Start planning your trip
ทริปเดินทานของอร่อย ตามรอยละครดัง พร้อมขอพรเสริมโชคลาภที่วัดนาริตะซัน
มาใช้ตั๋วรถไฟ Narita-Kaiun Pass พร้อมสิทธิพิเศษมากมายไปไหว้พระเสริมดวงกันที่วัดเก่าแก่ใกล้สนามบินนาริตะที่วัดนาริตะซัน พร้อมของอร่อยๆ และแถวนี้เป็นจุดถ่ายละคร-หนังดังอีกด้วย จะแวะเที่ยวก่อนเข้าโตเกียวหรือจะใช้เวลาว่างในวันสุดท้ายก่อนขึ้นเครื่องก็ได้!
ทานของอร่อย ขอพรเสริมโชค แถมยังได้ตามรอยละครที่วัดนาริตะซัน!
สนามบินนาริตะ หนึ่งในประตูสู่ญี่ปุ่นที่คนไทยคุ้นเคยกันดี ไม่ไกลจากสนามบินมีวัดที่มีชื่อเสียงมากคือวัดนาริตะซัน ชินโชจิ (Naritasan Shinshoji Temple) สองฝั่งถนนที่มุ่งไปสู่วัดเรียงรายไปด้วยร้านค้าร้านอาหารมากมาย แถมแถวนี้ยังเป็นที่ถ่ายละครชื่อดังของไทยอย่างซีรี่ย์ Rising Sun (รอยรักหักเหลี่ยมตะวัน และ รอยฝันตะวันเดือด) ครั้งนี้เราเลยขอพาไปเดินเที่ยวทานของอร่อย ขอพรเสริมโชคลาภด้านต่างๆ ชมความงามของวัดและสวนแสนร่มรื่นที่เป็นที่ถ่ายทำละคร ปิดท้ายด้วยช้อปของฝากกันให้เพลินไปเลย
ทริปนี้แนะนำสำหรับคนที่นั่งเครื่องมาลงที่สนามบินนาริตะ แล้วอยากเที่ยวแถวนี้ก่อนเข้าเมือง หรือคนที่มีเวลาเหลือก่อนขึ้นเครื่องกลับไทย นำกระเป๋ามาฝากไว้ในตู้ล็อกเกอร์หรือบริการฝากกระเป๋าที่สนามบินนาริตะ แล้วไปเที่ยวตัวเปล่า
9:40 เริ่มต้นการเดินทางจากสนามบินนาริตะ
ครั้งนี้เราเอาสถานีสนามบินนาริตะ เทอร์มินอล 2-3 (Narita Airport Terminal 2-3) เป็นจุดเริ่มต้นการเดินทาง สำหรับใครที่เพิ่งเดินทางมาถึง หลังจากรับกระเป๋าเดินทางกันเรียบร้อยก็ให้เดินลงไปยังชั้น B1 ที่เป็นส่วนสถานีรถไฟกันเลย เมื่อลงมาแล้วเราจะเจอศูนย์บริการ Skyliner & Keisei Information Center อยู่ทางซ้ายมือ ใครที่ต้องการนั่งรถไฟด่วนพิเศษ Skyliner เข้าเมืองโตเกียว ก็มาซื้อหรือนำใบแลกตั๋วที่ซื้อมาล่วงหน้าแล้วมาแลกเป็นตั๋วโดยสารใบจริงกันได้ที่นี่
ถ้าต้องเดินเที่ยวพร้อมลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ไปด้วยคงไม่สนุกเท่าไหร่ ที่นี่เค้าก็มีบริการ Hands-Free Travel with Skyliner เป็นบริการส่งกระเป๋าสัมภาระไปยังที่พัก แล้วเราก็เดินเที่ยวตัวปลิวกันได้เลย
