Start planning your trip
【ทาคาโอะ จ.โตเกียว】“ปราสาทฮาจิโอจิ” โศกนาฏกรรมตระกูลโฮโจแห่งคันโต
“ตระกูลโฮโจ” ผู้ปกครองคันโตในสมัยเซ็งโกกุไม่ได้เป็นเจ้าของเพียงแค่ปราสาทโอดาวาระอันไร้เทียมทานเท่านั้น แต่ยังครอบครอง “ปราสาทฮาจิโอจิ” ซึ่งบ่งบอกถึงวิทยาการอันล้ำหน้าของตระกูลโฮโจอีกด้วย โดยเป็นปราสาทรอบนอกโตเกียวในดวงใจของแฟนพันธุ์แท้ประวัติศาสตร์
เมื่อเอ่ยถึง สมัยเซ็งโกกุ ของญี่ปุ่นแล้ว หลายคนจะต้องนึกถึง “โอดะ โนบุนางะ”, “โทโยโทมิ ฮิเดโยชิ” และ “โทกุกาวะ อิเอยาสึ” 3 วีรบุรุษแห่งสมัยเซ็งโกกุกันอย่างแน่นอน
แต่ความจริงแล้วในสมัยนั้นยังมี ไดเมียว แห่งเซ็งโกกุอีกมากมายที่ต่อสู้แข่งขันกันอย่างดุเดือด โดยหนึ่งในนั้นก็คือ โฮโจ ไดเมียวแห่งเซ็งโกกุผู้ปกครอง คันโต นั่นเอง โฮโจมีอิทธิพลมากถึงขนาดว่าไม่ได้เพียงแค่เป็นเจ้าของ ปราสาทโอดาวาระ ซึ่งขึ้นชื่อในฐานะที่เป็นปราสาทไร้เทียมทานเท่านั้น แต่ยังได้ครอบครอง Hachiōji Castle (ปราสาทฮาจิโอจิ) ซึ่งตั้งอยู่บริเวณรอบนอกโตเกียวอีกด้วย
“โฮโจ” ผู้ปกครองคันโตในสมัยเซ็งโกกุคือใคร?
สมัยเซ็งโกกุ (ประมาณ 400 ปีก่อน) เป็นยุคที่ชั้นผู้น้อยโค่นอำนาจผู้ปกครองและเกิดการต่อสู้ระหว่างผู้นำหลายฝ่ายเพื่อแย่งชิงการปกครองเขตอำนาจต่างๆในญี่ปุ่น เหล่าไดเมียวแห่งเซ็งโกกุผู้ปกครองเขตต่างๆในญี่ปุ่นจึงล้วนได้รับการยกย่องเป็นวีรบุรุษแห่งยุคสมัยผู้เก่งกาจ โดยโฮโจก็เป็นหนึ่งในไดเมียวแห่งเซ็งโกกุเหล่านั้นเช่นเดียวกัน เขามีอำนาจใหญ่หลวงถึงขนาดได้ปกครองพื้นที่ส่วนใหญ่ในภูมิภาคคันโตเกียวไม่ว่าจะเป็นกุมมะ, ไซตามะ, จิบะ, คานากาว่า และโตเกียวในปัจจุบัน
โฮโจไม่ได้ครอบครองเพียงแค่ปราสาทโอดาวาระเท่านั้น แต่ยังเป็นเจ้าของปราสาทอีกหลายแห่งทั้งปราสาทเอโดะ (พระราชวังในปัจจุบัน) และปราสาทฮาจิโอจิ เป็นต้น แต่ปราสาทส่วนใหญ่รวมถึงปราสาทฮาจิโอจิได้ถูกโค่นล้มในปี 1590 ทำให้ตระกูลโฮโจล่มสลายหลังยุครุ่งเรืองไปอย่างน่าเสียดาย
จากภาพเป็นสุสานของ “โฮโจ อุจิเทรุ” ผู้ปกครองปราสาทฮาจิโอจิในสมัยนั้น โดยเราจะได้เห็นกันบนถนนย่อยระหว่างทางเดินไปยังปราสาทฮาจิโอจิ
“ปราสาทฮาจิโอจิ” ไม่ได้มีชื่อเสียงโด่งดังไปกว่าปราสาทโอดาวาระก็จริง แต่ที่นี่นับเป็นสถานที่แสดงวิทยาการทางการก่อสร้างอันก้าวหน้าของตระกูลโฮโจเลยก็ว่าได้ เนื่องจากตัวปราสาทตั้งอยู่บนยอดเขาสูงชัน ทำให้ได้เปรียบเรื่องการมองเห็นความเคลื่อนไหวของศัตรูได้ตั้งแต่ในระยะไกล ด้วยเหตุนี้ ที่นี่จึงกลายเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญของตระกูลโฮโจไปโดยปริยาย
วิธีการเดินทางจากสถานีรถไฟไปยังปราสาทฮาจิโอจิ
นั่งรถไฟไปยังทาคาโอะ
