเปิดทำการ 9.00 – 21.00 น. พร้อมบริการรองรับภาษาอังกฤษ
เนื่องจากศูนย์ประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวทุกแห่งล้วนให้คำแนะนำเรื่องแหล่งท่องเที่ยวและอาหารอย่างสุภาพอ่อนน้อม เราจึงสามารถแวะไปใช้บริการได้อย่างสบายใจหายห่วงจ้า...
ที่อยู่:Kintetsu Nara Station 1F, 29 Higashimuki Nakamachi, Nara-shi, Nara-ken
เบอร์โทรศัพท์:0742-24-4858
10 แหล่งท่องเที่ยวแนะนำในนารา
1. Tōdai-ji (วัดโทไดจิ)
Tōdai-ji (วัดโทไดจิ) คือ วัดที่ประเทศญี่ปุ่นสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 8 ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก โดยภายในวัดมีทั้งโบสถ์ประดิษฐานพระพุทธรูปไดบุทสึซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมไม้ที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น, “ฮกเคะโด” ที่เรียงรายไปด้วยรูปแกะสลักสุดงดงาม และ “นิกัตสึโด” หอจัดพิธี “โอะมิซึโทริ” ประจำฤดูใบไม้ผลิ นอกจากนี้ เรายังสามารถชมอาคารบ้านเมืองนาราจากภายในหอนิกัตสึได้ด้วยนะเออ... บอกเลยว่าห้ามพลาดไฮไลท์เด็ดอย่างพระพุทธรูปไดบุทสึสูงกว่า 15 เมตรที่ประดิษฐานอยู่ภายในโบสถ์และรูปปั้นเทพเจ้าผู้ปกปักรักษาที่ประตูใหญ่ฝั่งใต้เด็ดขาด!
ที่อยู่:406-1 Zōshichō, Nara-shi, Nara-ken
อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
2. Hōryū-ji (วัดโฮริวจิ)
Hōryū-ji (วัดโฮริวจิ) คือ วัดขึ้นชื่อในฐานะที่เป็นสถาปัตยกรรมไม้ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก โดยสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 7 ในปัจจุบันแหล่งมรดกโลกแบ่งออกเป็น 2 โซนด้วยกันประกอบด้วย “ไซอินการัน” ที่มีศูนย์กลางเป็นเจดีย์ห้าชั้นและหอคินโด และ “โทอินการัน” ซึ่งมีศูนย์กลางเป็นหอยูเมะเด็น
Hōryū-ji (วัดโฮริวจิ):1-1 Horyuji Sannai, Ikaruga, Ikoma District, Nara Prefecture
3. Nara Park (สวนนารา)
ภายในพื้นที่อันกว้างใหญ่ของ Nara Park (สวนนารา) เต็มไปด้วยแหล่งท่องเที่ยวมากมายไม่ว่าจะเป็น วัดและสถาปัตยกรรมที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก อย่าง วัดโทไดจิ, ศาลเจ้าคาสุกะไทฉะ, วัดโคฟุกุจิ และวัดโชโซอิน, แหล่งชมทัศนียภาพอันงดงามอย่างหออุคิมิโดและอาซาจิกาฮาระเอ็นจิ รวมถึงพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาตินารา บอกเลยว่าเดินเที่ยวทั้งวันก็ไม่หมดอย่างแน่นอน นอกจากนี้ ภายในป่าศักสิทธิ์ของศาลเจ้าคาสุกะไทฉะก็ยังเป็นที่ตั้งของถนนคนเดินโดยมีฉากหลังเป็นภูเขาวากาคุสะซึ่งตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของสวนนาราอีกด้วย ส่วนไฮไลท์ขึ้นชื่อของสวนนาราเลยก็คือบรรดากวางน้อย-ใหญ่มากกว่า 1000 ตัวนั่นเอง โดยมีการจัดงานอีเว้นท์ยอดนิยมในหมู่นักท่องเที่ยวอย่าง “ชิกะโยเสะ” งานเป่าฮอร์นเรียกกวางในฤดูร้อนและ “ทสึโนะคิริ” งานตัดเขากวางในฤดูใบไม้ร่วงขึ้นที่นี่ด้วยนะเออ...