ทริปนี้เราขอเลือกใช้ตั๋วเดินทางแบบพิเศษๆ ของบริษัท Keisei ที่เข้ากับธีมเที่ยวของเรามาก นั่นคือตั๋ว Narita-Kaiun Pass (นาริตะ ไคอุน พาส) ซึ่งคำว่าไคอุนนี้ก็หมายถึงการเสริมโชคลาภนั่นเอง ตั๋วนี้เป็นตั๋วนั่งรถไฟไปกลับระหว่างสถานีที่ซื้อตั๋วกับสถานีเคเซ นาริตะ (Keisei Narita) สถานีที่อยู่ใกล้กับวัดนาริตะซันมากที่สุด และยังสามารถเอาตั๋วนี้ไปแสดงตามร้านที่ร่วมรายการเพื่อรับสิทธิพิเศษได้ด้วย ไปซื้อตั๋วที่เครื่องจำหน่ายตั๋วของรถไฟ Keisei กัน
1. กดปุ่ม English เลือกเมนูเป็นภาษาอังกฤษ
2. กดปุ่ม Coupon เพื่อเลือกเมนูตั๋วแบบพิเศษ
3. กดปุ่ม Narita Kaiun Pass ใส่เงินเข้าเครื่องและรอรับบัตร
วันนี้เราซื้อตั๋วที่สถานีสนามบินนาริตะ เทอร์มินอล 2-3 ราคาผู้ใหญ่ 480 เยน เด็กไม่เกินประถม 240 เยน (ราคานี้จะต่างกันไปขึ้นอยู่กับสถานีที่ซื้อตั๋ว) ได้ตั๋วแล้วก็ออกเดินทางกันเลย
ชานชาลาที่ต้องไปคือชานชาลาของรถไฟสาย Keisei Main Line หมายเลข 3 ป้ายสีน้ำเงิน ระวังอย่าไปผิดนะ พอเสียบตั๋วเข้ามาแล้วก็ให้เดินตรงไป จะเจอประตูตรวจตั๋วอีกครั้งก็เสียบตั๋วใบเดิมเข้าไปเลย สถานีเคเซ นาริตะ อยู่ห่างแค่สถานีเดียวเอง นั่งไปแค่ประมาณ 10 นาทีก็ถึงแล้ว
10:37 สถานี Keisei Narita
สถานีเคเซ นาริตะ อาคารของสถานีเองก็ออกแบบให้เข้ากับบรรยากาศของวัดนาริตะซัน
ออกจากสถานีเราจะเดินไปทางขวา เดินไปนิดเดียวจะเจอแยกซ้ายจะเจอ" สะพานไคอุน (Kaiun)" สะพานสีแดงสดอยู่ปลายทาง หลังจากข้ามสะพานแล้วเดินต่อไปจนสุดทางก็จะเจอกับถนนโอโมเตะซันโด ถนนสายหลักที่มุ่งไปสู่วัดนาริตะซันที่เรียงรายไปด้วยร้านค้ามากมาย
10:50 โอบังยากิร้อนๆ ของร้านคินโทกิ โนะ อามาทาโร่
เดินๆ ไปจะเห็นร้านคินโทกิ โนะ อามาทาโร่ (Kintoki no Amataro) อยู่ซ้ายมือ หน้าร้านได้บรรยากาศโบราณมาก เห็นแล้วต้องขอแวะหน่อย
แวะดูแล้วก็อดใจไม่ไหว ขอซื้อโอบังยากิ (ขนมทำจากแป้งด้านในสอดไส้ต่างๆ ปิ้งในพิมพ์รูปวงกลม) สักชิ้น ที่ร้านมีให้เลือก 2 ไส้คือไส้ถั่วขาว (White beans) และไส้ถั่วแดง (Azuki beans) ราคาชิ้นละ 120 เยน ครั้งนี้ลองไส้ถั่วขาว รสหวานหน่อยๆ แป้งด้านนอกกรอบๆ เพิ่งทำเสร็จร้อนๆ เลยยิ่งเพิ่มความอร่อยไปอีกเท่าตัว
รูปแกะสลัก 12 นักษัตร และเต่า
