เมืองอาโก (Ako) ที่เที่ยวลับที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ จากโอซาก้ามาเพียง 90 นาที
เมืองอาโกที่เที่ยวลับในภูมิภาคคันไซ เดินทางจากโอซาก้ามาง่าย มีทั้งของอร่อย ออนเซ็น และที่เที่ยวเกี่ยวกับจูชินกุระ (อาโกโรนิน) อันโด่งดังให้เพลิดเพลินกัน บทความนี้จะพาไปสัมผัสทิวทัศน์อันงดงาม กิจกรรมน่าสนใจ อาหารรสเลิศ และที่เที่ยวสุดประทับใจในเมืองริมทะเลซึ่งมีบรรยากาศชวนให้คิดถึงแห่งนี้
เมืองอาโกกับวิวทะเลแสนงาม เหมาะมาเที่ยวแบบไปเช้าเย็นกลับจากโอซาก้า!
สามารถนั่งรถไฟจากโอซาก้า (Osaka) มาเมืองอาโกได้ง่ายๆ ในเวลาราว 1 ชั่วโมง 30 นาที
เมื่อมาถึงอาโกจะรู้สึกประหลาดใจ ราวกับจากเมืองใหญ่มาไกล หรือก้าวไปสู่อีกยุคหนึ่ง
เมืองอาโกล้อมรอบไปด้วยทะเลในเซโตะ (Seto Inland Sea) ที่กว้างใหญ่และป่าอันอุดมสมบูรณ์ ซึ่งหล่อหลอมให้เมืองแห่งนี้มีทิวทัศน์อันงดงาม วัฒนธรรมท้องถิ่นที่มีเอกลักษณ์ และอาหารรสเลิศ เมื่อเดินเล่นไปตามถนนที่มีบรรยากาศย้อนยุคและสถาปัตยกรรมเก่าแก่แห่งนี้ อาจรู้สึกเหมือนกำลังก้าวเข้าไปในภาพวาดที่แสนวิจิตร
ครั้งนี้ผู้เขียนได้เดินทางไปตามหาเสน่ห์ของเมืองลับที่ซ่อนอยู่ในจังหวัดเฮียวโกะ (Hyogo) ของภูมิภาคคันไซ และได้รับประสบการณ์อันยอดเยี่ยวและชื่นชมวิวทะเลสุดประทับใจที่สุดแห่งหนึ่งในญี่ปุ่น
จุดที่ดีที่สุดในการชมทัศนียภาพอันงดงามของทะเลในเซโตะ
หนึ่งในเสน่ห์สำคัญยิ่งของอาโกก็คือทิวทัศน์อันงดงามตระการตาของทะเลในเซโตะ
ทะเลในเซโตะเป็นที่ตั้งของเกาะนาโอชิมะ (Naoshima Island) อันโด่งดังในเรื่องทะเลสวย วัฒนธรรมท้องถิ่นที่มีเอกลักษณ์ และงานศิลปะ เป็นที่เที่ยวที่เต็มไปด้วยเสน่ห์สุดประทับใจทั้งในด้านวัฒนธรรมและธรรมชาติ
ทะเลที่ส่องประกายระยิบระยับและเกาะเล็กๆ มากมายได้สร้างสรรค์ทัศนียภาพอันงดงาม นักท่องเที่ยวมากมายจากญี่ปุ่นและต่างประเทศจึงต่างเดินทางมาเพื่อเพลิดเพลินกับความงามอันเงียบสงบของดินแดนแห่งนี้กัน
ครั้งนี้ผู้เขียนได้ชม 3 ที่เที่ยวซึ่งมีทิวทัศน์สวยงามสุดๆ
1. ศาลเจ้าอิวัตสึฮิเมะ (Iwatsuhime Shrine)