ที่อยู่:469 Zōshichō, Nara-shi, Nara-ken
4. Nishinokyō (นิชิโนะเคียว) : Yakushi-ji (วัดยาคุชิจิ) และ Tōshōdai-ji (วัดโทโชไดจิ)
Yakushi-ji (วัดยาคุชิจิ) แห่งนี้เริ่มดำเนินการก่อสร้างมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 7 และย้ายมาตั้งที่นี่ในศตวรรษที่ 8 โดยเป็นวัดที่ประกอบด้วยสถาปัตยกรรมทั้งหมด 8 หลังด้วยกัน เช่น หอคินโด, หอไดโคโด และหอคอยโทไซ เป็นต้น สีแดงชาดที่ใช้ทาตามเสาวัดเป็นอะไรที่น่าจดจำสุดๆ
เมื่อเดินจากวัดยาคุชิจิไปทางตอนเหนือประมาณ 10 นาทีก็จะพบกับ Tōshōdai-ji (วัดโทโชไดจิ) พระกันจินชาวจีนผู้ใช้เวลากว่า 5 ปีในวัดโทไดจิ ได้ใช้อาคารหลังเก่าเป็นสถานที่สอนลูกศิษย์เกี่ยวกับแนวคิดของศาสนาพุทธ หลังจากนั้น บรรดาผู้สนับสนุนพระกันจินก็ได้บริจาคเงินสร้างอาคารแห่งใหม่ขึ้นมา เช่น หอประชุมและหอหลักชั่วคราว เมื่อพระกันจินเสียชีวิตลงก็ได้มีการก่อสร้างหอหลักและหอคอยตะวันออกขึ้นมาจนกลายเป็นรูปเป็นร่างเหมือนดังปัจจุบันในช่วงปลายศตวรรษที่ 8 หอหลักเป็นสถาปัตยกรรมอันล้ำค่าที่ส่งผ่านรูปแบบการก่อสร้างในสมัยก่อนสู่สายตาของผู้คนยุคใหม่ เนื่องจากวัดยาคุชิจิและวัดโทโชไดจิต่างก็ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทั้งคู่ จึงบอกเลยว่าห้ามพลาดจ้า!
Yakushi-ji (วัดยาคุชิจิ):457 Nishinokyōchō, Nara-shi, Nara-ken
Tōshōdai-ji (วัดโทโชไดจิ):13-46 Gojocho, Nara, Nara Prefecture
5. Kasuga-taisha (ศาลเจ้าคาสุกะไทฉะ)
Kasuga-taisha (ศาลเจ้าคาสุกะไทฉะ) แห่งนี้สักการะบูชาเทพเจ้าฟูจิวาระตามตำนานที่ว่าคุณฟูจิวาระผู้จัดพิธีทางศาสนาของชินโตมาตั้งแต่ในอดีตได้อัญเชิญเทพเจ้าขึ้นมาบนภูเขามิคาสะซึ่งในขณะนั้นยังไม่มีเทพเจ้าสิงสถิตอยู่เพื่อปกป้องคุ้มครองเมืองหลวง เฮอันเคียว ในสมัยนั้น บรรยากาศทั้งเสาสีแดงสด, กำแพงสีขาว และหลังคาเปลือกไม้สนยังคงเหมือนกับสมัยก่อนไม่เปลี่ยนแปลง เนื่องจากทุกๆ 20 ปีจะมีการจัดพิธี “ชิคิเน็นโซไต” หรือการสร้างศาลเจ้าใหม่นั่นเอง ที่นี่ก็ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเช่นเดียวกัน ทัศนียภาพของระเบียงทางเดินสีแดงสดและโคมไฟแขวนเพดานเป็นอะไรที่งดงามน่าประทับใจสุดๆ สำหรับรายละเอียดสามารถเข้าไปดูได้จากบทความ「แค่ตอนนี้เท่านั้น! แสวงบุญกรณีพิเศษในรอบ 140 ปี และการสร้างที่อยู่ใหม่สำหรับพระเจ้าที่จะมีแค่หนึ่งครั้งใน 20 ปี ณ ศาลเจ้าคาสุงะไดฉะ」
ที่อยู่:160 Kasuganochō, Nara-shi, Nara-ken
6. Heijō Palace (พระราชวังเฮโจ)