ตามทางเดินของถนนโอโมเตะซันโดจะมีรูปแกะสลักหินของ 12 นักษัตร ด้านข้างของรูปสลักจะมีป้ายบอกองค์พระประจำปีเกิดด้วย พอเดินๆ ไปก็เจอกับรูปสลักเต่า!? ว่ากันว่ารูปสลักเต่านี้แฝงไปด้วยการอวยพรให้ผู้มาเยือนมีสุขภาพแข็งแรงอายุยืนยาว และให้ค่อยๆ เดินเที่ยวนาริตะกันอย่างช้าๆ สบายๆ
เซ็มเบ้ต้นตำรับที่ร้าน ฮายาชิดะ โนะ โอเซ็มเบ้
เดินต่อไปอีกซักพักถนนจะเริ่มแคบลง มองไปจะเห็นอาคารร้านค้าเรียงรายไปตามทางลาด เหมือนได้ย้อนเวลากลับไปในอดีตเลย เดินไปได้นิดเดียวก็เจอร้านที่มีเซ็มเบ้วางเรียงรายอยู่ทางขวามือ นี่คือร้านฮายาชิดะ โนะ โอเซ็มเบ้ (Hayashida no Osenbei) ร้านเซ็มเบ้เก่าแก่ของถนนซันโดแห่งนี้ เปิดมาตั้งแต่ปี 1912 เซ็มเบ้ที่นี่ทำด้วยมือล้วนๆ ตั้งแต่นวดแป้งเลย
นอกจากเซ็มเบ้ที่มีให้เลือกซื้อไปเป็นของฝากกว่า 30 รสแล้ว ยังมีเซ็มเบ้เสียบไม้ (คุชิเซ็น) ให้ซื้อทานได้ทันทีด้วย มี 2 รสคือรสโชยุ แป้งกรอบรสเค็ม 100 เยน กับรสมิตาราชิ แป้งนุ่มรสหวาน 150 เยน ครั้งนี้ขอลองรสโชยุ แป้งกรุบกรอบ รสเค็มกำลังดี หอมกลิ่นเซ็มเบ้มาก
* ส่วนลดพิเศษเมื่อแสดงบัตร Narita-Kaiun Pass
- เมื่อซื้อสินค้า 1,000 เยนขึ้นไป รับเซ็มเบ้เสียบไม้ฟรี 1 ไม้
11:30 มื้อเที่ยงที่ร้านข้าวหน้าปลาไหลในตำนาน คาวะโทโยะ
เดินต่อไปได้สักพักเราก็ได้กลิ่นหอมลอยมาจนต้องเดินตามหาที่มา แล้วก็มาเจอกับร้านข้าวหน้าปลาไหลคาวะโทโยะ (Kawatoyo) ร้านเก่าแก่ที่เปิดมาตั้งแต่ปี 1910 กว่าจะมาเป็นปลาไหลย่างให้เราได้ทานต้องผ่านการคัดเลือกปลาไหลคุณภาพดี นำมาแล่สดๆ นึ่งร้อนๆ และย่างหอมๆ กันให้ดูที่หน้าร้านเลย ซอสของที่ร้านจะเรียกว่าซอสร้อยปีก็ได้ เพราะเป็นการเติมส่วนผสมเข้าไปในซอสเดิมเรื่อยๆ กลายมาเป็นซอสรสหวานกลมกล่อมที่ใครๆ ก็เลียนแบบไม่ได้
มาถึงนาริตะแล้วไม่ทานปลาไหลเค้าว่าเหมือนมาไม่ถึง เลยต้องขอสั่งข้าวหน้าปลาไหล ขนาดธรรมดา (อุนะจู) ราคารวมภาษี 2,700 เยน เนื้อปลาไหลนุ่มๆ ที่เพิ่งย่างเสร็จร้อนๆ ชุ่มซอสรสหวาน อร่อยตั้งแต่คำแรกจนคำสุดท้ายเลย ถ้าแสดงบัตร Narita-Kaiun Pass เราจะได้ซุปตับปลาไหลมาด้วย 1 ถ้วย
ที่จะขอเล่าเพิ่มเติมคือ ร้านนี้เป็นหนึ่งในฉากละครที่พระเอกและนางเอกแวะมาทานอาหารกันด้วย ใครอยากตามรอยดาราที่ชื่นชอบ สัมผัสบรรยากาศแบบในละคร ห้ามพลาดแวะมาเด็ดขาดเลยนะ