หนึ่งในสถานที่ซึ่งโด่งดังที่สุดในการชมทิวทัศน์อันน่าทึ่งของทะเลในเซโตะที่อาโกแห่งนี้ ก็คือศาลเจ้าอิวัตสึฮิเมะโบราณ สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งมีความเชื่อมโยงอย่างลึกซึ้งกับท้องทะเลแห่งนี่มาตั้งสมัยโบราณ กะลาสีเรือและชาวประมงจะมาสักการะขอพรให้จับปลาได้มากมายและการเดินทางปลอดภัย
ศาลเจ้าอิวัตสึฮิเมะมีเสาโทริอิใหญ่ยักษ์ที่ล้อมกรอบวิวท้องทะเลไว้เหมือนกรอบรูป ทิวทัศน์ทะเลที่ล้อมรอบเสาโทริอินี้งดงามวิจิตรเป็นการจัดวางองค์ประกอบที่ลงตัวเหมาะการถ่ายรูปวิวบรรยากาศมากๆ
ที่มองเห็นไกลๆ คือเกาะโชโดชิมะ (Shodoshima Island) เกาะท่องเที่ยวยอดฮิตแห่งหนึ่งในทะเลในเซโตะ
ศาลเจ้าอิวัตสึฮิเมะตั้งอยู่ในพื้นที่ที่สวยงามของอาโกมิซากิ (Ako Misaki) เดินจากที่นี่ไปไม่ไกลก็จะถึงโขดหินสวยงามที่เรียกว่า โขดหินทาทามิ (Tatamiiwa) ซึ่งเชื่อมต่อกับผืนดินด้วยเส้นทางผืนทรายที่จะมองเห็นได้ในช่วงน้ำลง และจะหายไปในช่วงน้ำขึ้น
2. Ichimainoe SEASIDE TERRACE CAFE (อิจิมาอิโนะเอะ ซีไซด์เทอเรซ คาเฟ่)
ระหว่างอยู่ที่อาโก ผู้เขียนได้แวะไป IchimainoeSEASIDE TERRACE CAFE คาเฟ่สุดฮิตแห่งหนึ่งในเมือง ที่นี่เป็นอีกจุดถ่ายรูปยอดเยี่ยมซึ่งมองเห็นทิวทัศน์อันงดงามของทะเล
เมื่อนั่งที่คาเฟ่แห่งนี้แล้วมองออกไปที่ทะเลในเซโตะ ให้ความรู้สึกเหมือนได้หนีความวุ่นวายไปเที่ยวรีสอร์ตบนเกาะอันเงียบสงบ
คาเฟ่แห่งนี้มีหน้าต่างใหญ่สูงจากพื้นจรดเพดาน ทำให้สามารถเพลิดเพลินกับทัศนียภาพอันงดงามของทะเลจากภายในคาเฟ่ได้แบบเต็มตา
นอกจากนี้ยังสามารถเพลิดเพลินกับทัศนียภาพอันงดงามของขอบฟ้าจากระเบียงที่เปิดโล่ง ทะเลที่ส่องประกายระยิบระยับยามต้องแสงแดดยามเช้า ช่างน่าหลงใหลยิ่งนัก ที่นี่จึงเป็นสถานที่ในฝันของเหล่าช่างภาพ
เสน่ห์ของคาเฟ่แห่งนี้ไม่ได้มีแค่วิวทะเลที่สวยงามเท่านั้นนะ ที่นี่ยังมีของหวานแสนอร่อยและหน้าตาดีให้เพลิดเพลินกันอีกด้วย
เมนูโทสต์ครีมสตรอว์เบอร์รี่ที่เห็นนี้ไม่เพียงแค่หน้าดีถ่ายรูปสวยเท่านั้น แต่ยังเป็นเมนูแสนอร่อยที่มีสตรอว์เบอร์รีฉ่ำๆ กับวิปครีม และขนมปังฟูนุ่มที่อบใหม่ๆ ด้วย ส่วนพุดดิ้งมีรสชาติครีมมี่มากๆ ผสานกับความหวานละเมียดและความขมเล็กน้อยของคาราเมลได้อย่างลงตัว