Heijō Palace (พระราชวังเฮโจ) ร่องรอยทางประวัติศาสตร์ที่ได้รับการบูรณะฟื้นฟูขึ้นภายในพื้นที่ขนาดใหญ่ของเมืองหลวงเก่าเฮอันเคียวแห่งนี้เป็นที่ตั้งของทั้ง “หอไดโกคุเด็น”, “ประตูซูซากุมง”, “สวนโทอินเทเอ็น”, “พิพิธภัณฑ์ร่องรอยพระราชวังเฮโจคิว”, “พิพิธภัณฑ์ข้อมูลการบูรณะปฏิสังขรณ์” และ “พิพิธภัณฑ์จัดแสดงโครงสร้างอาคารโบราณ” โดยเป็นหนึ่งในมรดกโลกที่สามารถสัมผัสถึงห้วงเวลาอันเป็นนิจนิรันดร์ได้
ที่อยู่:Sakicho, Nara, Nara Prefecture
7. พระศรีอริยเมตไตรยแห่ง Chūgū-ji (วัดจูกูจิ)
Chūgū-ji (วัดจูกูจิ) ที่ตั้งอยู่ติดกับวัดโฮริวจิแห่งนี้เป็นสถานที่ประดิษฐานของพระศรีอริยเมตไตรยที่สร้างจากไม้ โดยมีเอกลักษณ์อยู่ที่ท่าทางนั่งห้อยขาซ้าย พาดเท้าขวาเอาไว้บนตัก และการวางมือเอาไว้ตรงแก้ม เหมืนประติมากรรม คนครุ่นคิด ของรอแด็ง คนญี่ปุ่นจึงเรียกกันว่า “นักกวีแห่งซีกโลกตะวันออก” สีหน้าอมยิ้มอ่อนๆขึ้นชื่อในฐานะที่เป็น “การยิ้มแบบโบราณ” พระศรีอริยเมตไตรยที่สร้างโดยใช้เทคนิคคิโยเสะสุดเอกลักษณ์นี้ว่ากันว่าเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงของประติมากรรมในสมัยนั้นเลยทีเดียว
ที่อยู่:1-1-2 Horyujikita,Ikarugacho,Ikomagun,Nara
8. Yoshino Mountain (ภูเขาโยชิโนะ)
Yoshino Mountain (ภูเขาโยชิโนะ) เป็นแหล่งชมซากุระขึ้นชื่อของนารา ภาพบรรยากาศของซากุระกว่า 200 สายพันธุ์รวม 30,000 ต้นที่บานสะพรั่งพร้อมกันถึงขนาดได้รับฉายาว่า “ฮิโตเมะเซ็มบง” เลยทีเดียว โดยมีความหมายว่า “ความงดงามของการชมต้นไม้กว่า 1 พันต้นในครั้งเดียว”
นอกจากนี้ เนื่องจากช่วงเวลาการบานของซากุระจะแตกต่างกันไปตามแต่ละโซน โดยทั้ง 4 โซนประกอบด้วยโซนชิโมะเซ็มบง, โซนนากาเซ็มบง, โซนคามิเซ็มบง และโซนโอคุเซ็มบงนั้นจะบานสะพรั่งติดต่อกันตามลำดับ เราจึงสามารถเพลิดเพลินกับการชมซากุระได้เป็นเวลานาน ในฤดูร้อนจะมีการจัดงานอีเว้นท์ต่างๆมากมายไม่ว่าจะเป็น “งานเทศกาลแข่งขันกระโดดกบ”, “งานเทศกาลทานาบาตะ” และ “งานเทศกาลกอนเก็นไซ” ส่วนในฤดูใบไม้ร่วงก็โดดเด่นเรื่องทัศนียภาพอันงดงามของใบไม้เปลี่ยนสีจากบนกระเช้า และในฤดูหนาวหิมะจะพัดพาความเงียบสงบมาสู่ภูเขา แถมในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ก็ยังมีการจัดงานเทศกาลเซ็ตสึบุนอีกด้วย โดยเราจะได้เห็นยักษ์เดินขบวนไปรอบๆเมืองด้วยนะเออ...
ที่อยู่:Mount Yoshino, Yoshinoyama, Yoshino, Yoshino District, Nara Prefecture
9. Ishibutai Kofun (อิชิบุไตโคะฟุน)