* ส่วนลดพิเศษเมื่อแสดงบัตร Narita-Kaiun Pass
- รับคิโมะซุย (ซุปตับปลาไหล) 1 ถ้วยเมื่อสั่งข้าวหน้าปลาไหล ขนาดธรรมดา-กลาง-ใหญ่
หลังจากทานปลาไหลเพิ่มพลังกันเสร็จ ก็ถึงเวลาไปขอพรเสริมโชคลาภกันที่วัดนาริตะซันแล้ว
12:50 วัดนาริตะซัน ชินโชจิ
เดินไปตามทางไปจะเจอกับประตูโซมง ประตูใหญ่ของวัดนาริตะซัน ชินโชจิ
เดินผ่านประตูโซมงเข้าไปจนถึงหน้าบันไดจะเป็นบ่อน้ำชำระล้าง จุดประสงค์ของบ่อน้ำนี้ไม่ใช่การล้างมือแต่หมายถึงการชำระล้างร่างกายและจิตใจให้บริสุทธิ์ เสร็จแล้วก็เดินขึ้นบันไดไปสู่ประตูนิโอมง
พ้นจากประตูนิโอมง จะเจอสะพานข้ามบ่อน้ำเล็กๆ ที่มีหินกลางน้ำ ลองดูที่หินทางฝั่งขวาดูนะ หินก้อนนี้เรียกกันว่า คาเมะอิวะ แปลว่า หินเต่า เพราะรูปร่างดูแล้วเหมือนกับเต่ายักษ์เลย บนหินก็มีเต่าเล็กเต่าน้อยเต็มไปหมด
วิหารกลาง
พอขึ้นบันไดต่อไปถึงข้างบนสุด เราก็จะได้เจอกับวิหารกลาง และเจดีย์สามชั้นตระหง่าน ก่อนอื่นเรามาอาบควันธูปเพื่อชำระจิตใจกันตรงกระถางธูปก่อน
วิหารกลาง เป็นสถานที่ประดิษฐานองค์ฟุโดเมียวโอ และสี่เทพผู้ยิ่งใหญ่ สองฝั่งซ้ายขวาประดับด้วยภาพมันดาลาแห่งเฮเซ และเป็นสถานที่ประกอบพิธีสำคัญ โอโกมะคิกัง การอธิษฐานขอพรต่อองค์ฟุโดเมียวโอให้ช่วยคุ้มครองและช่วยทำให้คำอธิษฐานประสบผล
ทางขวาของวิหารกลางคือเจดีย์สามชั้น (สมบัติทางวัฒนธรรมที่สำคัญของชาติ) สร้างเสร็จในปี 1712 สูง 25 เมตร ขอให้เดินไปดูด้านใต้หลังคาใกล้ๆ ครับ เพราะสวยงามมาก เป็นวิธีสร้างที่เรียกว่า อิจิไมทารุกิ ใช้ไม้แผ่นเดียวเป็นจันทัน และยังแกะสลักเป็นลายเมฆและคลื่นน้ำด้วย
ขอแนะนำให้เดินไปที่อาคารจำหน่ายเครื่องรางทางซ้ายของบันไดด้วย ตรงนั้นจะมีโบรชัวร์ของวัดนาริตะซันเป็นภาษาไทยซึ่งมีแผนที่ของวัดอยู่ด้วย ลองหยิบแล้วมาวางแผนเดินไหว้ขอพรกัน
ศาลเจ้าชุซเซะอินาริ ช่วยให้โชคดีให้หน้าที่การงาน
ศาลเจ้าชุซเซะอินาริ เป็นศาลเจ้าสำหรับขอให้โชคดีมีความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ใครที่ต้องการเขียนแผ่นไม้เอมะขอพรด้วยก็อย่าลืมติดนามบัตรลงไปบนแผ่นไม้ด้วยนะ
วิหารต่างๆ
วิหารชากะโด (สมบัติทางวัฒนธรรมที่สำคัญของชาติ) สร้างขึ้นในปี 1858 เดิมเคยเป็นวิหารหลักมาก่อน และถูกย้ายมายังตำแหน่งปัจจุบันนี้ในปี 1964 เพื่อสร้างวิหารหลักหลังใหม่ เป็นวิหารสำหรับขอพรให้ช่วยปัดเป่าทุกข์ภัยต่างๆ