คาเฟ่แห่งนี้ยังมีกาแฟคั่วรสชาติเยี่ยมและแพนเค้กหน้าตาดีที่เหมาะถ่ายรูปไปอวดในอินสตาแกรมในช่วงบ่ายๆ ด้วย
3. ศาลเจ้าโอซาเกะ (Osake Shrine)
ศาลเจ้าโอซาเกะซึ่งตั้งอยู่บนเนินเขาที่มองเห็นอ่าวซาโกชิ (Sakoshi Bay) อันกว้างใหญ่นั้น เป็นศาลเจ้าที่เต็มไปด้วยเรื่องราวมากมาย
แม้จะไม่รู้แน่ชัดว่าศาลเจ้าแห่งนี้สร้างขึ้นเมื่อใด แต่ว่ากันว่าในปี 1182 ที่นี่ก็เป็นศาลเจ้าที่ทรงอิทธิพลอยู่แล้ว ฮนเด็น (วิหารหลัก) ในปัจจุบันเต็มไปด้วยแผ่นเอมะที่มีภาพลวดลายวิจิตร โดยเฉพาะแผ่นเอมะอันทรงคุณค่าที่วาดขึ้นในสมัยเอโดะซึ่งยังคงเก็บรักษาไว้อยู่
ทิวทัศน์ทะเลที่มองจากทางเข้าศาลเจ้าแห่งนี้ เป็นทิวทัศน์สุดประทับใจอีกแห่งที่ได้เห็นในทริปนี้
เมื่อมองผ่านประตูเก่าจะเห็นท้องทะเลไกลสุดสายตา ประตูนี้จึงคล้ายกับกรอบรูปภาพ หรือประตูไปสู่อีกโลก หรืออีกมิติหนึ่งเลยทีเดียว
จากศาลเจ้าที่อยู่บนยอดเขาแห่งนี้ สามารถชมทิวทัศน์งดงามของอ่าวซาโกชิและเกาะอิกิชิมะ (Ikishima Island) อันงดงาม เกาะอิกิชิมะเป็นเกาะเล็กๆ ในอ่าวสีมรกตที่เต็มไปด้วยป่าไม้เขียวขจี
เรียนรู้เกี่ยวกับประวัติและวิธีการผลิตเกลือ ของขึ้นชื่อในท้องถิ่นของอาโก
เกลือมีบทบาทสำคัญยิ่งในวัฒนธรรมและประเพณีการทำอาหารของญี่ปุ่น อีกด้านหนึ่ง เนื่องจากเกลือสินเธาว์ในญี่ปุ่นมีไม่มากนัก เกลือที่ชาวญี่ปุ่นใช้กันมาแต่อดีตจึงมักเป็นเกลือทะเลยซึ่งผลิตจากน้ำทะเล
อาโกเป็นศูนย์กลางการผลิตเกลือของญี่ปุ่นมาช้านาน ผลิตเกลือคุณภาพสูงจากน้ำทะเลของทะเลในเซโตะโดยใช้เทคนิคขั้นสูง
เพื่อเข้าใจประวัติศาสตร์ของอาโกและเกลือให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ผู้เขียนได้ไปเยี่ยมชม Shio No Kuni - Ako Marine Science Museum (ดินแดนแห่งเกลือ - พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ทางทะเลเมืองอาโก) ซึ่งตั้งอยู่ภายในอาโกซีไซด์พาร์ค (Ako Seaside Park)
อาโกใช้เทคนิคที่เป็นนวัตกรรมใหม่ต่างๆ ในนาเกลือเพื่อผลิตเกลือคุณภาพ Shio No Kuni ได้นำนาเกลือมาบูรณะใหม่ มีการสร้างอาคารไม้ที่ใช้ผลิตเกลือขึ้นใหม่ เพื่อใช้ในการเรียนรู้การผลิตเกลือในสมัยก่อนว่าเขาทำกันประมาณไหน