Ishibutai Kofun (อิชิบุไตโคะฟุน) คือ สุสานโบราณที่ตั้งอยู่ภายในหมู่บ้านอาสึกะ หลังจากเนินดินหายไปจึงหลงเหลือแค่เพียงโลงหินเท่านั้น ว่ากันว่าแต่เดิมแล้วเป็นสุสานของ “โซกาโนะ อุมาโกะ” ผู้มีอำนาจของนาราในสมัยก่อน หิน 30 ก้อนรวมทั้งหมดมีน้ำหนักกว่า 2300 ตัน เพียงแค่หินด้านบนหลังคาก็มีน้ำหนักกว่า 77 ตันแล้วล่ะค่ะ บอกเลยว่าทุกคนจะต้องตกใจในเทคโนโลยีด้านการขนย้ายในสมัยก่อนกันอย่างแน่นอน สำหรับใครที่มีโอกาสเดินทางมาเที่ยวหมู่บ้านอาสึกะก็อย่าลืมแวะมาชมกันด้วยนะคะ ^^
ที่อยู่:254 Shimasho, Asukamura, Takaichi, Nara
10. Naramachi (นารามาจิ)
Naramachi (นารามาจิ) คือ ย่านที่มีศูนย์กลางอยู่ภายในบริเวณวัดกังโกจิเก่า โดยเรียกกันว่าเขตภูมิทัศน์เมืองนารา ที่นี่ยังคงหลงเหลือกระเบื้องหลังคาส่วนหนึ่งในสมัยก่อนซึ่งเชื่อกันว่าเก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่น บ้านสไตล์ดั้งเดิมของนารามาจินั้น เราไม่ได้เพียงแค่สามารถชมสถาปัตยกรรมสุดเอกลักษณ์ของมาจิยะที่ทั้งแคบและยาวได้เท่านั้น แต่ยังสามารถสัมผัสถึงวิถีชีวิตของชาวบ้านในสมัยเอโดะได้อีกด้วย เนื่องจากเป็นที่ตั้งของคาเฟ่สุดเก๋ไก๋, ร้านค้าจิปาถะสุดน่ารัก และโรงงานมากมาย เราจึงจะได้เพลิดเพลินกับการช้อปปิ้งและเดินเยี่ยมชมโรงงานกันอย่างจุใจ
สำหรับใครที่ได้มาเดินเล่นในนารามาจิจะต้องเคยเห็นตุ๊กตาสีแดงที่แขวนเอาไว้ตามหน้าบ้านกันอย่างแน่นอน สิ่งนี้คือลิงตัวแทนของ「โคชินโด」หอพระพุทธรูปที่ตั้งอยู่ในนารามาจินั่นเอง เป็นเป็นเครื่องรางที่ช่วยรับภัยพิบัติและความโชคร้ายแทนเจ้าของ
สำหรับข้อมูลรายละเอียดของแหล่งท่องเที่ยวขึ้นชื่อแต่ละแห่งสามารถเข้าไปดูได้จากบทความ「 10 แหล่งท่องเที่ยวใน “นารา” เมืองหลวงเก่าอายุกว่า 1400 ปี 」
ศูนย์ข้อมูลเมืองนารา : 21 Chūinchō, Nara-shi, Nara-ken
แผนเที่ยวแนะนำของนารา
ต่อไปเราจะมาแนะนำแผนเที่ยวนาราอย่างมีประสิทธิภาพภายใน 2 วันกันค่ะ ^^
เช้าวันที่ 1 ตระเวนเที่ยว Nara Park (สวนนารา), Tōdai-ji (วัดโทไดจิ), Kasuga-taisha (ศาลเจ้าคาสุกะไทฉะ) และ Kōfuku-ji (วัดโคฟุกุจิ) หลังจากนั้นก็แวะดื่มด่ำกับอาหารท้องถิ่นของนาราในตอนเที่ยงและเดินทางต่อไปยัง Gangō-ji (วัดกังโกจิ) เมื่อเดินออกจากวัดกังโกจิก็จะพบกับ Naramachi (นารามาจิ) เราสามารถใช้เวลาที่เหลืออยู่เดินเล่นชมบรรยากาศในบริเวณนี้ได้อย่างจุใจ
วันที่ 2 หลังจากเดินทางไปไหว้พระที่ Yakushi-ji (วัดยาคุชิจิ) และ Tōshōdai-ji (วัดโทโชไดจิ) ในตอนเช้าเสร็จแล้วไปสัมผัสความเจริญรุ่งเรืองของนาราในสมัยก่อนที่ Heijō Palace (พระราชวังเฮโจ) กันต่อเลย เมื่อตกกลางวันก็ตระเวนไหว้พระกันต่อที่ Hōryū-ji (วัดโฮริวจิ) และเดินทางไปยังแหล่งโบราณคดีสุสานหิน Ishibutai Kofun (อิชิบุไตโคะฟุน) สำหรับใครที่อยากชมแหล่งโบราณคดีโบราณอื่นๆด้วยก็ขอแนะนำให้เช่าจักรยานเลยจ้า...