วิหารกาคุโด (สมบัติทางวัฒนธรรมที่สำคัญของชาติ) สร้างขึ้นในปี 1861 เป็นวิหารไม้ที่สร้างขึ้นเพื่อประดับกรอบชื่อและแผ่นไม้เอมะที่มีคนนำมาถวาย ใต้ถุนวิหารจะเห็นรูปแกะสลักหินของนักแสดงคาบูกิ อิชิคาวะ ดันจูโร่ รุ่นที่เจ็ด ซึ่งตระกูลนักแสดงคาบูกินี้มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นตั้งแต่รุ่นแรกที่ไม่มีทายาท แต่มาไหว้พระที่วัดนี้จนได้บุตรชายมาสืบทอดสกุล
วิหารโคเมียวโด (สมบัติทางวัฒนธรรมที่สำคัญของชาติ) สร้างขึ้นในปี 1701 เดิมเคยเป็นวิหารหลักก่อนวิหารชากะโด มีองค์พระพุทธเจ้าไดนิจิเนียวไร องค์ฟุโดเมียวโอ และองค์ไอเซ็นเมียวโอประดิษฐานอยู่ ว่ากันว่าองค์ไอเซ็นเมียวโอจะช่วยเหลือเกี่ยวกับด้านความสัมพันธ์ ที่นี่จึงเป็นวิหารสำหรับขอพรผูกสัมพันธ์ให้พบเนื้อคู่
วิหารอิโอเด็น เป็นวิหารที่ใหม่ที่สุด สร้างขึ้นในปี 2017 เนื่องในโอกาสครบรอบ 1,080 ปีของวัดนาริตะซัน ด้านในเป็นที่ประดิษฐานขององค์พระพุทธเจ้ายาคุชิเนียวไร ผู้เป็นบรมครูแห่งยารักษาโรค เป็นวิหารสำหรับขอพรให้มีอายุยืนยาว หายจากโรคภัยไข้เจ็บทั้งหลาย
ส่วนเจดีย์เฮวะไดโตที่อยู่ด้านข้างสร้างขึ้นในปี 1984 ชั้น 1 เป็นส่วนจัดแสดงประวัติศาสตร์และสมบัติของวัดนาริตะซัน มีสถานที่ฝึกสมาธิโดยการคัดลอกพระคัมภีร์ ส่วนชั้น 2-5 เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปต่างๆ
เดินชมธรรมชาติในสวนวัดนาริตะซัน
นอกจากอาคารวิหารต่างๆ แล้ว ในพื้นที่วัดนาริตะซันยังมีสวนกว้างใหญ่แสนร่มรื่น ถึงตอนไปจะเป็นกลางวันพอดี แต่พอเดินเข้าไปในสวนก็รู้สึกเย็นสบายขึ้นมาเลย สวนนี้ยังเป็นที่ชมดอกบ๊วย ดอกซากุระ และใบไม้เปลี่ยนสีแสนสวยอีกด้วย
สำหรับแฟนละครเอง ทั้งวัดและสวนนี้ก็เป็นที่ถ่ายทำฉากหลายฉากในเรื่องเลย ทั้งตอนพระเอกและนางเอกเดินเล่นกันในสวน หรือถ่ายรูปสวยๆ กันตรงบันไดวัด ลองมาเดินหามุมเดียวกับฉากในดวงใจกันดูนะ
14:50 แวะซื้อของฝากขากลับ
หลังจากขอพรเสริมโชคลาภและเดินชมสวนชมธรรมชาติกันเสร็จ เราก็เดินกลับเส้นทางเดิมไปยังสถานีเคเซ นาริตะกัน ตอนขามาเห็นร้านน่าสนใจหลายร้านเลย ขากลับเลยขอแวะดูสักหน่อย