ปัจจุบัน อาโกยังคงมีสัดส่วนการผลิตเกลือราว 1 ใน 5 ของญี่ปุ่น เกลือของที่นี่ขึ้นชื่อว่ามีรสชาติอูมิมิอ่อนๆ และมีคุณภาพสูงเป็นที่ยอมรับมาจนถึงทุกวันนี้
มาสัมผัสประสบการณ์ทำเกลือในอาโกกัน
Shio No Kuni จัดกิจกรรมให้สัมผัสประสบการณ์การทำเกลือทุกวัน ผู้เขียนได้ร่วมกิจกรรมนี้เพื่อเรียนรู้ขั้นตอนการผลิตเกลือของอาโกด้วย
ในขั้นตอนการผลิตเกลือแบบดั้งเดิม จะนำน้ำทะเลในชามดินเผามาตั้งไฟให้ร้อน โดยคนอย่างระมัดระวังและต่อเนื่องสักพักหนึ่ง เพื่อให้ได้เกลือคุณภาพสูงเท่าที่เป็นไปได้
อาจารย์ผู้สอนมีความเป็นมิตร ฉลาดมีไหวพริบ ไม่เพียงอธิบายประวัติการผลิตเกลือได้สนุก แต่ยังอธิบายวิธีผลิตเกลือให้เข้าใจได้ง่ายๆ ด้วย
ขนาดผู้เขียนซึ่งทำอาหารไม่เก่ง ก็สามารถทำตามได้ และในที่สุดก็ได้เกลือเนื้อละเอียดมา
ผู้เขียนได้พบสิ่งที่ไม่คาดคิดภายในอาโกซีไซด์พาร์ค (Ako Seaside Park) ด้วย นั่นคือแบบจำลองเรือโจรสลัดขนาดมหึมาในพื้นที่สนามเด็กเล่นที่กว้างมากๆ
เรือแกลลีย์ (galley ship เรือเร็วที่ใช้ฝีพาย 60 คนขึ้นไป มักมีหัวแหลมและแข็งเพื่อพุ่งเข้าชนเรือศัตรู) ที่มีรายละเอียดน่าทึ่ง ทั้งเสากระโดงเรือสูงตระหง่าน เชือกสำหรับปีนป่าย กระทั่งปืนใหญ่จำลองเหมือนจริง เป็นเหมือนประตูมหัศจรรย์ที่พาไปสู่โลกแห่งจินตนาการ ขณะที่ผู้เขียนมองด้วยความทึ่ง ก็รู้สึกอิจฉาเด็กๆ ที่โชคดีได้เติบโตมาในเมืองที่มีเอกลักษณ์แห่งนี้
วัฒนธรรมอาหารที่ยอดเยี่ยมของอาโก
อาโกมีสภาพอากาศไม่รุนแรง และล้อมรอบด้วยภูเขาและทะเลในเซโตะ ทำให้ที่นี่อุดมไปด้วยอาหารทะเลและวัตถุดิบแสนอร่อยมากมาย ครั้งนี้ผู้เขียนได้แวะไปชิมอาหารท้องถิ่น 2 แห่ง
1. UMI no Eki Shiosai Ichiba (อุมิโนะเอกิ ตลาดชิโอไซ)
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าอาหารท้องถิ่นขึ้นชื่อที่สุดของอาโกก็คือหอยนางรม หอยนางรมที่จับได้ในอ่าวซาโกชิ เนื้อจะหนาเป็นพิเศษ เนื่องจากมีทำเลที่ตั้งและสภาพอากาศในท้องถิ่นที่เอื้ออำนวย จึงสามารถจับหอยนางรมได้ตลอดทั้งปี
ช่วงเช้าที่ผู้เขียนมาถึงอาโก ได้แวะไป UMI no Eki Shiosai Ichiba (ตลาดชิโอไซที่จุดแวะพักรถอุมิโนะเอกิ) แห่งนี้ก่อน ที่นี่สามารถลิ้มรสหอยนางรมสดใหม่ รสชาติละเมียดซึ่งเพิ่งจับมา พร้อมเพลิดเพลินกับทิวทัศน์อันงดงามของทะเลในเซโตะไปด้วย ผู้เขียนได้ลิ้มรสส่วนหนึ่งของสุดยอดอาหารทะเลของญี่ปุ่น ท่ามกลางลมทะเลสดชื่นและกลิ่นหอมของทะเล