สำหรับใครที่อยากรู้รายละเอียดเพิ่มเติมสามารถเข้าไปดูได้จากบทความ「 แผนเที่ยวนาราแบบรวบรัดภายใน 2 วัน 」
งานอีเว้นท์และงานเทศกาลในนารา
Wakakusa Yamayaki Festival (งานเทศกาลวาคาคุสะยามะยากิ)
Wakakusa Yamayaki Festival (งานเทศกาลวาคาคุสะยามะยากิ) ที่จัดขึ้นในวันเสาร์ที่ 4 มกราคมของทุกปี้นี้เป็นงานอีเว้นท์แสดงการมาเยือนของฤดูใบไม้ผลิในนารา โดยเป็นงานเทศกาลรวมพระและเทพเจ้าของวัดโทไดจิ, ศาลเจ้าคาสุกะไทฉะ และวัดโคฟุกุจิ งานนี้จะมีการจุดดอกไม้ไฟกว่า 600 นัดบนภูเขาวาคาคุสะเพื่อเซ่นไหว้ดวงวิญญาณบรรพบุรุษ รวมถึงขอพรให้นาราปลอดภัยจากภัยพิบัติและโลกมีแต่ความสงบสุข
สถานที่จัดงาน:Mount Wakakusa, Nara Park, Nara Prefecture
Kasuga Festival (งานเทศกาลศาลเจ้าคาสุกะ)
Kasuga Festival (งานเทศกาลศาลเจ้าคาสุกะ) คือ งานเทศกาลใหญ่ประจำศาลเจ้าคาสุกะไทฉะ เนื่องจากในสมัยก่อนจัดขึ้นในวันวอก คนญี่ปุ่นจึงเรียกกันว่า “ซารุมัตสึริ”(ซารุ=วอก) ในวันที่ 10 มีนาคมจะมีการตัดต้นซากากิบนภูเขาคาสุกะและขนมาตั้งเป็นเสาโทริอิซ้าย-ขวา 1 ต้น (พิธีทัตสึโนะทาเทซากากิ), วันที่ 11 จะมีพิธีชำระล้างผู้เข้าร่วมพิธีทุกคน (พิธีมิโนะฮาราเอะ) และพิธีสงบเทพเจ้าแห่งผืนดิน (พิธีอุชิโนมิกิ) ส่วนในวันที่ 12 จะเป็นพิธีวางทรายบริสุทธิ์ต่อหน้าเทพเจ้า (พิธีฮิตสึจิโนะซุนะโอกิ) เมื่อดำเนินการตามขั้นตอนข้างต้นเสร็จเรียบร้อยแล้วในวันที่ 13 ซึ่งเป็นวันงานจริงจะมีการจัดพิธีต้อนรับผู้ส่งสารของจักรพรรดิผู้ถือเครื่องสักการะของจักรพรรดิและขอพรให้ประเทศชาติมีแต่ความสงบสุขและประชากรเจริญรุ่งเรือง เนื่องจากระหว่างวันงานเทศกาลจะไม่สามารถสักการะศาลเจ้าคาสุกะไทฉะได้ จึงควรระวังกันด้วยนะจ๊ะ...
Nara Tokae (นาราโทกาเอะ)
Nara Tokae (นาราโทกาเอะ) คือ งานเทศกาลประจำฤดูร้อนของนาราที่จัดขึ้นติดต่อกันเป็นเวลานาน 10 วันในช่วงต้นเดือนสิงหาคมของทุกปี โดยเป็นการจุดเทียนไลท์อัพภายในสวนนาราจนสว่างไสวสวยงาม “โทกะ” หมายถึง ก้อนขี้ผึ้งรูปดอกไม้บนเชิงเทียน เนื่องจากในศาสนาพุทธเชื่อว่าเป็นของมงคล จึงตั้งชื่อว่าแบบนี้นั่นเอง บรรยากาศของนาราที่อบอวลไปด้วยไฟจากเสียงส่องสว่างไสวเป็นอะไรที่น่าพิศวงชวนฝันสุดๆ
Nara Daimoji Okuribi (นาราไดโมจิโอคุริบิ)
งานเทศกาลนี้เป็นงานเทศกาลขึ้นชื่อของเกียวโตก็จริง แต่เพื่อนๆรู้มั้ยว่าในนาราก็มีเหมือนกันนะเออ... โดยเป็นงานเทศกาลจุดไฟบนภูเขาทาคามาโดะยามะเพื่อเซ่นไหว้ดวงวิญญาณของผู้เสียชีวิตจากสงครามและขอพรให้เกิดสันติสุขแด่โลกในวันที่ 15 สิงหาคม งานเทศกาลนี้แปลกมากที่รวมทั้งความเชื่อแบบชินโตและพุทธเอาไว้ในงานเดียว ว่ากันว่าตัวอักษร「大」หมายถึง “จักรวาล”
10 ของฝากจากนารา
นาราเป็นแหล่งรวมของฝากแสนอร่อยมากมายไม่ว่าจะเป็นคาคิโนะฮะซูชิ, นาราสึเกะ, ไดบุทสึพุดดิ้ง และคุซุโมจิ เนื่องจากล้วนเป็นของสดทั้งหมด จึงควรระวังเรื่องวันหมดอายุให้ดี เดี๋ยวเรามาแนะนำ 10 ของฝากที่ไม่ต้องกังวลเรื่องวันหมดอายุกันบ้างดีกว่าเนอะ