สบู่เสริมโชค ร้านซาบนซามะ
ร้านซาบนซามะ (Sabonsama) มองไกลๆ จะเห็นลูกบอลสีสันสดใสถูกจัดวางเอาไว้อย่างสวยงาม นึกว่าเป็นหินสี แต่พอไปแตะแล้วกลับนิ่มเหมือนเยลลี่ จริงๆ แล้วนี่คือสบู่ต่างหาก! แถมยังเป็นสบู่เสริมโชคลาภอีกด้วย แต่ละสีจะช่วยเสริมโชคลาภในด้านต่างๆ
นอกจากสบู่แล้วยังมีสินค้าอื่นๆ อย่างลิปบาล์มทาริมฝีปาก บาล์มน้ำหอม ชาสมุนไพร หรือเกลืออาบน้ำกลิ่นหอมๆ ด้วย
ของฝากสไตล์ญี่ปุ่น ร้านเคียวมาสุ สาขาใหญ่
เคียวมาสุ (Kyoumasu) ร้านขายของฝากสไตล์ญี่ปุ่น มีตั้งแต่ของใช้ในชีวิตประจำวันอย่างเสื้อยืดลายญี่ปุ่น ชุดยูคาตะ กระเป๋า ถุงเท้า ตะเกียบ ไปจนถึงของประดับตกแต่งอย่างกระดิ่งลม ตุ๊กตาแมวกวัก ตุ๊กตาญี่ปุ่น พระพุทธรูป และอีกมากที่บรรยายไม่หมดเลย
ทางร้านมีสองสาขา ครั้งนี้ที่มาแวะคือสาขาใหญ่จะอยู่กลางๆ ถนนสู่วัด อีกสาขาจะอยู่เลยประตูโซมงของวัดนาริตะซันเข้าไปหน่อย ใครอยากช้อปปิ้งของญี่ปุ่นๆ ขอแนะนำร้านเคียวมาสุเลย
* ส่วนลดพิเศษเมื่อแสดงบัตร Narita-Kaiun Pass
- ส่วนลด 10% เมื่อชำระด้วยเงินสด หรือ 5% เมื่อชำระด้วยบัตรเครดิต (ยกเว้นสินค้าราคาพิเศษ)
โยคังเกาลัดและขนมญี่ปุ่นขึ้นชื่อ ร้านนาโกมิ โยเนยะ
Picture courtesy of Nagomi-Yoneya (ภาพขวาล่าง)
ร้านนาโกมิ โยเนยะ (Nagomi-Yoneya) ร้านเก่าแก่ที่เริ่มจากกิจการขายข้าวสารและธัญพืชตั้งแต่ปี 1899 โดยมีผู้ก่อตั้งร้านเป็นผู้ให้กำเนิดคุริโยคัง ซึ่งเป็นขนมโยคังผสมเกาลัด โยคังเกาลัดของร้านนาโกมิมีให้เลือก 2 แบบ หนึ่งคือคุริโยคังแบบธรรมดาที่ใช้คันเต็น (เจลาตินที่ได้จากพืช) ในการทำให้แข็งตัว เนื้อโยคังจะเหมือนวุ้น กับ คุริมุชิโยคัง ที่ไม่ใช้เจลาติน แต่นำไปนึ่งแทน รสสัมผัสของเนื้อถั่วแดงบดในคุริมุชิโยคังจะเนียนแทบเป็นเนื้อเดียวกับเกาลัดเลย รสหวานกำลังดีและกลิ่นหอมของถั่วแดงกับเกาลัดที่แทรกอยู่ในทุกคำที่ทาน อร่อยมากจริงๆ
Picture courtesy of Nagomi-Yoneya (ภาพขวาบน)
ขนมขายดีอีกอย่างคือ โมนากะถั่วลิสง (Peanuts Monaka) ถั่วลิสงบดคลุกเคล้ากับถั่วแดง หุ้มด้วยแป้งกรอบโมนากะที่ทำเป็นรูปเปลือกถั่วลิสง หน้าตาน่าทาน แพ็คเกจน่ารัก รสชาติก็อร่อย เลยเป็นของฝากยอดนิยมของร้านเลย มาในแพ็จเกจรูปโค้งเหมือนถั่วลิสงกล่องสีแดง