สไตล์ "กินแบบไม่อั้น" เป็นที่นิยมที่ญี่ปุ่น แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ผู้เขียนกินหอยนางรมสดแบบไม่อั้น
ผู้เขียนตักหอยนางรมสดๆ เต็มถัง และเพลิดเพลินกับการย่างหอยนางรมบนตะแกรงที่โต๊ะ
สำหรับผู้ที่ไม่คุ้นกับเนื้อสัมผัสที่เป็นเอกลักษณ์ของหอยนางรม ไม่ต้องกังวลไป
UMI no Eki Shiosai Ichiba มีเมนูหอยนางรมที่หลากหลาย อย่างหอยนางรมทอด รวมทั้งเมนูข้าวหน้าต่างๆ อย่างข้าวหน้าหอยนางรมทอดราดซอส เมนูนี้อร่อยและรับประทานง่ายมากๆ แม้คนที่ปกติไม่ชอบกินหอยก็ลิ้มลองได้สบายๆ
ระหว่างที่ผู้เขียนอยู่ที่ตลาดนั้น ได้เห็นเรือประมงบรรทุกหอยนางรมที่เพิ่งจับได้มา และได้ชมการทำงานที่เหนื่อยยากของชาวประมงในทะเลอาโกเพื่อนำอาหารทะเลแสนอร่อยมากมายมาให้พวกเราได้ลิ้มลองกัน
2. มารูโอะฟาร์ม (Maruo Farm)
ถัดจากทะเล ผู้เขียนได้เดินทางต่อไปที่ฟาร์ม ที่ผู้เขียนได้ลิ้มลองสิ่งที่แตกต่างกับอาหารทะเลอย่างสิ้นเชิง แต่อร่อยสุดๆ
Maruo Farm เป็นฟาร์มที่โด่งดังเรื่องสตรอเบอร์รี่คุณภาพเยี่ยม พนักงานของที่นี่ให้การต้อนรับอย่างกระตือรือร้น เพื่อให้เราได้ลิ้มลองสตรอเบอร์รี่แสนอร่อยโดยเร็วที่สุด
เมื่อเข้าไปในเรือนกระจกหลังใหญ่ ผู้เขียนรู้สึกประทับใจกับสตรอเบอร์รี่ที่เรียงรายเป็นระเบียบตรงหน้ามากๆ จากนั้นได้เริ่มต้นสัมผัสประสบการณ์การกินสตรอว์เบอร์รี่แบบไม่อั้น
สตรอเบอร์รี่ของ Maruo Farm ลูกใหญ่ เนื้อฉ่ำ มีความหวานและความเปรี้ยวที่ลงตัว
ขณะที่กำลังเก็บสตรอเบอร์รี่ ผู้เขียนก็ได้ยินเสียงผึ้งบิน ใช่แล้ว สตรอเบอร์รี่ของที่นี่ปลูกด้วยวิธีออร์แกนิก
ด้วยการลดการใช้สารเคมี เช่น ยาฆ่าแมลงให้มากที่สุด ผลไม้ของ Maruo Farm จึงไม่เพียงแต่อร่อย แต่ยังดีต่อสุขภาพด้วยนะ
3. ที่เที่ยวที่เหมาะกับการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของอาโก
แม้อาโกจะเป็นเมืองเล็กๆ แต่ก็มีบทบาทสำคัญยิ่งในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น โดยเฉพาะในช่วงสมัยเอโดะ ที่นี่คือแคว้นหนึ่งที่มีความสำคัญมากๆ นอกจากนี้ยังเป็นต้นกำเนิดของเรื่องราวอันโด่งดังที่สุดเรื่องหนึ่งของญี่ปุ่น นั่นก็คือภาพยนตร์เรื่อง “47 โรนิน” (ซึ่งสร้างมาจากเรื่องราวของจูชินกุระ) ที่เกี่ยวกับ 47 ซามูไรในแคว้นอาโก (อาโกโรชิ)
โรชิหรือโรนิน คือซามูไรที่ไร้เจ้านาย โรชิถือเป็นบุคคลสำคัญที่มักปรากฏในวรรณกรรมและสื่อญี่ปุ่นโบราณต่างๆ
จูชินกุระเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับ 47 ซามูไรซึ่งเคยรับใช้อาซาโนะ นากาโนริ (หรืออาซาโนะ ทาคุมิโนะคามิ) ผู้ครองแคว้นอาโก มารวมตัวกันเพื่อต่อสู้และล้างแค้นให้กับเจ้านายของพวกเขา
ต่อมา จูชินกุระได้กลายเป็นเรื่องราวหนึ่งในวรรณกรรมและการแสดงของญี่ปุ่นที่สืบทอดกันมายาวนาน เรื่องราวในทำนองนี้มักมีการเพิ่มสีสันเข้าไปจนดูเหมือนตำนาน แต่จูชินกุระนั้นมีพื้นฐานมาจากเหตุการณ์จริงทางประวัติศาสตร์
ครั้งนี้ ผู้เขียนได้ไปเยี่ยมชม 3 สถานที่ทางประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับจูชินกุระในอาโกแห่งนี้
1. ซากปราสาทอาโก (Ako Castle Ruins)
จุดแรกที่ผู้เขียนแวะไปแสวงบุญคือซากปรักหักพังของปราสาทอาโก ซึ่งครั้งหนึ่งเคยปกครองโดยเจ้านายของ 47 โรนิน แม้มีปราสาทเพียงบางส่วนที่ได้รับการบูรณะ แต่ยังสามารถสัมผัสถึงบรรยากาศอันน่าตื่นเต้นได้
เมื่อมองปราสาทจะเห็นได้ว่าโครงสร้างของปราสาทเน้นไปที่การป้องกันศัตรูโจมตี ด้วยคูน้ำและประตูหลายชั้น ถึงแม้ศัตรูจะโจมตีก็ยากจะทะลุผ่านเข้าไปได้
ขณะที่ผู้เขีนมองทิวทัศน์อันงดงามจากจุดชมวิว ก็จินตนาการได้ว่าในสมัยที่รุ่งเรือง ปราสาทอาโกคงต้องยิ่งใหญ่มากๆ อย่างแน่นอน
2. ศาลเจ้าโออิชิ (Oishi Shrine)
เป้าหมายต่อไปในการตามรอยตำนานของอาโกคือศาลเจ้าโออิชิ
ที่ทางเข้าศาลเจ้าโออิชิ มีรูปปั้นหินเป็น 47 โรนิน ขณะที่ผู้เขียนเดินผ่านก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่น่าอัศจรรย์ซึ่งสะท้อนเรื่องราวในประวัติศาสตร์ที่ยังคงอบอวลมาจนถึงปัจจุบัน
ในทุกๆ ปี มีผู้คนมากมายมาเยือนศาลเจ้าโออิชิแห่งนี้ เพื่อแสดงความเคารพต่อเหล่าชายผู้เสียสละชีวิตของตนเพื่อเจ้านายของพวกเขา พร้อมกับขอพรให้ตนเองบรรลุเป้าหมายในชีวิต