1. นาราสึเกะคุกกี้
“นาราสึเกะคุกกี้” คือ คุกกี้ผสมนาราสึเกะ(ของดอง)ซึ่งมีรสชาติเข้ากันได้ดีเกินคาดเลยทีเดียว แอลกอฮอล์จากนาราสึเกะระเหยออกไป หลงเหลือเอาไว้เพียงความอร่อยสุดฟิน จึงนับเป็นคุกกี้เพื่อสุขภาพที่ไม่ได้มีดีแค่ความอร่อยจริงๆค่ะ
2. ชิกะซาบูเระ
“ชิกะซาบูเระ” ของร้าน Yokotafukueido (โยโกตะฟุคุเอโด) คือ คุกกี้เนื้อร่วนรสสัมผัสกรุบกรอบที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากกวางนารา โดยมีดีทั้งความอร่อยและรูปร่างหน้าตาน่ารักน่าหยิก ทำให้มันกลายเป็นของฝากยอดนิยมไปโดยปริยาย
3. โกะชินคะโนะฟุน
หลายคนอาจตกตะลึงทันทีที่ได้ยินชื่อของมัน เพราะ โกะชินคะโนะฟุน แปลว่า อุจจาระของกวาง แต่บอกเลยว่า “ โกะชินคะโนะฟุน” นี้เป็นของฝากขึ้นชื่อประจำจ.นาราเลยนะจ๊ะ... โดยมีทั้งหมด 2 แบบด้วยกันประกอบด้วยถั่วรสโชยุและถั่วเคลือบช็อกโกแลต
4. ลูกกวาดนารา
ร้าน Zeitaku mamehompo (เซตาคุมาเมะฮอมโปะ) แห่งนี้จำหน่ายขนมดั้งเดิมชวนให้คิดถึง รวมถึงคินทาโร่อาเมะ (※1) ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากใบหน้าของพระพุทธรูปไดบุทสึและกวางด้วย
※1:คินทาโร่อาเมะ……ลูกกวาดทรงกระบอกที่ส่วนหน้าตัดทำเป็นรูปหน้าต่างๆ
5. อาราเระซาเกะ
“อาราเระซาเกะ” คือ มิรินสำหรับดื่มที่ผลิตโดยโรงกลั่นเหล้า Harushika ขึ้นชื่อของนารา โดยเป็นเหล้าหวานญี่ปุ่นอันล้ำค่าของเหล่าขุนนางในเมืองสมัยก่อน
6. ชิกะมิคุจิ
“ชิกะมิคุจิ” ที่สามารถหาซื้อได้ในศาลเจ้าคาสุกะไทฉะนี้เป็นผลงานไม้แกะสลักดั้งเดิมของนาราด้วยเทคนิคที่เรียกกว่า “อิตโตโบริ” เนื่องจากผลงานแต่ละชิ้นจะมีสีหน้าแตกต่างกันออกไปผ่านการแกะสลักอย่างละเอียดประณีตแบบชิ้นต่อชิ้น เราจึงสามารเลือกแบบที่ถูกใจได้อย่างอิสระ
7. แปรงแต่งหน้า
ผลงานศิลปหัตถกรรมดั้งเดิมของนาราประกอบด้วยแท่นหมึกนารา, พู่กันนารา และอื่นๆอีกมากมาย จึงมีผู้คนเดินทางมาเพื่อซื้อหาอุปกรณ์เครื่องเขียนคุณภาพดีเหล่านี้กันมากมาย โดยร้าน Akashiya (อาคาชิยะ) แห่งนี้จำหน่ายแปรงแต่งหน้าคุณภาพดีที่ผลิตโดยใช้เทคนิคเดียวกัน
8. นาราฟุคิน
“นาราฟุคิน” คือ ผ้าฝ้ายลายทัศนียภาพต่างๆในนารา เช่น กวาง, วัดโทไดจิ และมันโตโรของศาลเจ้าคาสุกะไทฉะ เป็นต้น โดยขึ้นชื่อเรื่องการดูดซับน้ำได้ดี
9. สินค้าเกี่ยวกับกวาง
นาราเต็มไปด้วยสินค้าสุดน่ารักที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากกวางไม่ว่าจะเป็นพวงกุญแจกวาง, ที่คั่นหนังสือกวาง, คลิปกวาง และที่ตั้งการ์ดไม้รูปกวาง เป็นต้น
10. ตราปั๊มพระพุทธรูปไดบุทสึ
นอกจากนี้ก็ยังมีสินค้าเกี่ยวกับพระพุทธรูปอีกเพียบเลยอีกด้วย ตราปั๊มพระพุทธรูปที่สามารถหาซื้อได้จากร้านค้าพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาตินารานี้ได้รับการออกแบบเป็นดีไซน์ดูสงบนิ่งแต่แฝงความน่ารักขี้เล่น
แหล่งช้อปปิ้งในนารา
VIERA ภายใน JR Nara Station