เมื่อนั่งรถไฟจากสถานี JR ชินจุกุมาประมาณ 50 นาทีก็จะถึงสถานีทาคาโอะซึ่งเป็นสถานีที่ใกล้ที่สุดของปราสาทฮาจิโอจิแล้วล่ะค่ะ
ส่วนสถานีถัดไปจากสถานีทาคาโอะเมื่อนั่งรถไฟสายเคโอต่อมาคือภูเขาทาคาโอะซึ่งว่ากันว่ามี “เท็งงู” เทพเจ้าแห่งขุนเขาในตำนานปรากฏตัวออกมาให้เห็นกันบ้างเป็นครั้งคราว ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ภายในสถานีทาคาโอะมีการสร้างรูปปั้นเท็งงูหินขึ้นมาต้อนรับนักท่องเที่ยวแบบนี้นั่นเอง
นั่งรถบัสไปยังตีนเขา
เมื่อเดินออกมาจากสถานีรถไฟก็จะเห็นป้ายรถบัสตั้งอยู่ทางขวามือ จากตรงนี้ให้นั่งรถบัสซึ่งมุ่งหน้าไปยัง “Reien-mae” มาลงป้าย "Hachioji Castle Remains(Hachioji-jo Ato Iriguchi)" โดยใช้เวลาประมาณ 10 นาที เนื่องจากมีรถบัสหลายคันไม่วิ่งไปทางฝั่งปราสาทฮาจิโอจิ สำหรับใครที่ไม่ทราบจึงควรสอบถามจากคนขับให้ดีก่อนเสมอนะจ๊ะ...
ถึงประตูทางเข้า
หลังจากลงป้าย “Reienmae Hachiojijo-ato Iriguchi” มาแล้วก็จะพบกับสี่แยกแบบนี้ เมื่อเดินเลี้ยวซ้ายมาจะมองเห็นเนินทางเดินยาวตามภาพ เอาล่ะ เรารีบขึ้นไปกันเลยดีกว่า~
เดินตรงขึ้นมาเรื่อยๆประมาณ 10 นาที เอ...มีป้ายเขียนว่า “八王子城跡 (ร่องรอยปราสาทฮาจิโอจิ)” นี่นา จากตรงนี้ไปก็ตรงต่อไปเรื่อยๆได้เลยค่ะ ^^
มุ่งหน้าสู่ร่องรอยปราสาทฮาจิโอจิ 1 ใน 100 ปราสาทขึ้นชื่อของญี่ปุ่น
“ปราสาทฮาจิโอจิ” แห่งนี้สร้างชึ้นบนยอดเขาสูง ทำให้ภูเขาเหมือนเป็นป้อมปราการไปในตัว เนื่องจากตั้งอยู่บนพื้นที่ลาดชันมาก จึงบอกเลยว่าถ้าวิทยาการไม่ล้ำจริงก็ไม่สามารถสร้างปราสาทขึ้นมาได้อย่างแน่นอน โดยเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ที่นี่ได้รับเลือกให้เป็น 1 ใน 100 ปราสาทขึ้นชื่อของญี่ปุ่น
ร่องรอยปราสาทแบ่งออกเป็นโซนใหญ่ๆได้ 2 โซนด้วยกันคือโซนโกะชูเด็น (ที่อยู่อาศัยของผู้ปกครองปราสาท) บนตีนเขาและโซนฮอมมารุ (ปราการหลัก) บริเวณยอดเขา
ทางเดินสู่โกะชูเด็นถูกตัดขึ้นมาเป็นอย่างดีและไม่ลาดชันมาก แต่กว่าจะไปถึงฮอมมารุนั้นต้องขึ้นทางเดินเขาโดยใช้เวลากว่า 1 ชั่วโมงครึ่ง ทางเดินทุกสายสามารถเพลิดเพลินได้ตลอดทั้ง 4 ฤดูกาลไม่ว่าจะเป็นป่าไม้รกชัฏเขียวขจีในฤดูร้อนและหิมะขาวโพลนในฤดูหนาว
ในครั้งนี้เราเดินทางมาเก็บข้อมูลที่ปราสาทฮาจิโอจิกันในเดือนกุมภาพันธ์ซึ่งเป็นช่วงปลายฤดูหนาว-ต้นฤดูใบไม้ผลิ เนื่องจากเมื่อวานมีหิมะตก ทำให้ภายในปราสาทปกคลุมไปด้วยหิมะบางๆก็จริง แต่ในขณะเดียวกันเราก็ได้เห็นต้นอ่อนกำลังงอกขึ้นมาต้อนรับฤดูใบไม้ผลิด้วยล่ะค่ะ
สะพานฮิคิฮาชิ : สะพานที่ทอดยาวสู่โกะชูเด็น