แต่วันที่ผู้เขียนไปนั้นค่อนข้างเงียบสงบ ทำให้สัมผัสได้ถึงบรรยากาศของศาลเจ้าที่ดูศักดิ์สิทธิ์
3. วัดคากาคุจิ (Kagakuji Temple)
ท้ายสุดผู้เขียนได้ไปเยือนวัดคากาคุจิซึ่งมีความเกี่ยวข้องใกล้ชิดกับจูชินกุระ วัดคากาคุจิสร้างขึ้นเมื่อปี 1645 มีชื่อเสียงในฐานะสถานที่ฝังศพของ 47 อาโกโรชิ ที่นี่จึงเหมาะเป็นจุดแสวงบุญสุดท้ายสำหรับทริปนี้
อันดับแรก ผู้เขียนรู้สึกประทับใจกับสถาปัตยกรรมอันงดงามของตัววัด แต่ก็รู้สึกทึ่งเช่นกันที่ได้เห็นสุสานของซามูไรในตำนานจริงๆ
ภาพเสือบนเพดานฮนโด (โบสถ์) ก็น่าประทับใจมากเช่นกัน แต่ละลายเส้นวาดอย่างประณีตบรรจงวิจิตรกลมกลืนกันจนกลายเป็นภาพเสือที่ทรงพลังมากๆ
ที่พักแนะนำในอาโก! สร้างความทรงจำสุดประทับใจไม่รู้ลืมที่ออนเซ็นเรียวกัง
ผู้ที่ต้องการเพลิดเพลินไปกับเมืองอาโกอันงดงามอย่างเต็มที่ ต้องมาพักที่ออนเซ็นเรียวกังแบบดั้งเดิมในเมือง ผู้เขียนของแนะนำ 2 เรียวกังนี้เลย
1. Ginpaso (กินปาโซ)
Picture courtesy of Ginpaso
Ginpaso ออนเซ็นเรียวกังที่มีการตกแต่งสไตล์ญี่ปุ่นและทิวทัศน์ทะเลอันงดงาม เป็นที่ประทับใจของนักท่องเที่ยวที่มาพัก จากบ่อน้ำร้อนกลางแจ้งสามารถมองเห็นทะเลในเซโตะได้ โดยเฉพาะทิวทัศน์ยามพระอาทิตย์ตกที่มองจากจุดนี้นั้นงดงามสุดๆ
Picture courtesy of Ginpaso
ห้องอาหารภายในเรียวกังให้บริการอาหารที่ปรุงจากอาหารทะเลสดใหม่ในท้องถิ่น สามารถลิ้มรสอาหารแสนอร่อยและชมทิวทัศน์ทะเลไปพร้อมๆ กันได้
2. Ako Onsen Shokichi (อาโก ออนเซ็น โชคิจิ)
Picture courtesy of Ako Onsen Shokichi
ที่พักแนะนำอีกแห่งคืออาโกออนเซ็นโชคิจิ ซึ่งสามารถเพลิดเพลินกับทัศนียภาพอันงดงามของทะเลเซะโตะในจากบ่อน้ำร้อนกลางแจ้ง ยังมีบริการบ่อน้ำร้อนกลางแจ้งแบบเหมาให้ใช้แบบส่วนตัวด้วย
Picture courtesy of Ako Onsen Shokichi
เสน่ห์อย่างหนึ่งของเรียวกังแห่งนี้คืออาหารไคเซกิชั้นเลิศ ซึ่งปรุงจากผักและอาหารทะเลสดๆ ในท้องถิ่น
ห้องพักมีการออกแบบที่ผสมผสานองค์ประกอบของญี่ปุ่นและตะวันตกเข้าด้วยกัน และมองเห็นทิวทัศน์อันงดงามของทะเลด้วย
อ่านเพิ่มเติมได้ที่
การเดินทางไปเมืองอาโก
หากเดินทางจากโอซาก้าไปอาโก ก่อนอื่นให้นั่งรถไฟเจอาร์สายโกเบ (JR Kobe Line) จากสถานีโอซาก้า (Osaka) ไปยังสถานีฮิเมจิ (Himeiji)