VIERA ที่ตั้งอยู่ด้านล่าง JR Nara Station แห่งนี้เป็นแหล่งรวมร้านค้ากว่า 22 ร้านด้วยกันไม่ว่าจะเป็น「Nara Miyakoji」ร้านจำหน่ายของฝากจากนาราและ「Nara Meihinkan」ร้านแหล่งรวมผลิตภัณฑ์ขึ้นชื่อประจำนารา เช่น คาคิโนะฮะซูชิและนาราสึเกะ บอกเลยว่าเป็นศูนย์การค้าแสนสะดวกสำหรับการหาของฝากจริงๆค่ะ
Time’s Place Nara ภายใน Kintetsu Nara Station
Time’s Place ที่ตั้งอยู่ภายใน Kintetsu Nara Station แห่งนี้เป็นแหล่งรวมร้านค้ากว่า 14 ร้าน เช่น ร้านจำหน่ายของฝาก「GOTO-CHI」, ร้านจำหน่ายคาคิโนะฮะซูชิ และร้านขนมญี่ปุ่น เป็นต้น
โรงแรมที่พักในนารา
นาราซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวแบบไปเช้า-เย็นกลับยอดนิยมแห่งนี้มีโรงแรมที่พักค่อนข้างน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับเมืองอื่นๆ ในครั้งนี้เราจะมาแนะนำโรงแรมที่พักคัดสรรพิเศษสำหรับเพื่อนๆชาว MATCHA กันค่ะ
「Super Hotel Lohas JR Nara-eki」ที่มีระเบียงทางเดินเชื่อมต่อกับ JR Nara Station แห่งนี้เป็นโรงแรมติดออนเซ็น「อาสุกะโนะยุ」ที่สามารถเข้าพักได้ในราคาไม่ถึง 10,000 เยน / คืน แถมยังมีบริการอาหารเช้าฟรีอีกต่างหาก เนื่องจากที่นี่เป็นโรงแรมใหม่ จึงสะอาดสะอ้านและสะดวกต่อการท่องเที่ยวสุดๆ นอกจากนี้ก็ยังมีโรงแรม「Hotel Nikko Nara」ระดับ 4 ดาวที่เชื่อมต่อกับ JR Nara Station เหมือนกันอีกด้วย โดยเราสามารถเข้าพักได้ในราคา 12,000 ขึ้นไปขึ้นอยู่กับแต่ละแพ็คเกจ
สำหรับใครที่อยากพักที่นาราในราคาไม่แพงก็ขอแนะนำเป็น「Nara Guesthouse 3F」และ「Guest House Iki」ที่ตั้งอยู่ใกล้กับ Kintetsu Nara Station แสนสะดวกต่อการท่องเที่ยวเลยค่ะ นอกจากนี้ก็ยังมี「Machiya Guesthouse Naramachi」ที่พัฒนาทาวน์เฮ้าส์ดั้งเดิมของญี่ปุ่นในนารามาจิเป็นที่พักด้วยนะเออ...
และสำหรับใครที่อยากใช้ช่วงเวลาอันแสนพิเศษในนาราก็จะเป็นที่ไหนไปไม่ได้นอกจาก「Edosan」นั่นเอง ที่นี่เป็นเรียวกัง 5 หลังแยกจากกันสไตล์สุกิยะสึคุริ (※2) หรือมีห้องพักเพียง 5 ห้องเท่านั้นภายในสวนนารา โดยเราสามารถเข้าพักด้วยแพ็คเกจธรรมดา + อาหาร 2 มื้อได้ในราคา 20,000 เยนขึ้นไป / คน นอกจากนี้ โรงแรมระดับ 4 ดาวอย่าง「Nara Hotel」และ「Noborioji Hotel Nara」เก่าแก่ก็ได้รับความนิยมเช่นเดียวกัน
เราสามารถสัมผัสประสบการณ์เข้าพักในมาจิยะหรือทาวน์เฮ้าส์ดั้งเดิมของญี่ปุ่นได้ที่「Yanaseya」เลยจ้า... สำหรับรายละเอียดสามารถเข้าไปดูได้จากบทความ「รายงานประสบการณ์การพักใน Homestay ในเมืองโกะโจ จังหวัดนารา มาพักในห้องแบบญี่ปุ่นกันเถอะ!」
※2 : สุกิยะสึคุริ ……รูปแบบสถาปัตยกรรมสไตล์โรงชา
จองที่พัก : Booking.com>
อาหารท้องถิ่นของนารา
นาราเต็มไปด้วยอาหารขึ้นชื่อมากมาย เดี๋ยวเรามาแนะนำของขึ้นชื่อห้ามพลาดกันดีกว่าค่ะ ^^
นาราสึเกะ
“นาราสึเกะ” คือ ของดองที่ทำโดยการนำผักอย่างแตงหอม, แตงกวา หรือขิงมาดองเกลือและหมักด้วยสาเกลีส์หลายครั้ง โดยมีประวัติความเป็นมายาวนานตั้งแต่ศตวรรษที่ 8 นาราสึเกะที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์นี้ผ่านกระบวนกระหมักอย่างยาวนานตั้งแต่ 3 – 17 ปี จึงมีรสชาติเป็นเอกลักษณ์แตกต่างจากของดองอื่นๆ