ด้านหน้าสะพานฮิคิฮาชิเป็นที่ตั้งของโกะชูเด็นซึ่งเคยใช้เป็นที่พักของผู้ปกครองปราสาท ในสมัยก่อน สะพานแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นมาอย่างหยาบๆเพื่อให้สามารถพังได้อย่างง่ายดายเมื่อศัตรูบุกรุกเข้ามาเป็นการป้องกันไม่ให้ศัตรูรุกคืบเข้ามาได้ แต่สะพานฮิคิฮาชิในปัจจุบันถูกสร้างขึ้นใหม่เมื่อเร็วๆนี้เอง
โซนที่อยู่อาศัยเก่า : โกะชูเด็น
ก่อนเข้าไปยังโกะชูเด็นจะต้องผ่านบันไดหินตามภาพขึ้นมาก่อน บันไดหินของปราสาทแห่งอื่นๆสร้างขึ้นด้วยหินผสมดินเหมือนกันหมด แต่บันไดหินของปราสาทฮาจิโอจิสร้างขึ้นด้วยหินล้วนๆ
“โกะชูเด็น” แห่งนี้เคยใช้เป็นที่อยู่อาศัยตอนที่พำนักอยู่ในปราสาทฮาจิโอจิ
ภายในพื้นที่ของร่องรอยปราสาทฮาจิโอจิในปัจจุบันหลงเหลืออยู่เพียงฐานหินของสถาปัตยกรรมเท่านั้น
โศกนาฏกรรมแห่งยุคสมัย : น้ำตกโกะชูเด็นและสุสานโฮโจ
หลังจากถูก “โทโยโทมิ ฮิเดโยชิ” ผู้ปกครองรุ่นต่อไปบุกเข้าโจมตีในปี 1590 ปราสาทของโฮโจเกือบทั้งหมดรวมถึงปราสาทฮาจิโอจิก็ถูกแย่งชิงไปได้ ว่ากันว่าบรรดาเด็กและผู้หญิงที่แอบอยู่ในปราสาทฮาจิโอจิ ฆ่าตัวตายโดยกระโดดลงในน้ำตกข้างโกะชูเด็นจนเสียชีวิต ตามตำนานเล่าว่าจากเหตุการณ์นี้ทำให้น้ำตกกลายเป็นสีแดงเป็นเวลานาน 3 วันเลยทีเดียว
จากโศกนาฏกรรมดังกล่าวทำให้ปราสาทฮาจิโอจิแห่งนี้มีชื่อเสียงในฐานะที่เป็นแหล่งรวมดวงวิญญาณด้วยเช่นเดียวกัน ในปัจจุบันมีผู้คนเดินทางมาวางดอกไม้เพื่อขอพรให้ดวงวิญญาณที่เจ็บปวดไปสู่สุขคติกันเป็นจำนวนมาก
หลังจากโฮโจ อุจิเทรุและบริวารตัดสินใจคว้านท้องฆ่าตัวตายไปประมาณ 100 ปี ผู้คนรุ่นหลังจึงได้สร้างอนุสาวรีย์ขึ้นแถวทางขึ้นภูเขาของปราสาทฮาจิโอจิเพื่อเป็นการเคารพสักการะ
มุ่งหน้าสู่ฮอมมารุเพื่อพิชิตปราสาทฮาจิโอจิ
เราเรียกจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญที่สุดบริเวณใจกลางปราสาทของญี่ปุ่นว่า “ฮอมมารุ” เนื่องจากปราสาทฮาจิโอจิผ่านช่วงเวลาหลังจากไม่ได้ใช้ปราสาทมาอย่างยาวนาน ทำให้ทั่วทุกแห่งเต็มไปด้วยความเสียหาย ส่วนกำแพงปราสาทก็พังทลายหายไปด้วย ส่วนกำแพงหินยังคงเหลืออยู่ภายในป่าบนภูเขาประปราย
ในปัจจุบัน ที่นี่กลายเป็นแหล่งปีนเขาของชาวเมืองบริเวณใกล้เคียง สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติได้รับการอนุรักษ์เอาไว้อย่างสมบูรณ์ทำให้เราสามารถดื่มด่ำกับทัศนียภาพทั้ง 4 ฤดูกาลได้อย่างเต็มอิ่ม โดยในครั้งนี้เราได้เห็นดอกบ๊วยที่บานสะพรั่งเต็มต้นงดงามมาก บนเขาเป็นแหล่งชมทัศนียภาพของฮาจิโอจิได้ทั่วทั้งเมือง ถ้าเกิดโชคดีเราอาจมองเห็นไปถึงสกายทรีและภูเขาไฟฟูจิเลยนะเออ... แต่เนื่องจากทางปีนเขาค่อนข้างสูงชัน เราจึงจำเป็นต้องเตรียมรองเท้าปีนเขาหรือรองเท้ากีฬามาด้วยจะปลอดภัยที่สุด!