จากสถานีฮิเมจิเปลี่ยนไปขึ้นรถไฟสายหลัก JR โทไกซันโย (Tokaido Sanyo Line) ตรงไปยังสถานีบันชูอาโก (Banshu-Ako) ในเมืองอาโก ใช้เวลาเดินทางไม่ถึง 2 ชั่วโมง มีค่าใช้จ่ายเที่ยวละ 2,310 เยน ทั้งนี้อาจมีบางช่วงเวลาที่ต้องเปลี่ยนรถไฟอีกครั้งเพื่อไปใช้สาย JR อาโก (JR Ako Line) ที่สถานีอาอิโออิ (Aioi) ด้วย ขึ้นอยู่กับช่วงเวลาของวัน
วิธีเดินทางเที่ยวรอบเมืองที่สะดวกที่สุดคือการเช่าจักรยานที่สถานีบันชูอาโก ให้บริการโดยสมาคมการท่องเที่ยว (Ako Sight Seeing Information Center) ที่ต้้งอยู่ภายในสถานีรถไฟ ค่าเช่าวันละ 500 เยน (ต้องคืนจักรยายก่อน 17.00 น.)
ครั้งนี้ผู้เขียนได้แวะชอปปิงที่สมาคมการท่องเที่ยวภายในสถานี รู้สึกประทับใจกับผู้คนที่ทำงานที่นี่มาก
สิ่งที่ผู้เขียนไม่อาจบรรยายได้ทั้งหมดในบทความนี้เลย ก็คือความอบอุ่นและอารมณ์ขันของชาวอาโกนั้นวิเศษมากจริงๆ ทุกคนให้การต้อนรับดีจริงๆ ทำให้การทริปนี้รู้สึกเหมือนมาเที่ยวที่บ้าน คงไม่ใช่เรื่องเกินจริงที่จะพูดว่า ชาวอาโกนี่เองคือสมบัติอันล้ำค่าของเมืองนี้
ขอแนะนำให้ซื้อชิโอมิมันจูที่สถานีอาโก เป็นขนมหวานอาโกแบบดั้งเดิมที่อร่อยมากๆ
อ่านเพิ่มเติมได้ที่
หนีเมือง ไปเที่ยวอาโกกัน
อาโกเต็มไปด้วยเสน่ห์มากมาย ทิวทัศน์น่าทึ่ง อาหารท้องถิ่นแสนอร่อย ประวัติศาสตร์อันน่าหลงใหล ทิวทัศน์ชนบทที่มีเสน่ห์ และผู้คนที่อบอุ่น
หากมาเที่ยวคันไซ ขอแนะนำให้ไปเที่ยวที่อาโกให้ได้ แม้จะอยู่ใกล้เมืองใหญ่ แต่อาโกก็มีบรรยากาศแบบดั้งเดิม ทำให้ที่นี่เหมาะกับการหนีเมืองไปเที่ยวมากๆ
การได้ใช้เวลาที่อาโกนั้นช่างเป็นช่วงเวลาสุดประทับใจไม่อาจลืมเลือนได้สำหรับผู้เขียนเลย หากมีโอกาสมาคันไซ อยากให้ลองไปสัมผัสความอบอุ่น ความงาม และความมีเอกลักษณ์ของอาโกกัน
อ่านเพิ่มเติมได้ที่
Sponsored by Ako City
บัญชีส่งเสริมการขายของ MATCHA สำหรับการโฆษณาองค์กรและรัฐบาลท้องถิ่น เรามุ่งมั่นที่จะให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านของเราอย่างสนุกสนาน
นอกจากนี้ บทความอาจมีลิงก์โฆษณา โปรดพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจซื้อหรือจอง