ชากายุ
ข้าวเช้าดั้งเดิมของนาราอย่าง “ชากายุ” คือ ข้าวต้มชาโฮจิที่พระสงฆ์รับประทานกันมาตั้งแต่ราว 1200 ปีก่อน เนื่องจากชากายุของนาราใส่น้ำเยอะ จึงมีเอกลักษณ์อยู่ที่มีรสสัมผัสนุ่มชุ่มฉ่ำนี่แหละ
คาคิโนะฮะซูชิ
ในสมัยก่อนที่ยังไม่มีการขนส่งและเทคโนโลยีการแช่เย็น อาหารทะเลและเกลือนับเป็นของล้ำค่าของจังหวัดที่โอบล้อมไปด้วยภูเขาอย่างนาราเลยทีเดียว ว่ากันว่าเริ่มมีการรับประทานข้าวปั้นหน้าปลาซาบะแช่เกลือห่อด้วยใบพลับและนำไปใส่ลงในกล่องวางหินทับกล่องหมักเอาไว้เป็นอาหารกินเลี้ยงในช่วงเทศกาลประจำฤดูร้อน ในปัจจุบัน ไม่ได้มีเพียงแค่ปลาซาบะเท่านั้น แต่ยังมีเวอร์ชั่นปลาไหลและกุ้งอีกด้วย โดยได้รับความนิยมจากรูปแบบการปั้นเป็นซูชิชิ้นเล็กพอดีคำห่อด้วยใบพลับแบบชิ้นต่อชิ้นรับประทานง่ายนี่แหละ
สำหรับรายละเอียดสามารถเข้าไปดูได้จากบทความ「 「คาคิ โนะ ฮะซูชิ」ซูชิที่ห่อด้วยใบพลับ ของขึ้นชื่อจากนารา 」
สภาพอากาศและเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายที่เหมาะสมต่อการท่องเที่ยวนารา
เนื่องจากทางตอนเหนือของนาราเป็นพื้นที่แอ่งล้อมรอบด้วยภูเขา ฤดูร้อนจึงมีอากาศร้อนชื้นมาก ส่วนฤดูหนาวก็มีอากาศหนาวมากเช่นเดียวกัน แต่ไม่ค่อยมีหิมะตกเท่าไหร่นัก ฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วงมีอากาศเย็นสบาย แต่สำหรับฤดูร้อนและฤดูหนาวควรเตรียมอุปกรณ์รับมือกับอากาศร้อนและหนาวจัดมาให้พร้อม นอกจากนี้ เนื่องจากพื้นที่ระหว่างภูเขาในฤดูหนาวจะมีอากาศหนาวเย็นจัด จึงจำเป็นต้องเตรียมเสื้อผ้าและอุปกรณ์กันหนาวมากกว่าปกติ ถึงแม้จะเป็นการเดินทางไปชมซากุระบนภูเขาโยชิโนะในฤดูใบไม้ผลิก็อย่าลืมเตรียมอุปกรณ์กันหนาวมาให้พร้อมด้วยนะจ๊ะ...
ข้อมูลอื่นๆที่มีประโยชน์ต่อการท่องเที่ยว
สำหรับใครที่กำลังมองหาที่แลกเงินเยนหรือเงินสกุลต่างประเทศก็สามารถใช้บริการแลกเงินตราต่างประเทศของธนาคารหรือตู้ ATM ตามเซเว่นอีเลฟเว่นได้เลยจ้า...
ในกรณีที่เงินสดหมดให้รีบหาตู้ ATM ที่มีสัญลักษณ์ PLUS เพียงเท่านี้เราก็จะสามารถกดเงินสดระหว่างประเทศได้อย่างง่ายดายแล้วล่ะค่ะ ^^
สำหรับใครที่อยากรู้วลีแสนสะดวกสำหรับใช้ตอนเข้าพักตามโรงแรมในญี่ปุ่นสามารถเข้าไปอ่านได้จากบทความดังต่อไปนี้
นอกจากนี้ ในญี่ปุ่นก็ยังมีบริการ「Japan Connected-free Wi-Fi」แสนสะดวกสำหรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติด้วยนะเออ... ยังไงก็ลองดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่นเอาไว้ล่วงหน้ากันได้เลย
เอ่อ...แล้วค่าอาหารที่ใช้ระหว่างเที่ยวญี่ปุ่นตกประมาณเท่าไหร่ต่อวันกันน้า? งั้นคำนวณเอาไว้ล่วงหน้าจะดีที่สุด
บริการเช่า Wi-Fi : PUPURU>
photos by PIXTA
日本への訪日外国人の方が、もっと増えますように!
นอกจากนี้ บทความอาจมีลิงก์โฆษณา โปรดพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจซื้อหรือจอง