ที่มาของฮาจิโอจิ : ศาลเจ้าฮาจิโอจิ
ว่ากันว่า “ฮาจิโอจิ” มาจากการผสมผสานทางความเชื่อระหว่างชินโตและพุทธศาสนาว่า “โคสึเท็นโน” ประกอบด้วย “มิโคกามิ” 8 องค์ โดยทั่วไปแล้ว “มิโคกามิ” มีรูปร่างเป็นเด็ก จึงเรียกกันว่า “โอจิ (เจ้าชาย)” เนื่องจากศาลเจ้าที่ตั้งอยู่ด้านล่างฮอมมารุของปราสาทฮาจิโอจิแห่งนี้เป็นสถานที่สิงสถิตของเทพเจ้าผู้ปกปักคุ้มครองปราสาทและเป็นที่รักของผู้คนท้องถิ่น ด้วยเหตุนี้จึงเรียกที่นี่ว่า “ฮาจิโอจิ (เจ้าชาย 8 องค์)” นั่นเอง
ศูนย์กลางของปราสาทฮาจิโอจิ : ฮอมมารุ
เมื่อเดินขึ้นมาถึงฮอมมารุก็แสดงว่าเราพิชิตปราสาทฮาจิโอจิแห่งนี้ได้แล้วล่ะค่ะ เย้~ เนื่องจากสถาปัตยกรรมของฮอมมารุในอดีตพังทลายหายไปจากความพ่ายแพ้ของตระกูลโฮโจซะก่อน ทำให้ในปัจจุบันหลงเหลืออยู่เพียงแค่อนุสาวรีย์หินและศาลเจ้าขนาดเล็กเท่านั้น
บทส่งท้าย
จากทางขึ้นเขามาจนถึงฮอมมารุใช้เวลาประมาณ 40 นาทีในกรณีที่เดินอย่างชิลล์ๆไม่รีบร้อนอะไร ถึงแม้ว่าปราสาทฮาจิโอจิจะไม่ได้มีชื่อเสียงโด่งดังอะไรและไม่เหลือปราการปราสาทอันยิ่งใหญ่ให้ได้ชมกันแล้ว แต่บอกเลยว่าถ้าเกิดได้มาเยือนเพียงสักครั้งก็จะต้องตกตะลึงในวิทยาการอันก้าวหน้าในสมัยก่อนจากการใช้สภาพภูมิศาสตร์สูงชันให้เป็นประโยชน์กันอย่างแน่นอน นอกจากนี้ สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติก็ได้รับการอนุรักษ์เอาไว้อย่างสมบูรณ์ด้วย สำหรับใครที่ไม่อยากปีนเขาที่มีคนเยอะๆอย่างภูเขาทาคาโอะจึงขอแนะนำให้มาเที่ยวปราสาทฮาจิโอจิแห่งนี้เลยค่ะ! ไหนใครอยากแวะมาเพลิดเพลินกับธรรมชาติอันยิ่งใหญ่พลางสัมผัสบรรยากาศเก่าแก่และจินตนาการถึงประวัติศาสตร์ความเจริญรุ่งเรืองในอดีตกันบ้างเอ่ย? ^^
บทความนี้เป็นการคัดย่อมาแปลจากต้นฉบับ ภาษาจีน
นอกจากนี้ บทความอาจมีลิงก์โฆษณา โปรดพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจซื้อหรือจอง