แต่ถ้าใครอยากอร่อยหลายอย่าง ก็เลือกกล่องทรงเดียวกันสีเหลือง จะเป็นเซ็ท "ชิบะเมกุริ" (Chiba Meguri) ซึ่งหมายถึง "ท่องเที่ยวทั่วชิบะ" ข้างในมีทั้งโมนากะถั่วลิสง พายถั่วลิสงและมันจูถั่วลิสงครับ (ในร้านออนไลน์จะเป็นเซ็ทแค่สองอย่าง คือโมนากะถั่วลิสงและมันจูถั่วลิสงเท่านั้น)
สวนอนุสรณ์พระฟุโดเมียวโอ
ถ้าเดินออกไปทางด้านหลังของร้านนาโกมิ โยเนยะ จะพบกับสวนญี่ปุ่นแห่งหนึ่งอยู่ทางซ้าย ที่นี่เคยถูกใช้เป็นที่ประดิษฐานองค์พระฟุโดเมียวโอ ก่อนที่จะอัญเชิญไปประดิษฐานที่วัดนาริตะในปี 1566 ถือเป็นหนึ่งในสถานที่ที่มีความเกี่ยวข้องกับวัดนาริตะซันตั้งแต่อดีต ในบริเวณสวนนี้ยังมีบ่อน้ำซึ่งเชื่อกันว่าน้ำนี้เป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวบ้านแถบนี้ศรัทธาและนำมาใช้ถวายองค์พระตั้งแต่อดีต จะแวะพักชมสวน ดื่มน้ำสักนิดเป็นสิริมงคลก็ไม่เลวครับ
จบการเดินทาง
ทริปทานของอร่อยและขอพรเสริมโชคลาภที่วัดนาริตะซันของเราก็จบลงแล้ว จากนี้เราก็ใช้ตั๋ว Narita-Kaiun Pass ใบเดิมนั่งรถไฟกลับไปที่สนามบินนาริตะ ใครที่กำลังจะกลับไทยก็ไปเอากระเป๋าแล้วเช็คอินกันให้เรียบร้อย ส่วนใครที่กำลังจะเข้าเมืองก็เลือกนั่งรถไฟด่วนพิเศษ Skyliner จากสถานีสนามบินนาริตะ เทอร์มินอล 2-3 (Narita Airport Terminal 2-3) เข้าเมืองกันได้สบายๆ เลย
สรุปการเดินทาง
สถานีสนามบินนาริตะ เทอร์มินอล 2-3 → สถานีเคเซ นาริตะ → ร้านคินโทกิ โนะ อามาทาโร่ → รูปสลักหิน 12 นักษัตรและเต่า → ร้านฮายาชิดะ โนะ โอเซ็มเบ้ → ร้านคาวะโทโยะ → วัดนาริตะซัน → ร้านซาบงซามะ → ร้านเคียวมาสุ → ร้านนาโกมิ โนะ โยเนยะ → สถานีเคเซ นาริตะ → สถานีสนามบินนาริตะ เทอร์มินอล 2-3
ค่าเดินทางทั้งหมด : ค่าตั๋ว Narita-Kaiun Pass 480 เยน
ค่าใช้จ่ายอื่นๆ : ขนมโอบังยากิ 120 เยน, ขนมเซ็มเบ้เสียบไม้ 100 เยน, ข้าวหน้าปลาไหล 2,700 เยน และค่าช้อปปิ้งอื่นๆ แล้วแต่บุคคล
รวมค่าใช้จ่ายใน 1 วันต่อ 1 คนตามแผน : ประมาณ 3,400 เยน (ไม่รวมค่าช้อปปิ้งอื่นๆ)
สำหรับการเดินทางแสนสะดวกไปกลับสนามบินนาริตะ ขอแนะนำรถไฟ Skyliner ดูรายละเอียดได้จาก : http://www.keisei.co.jp/keisei/tetudou/skyliner/th/index.php
Supported by Keisei Electric Railway Co.,Ltd.
เที่ยวชมศิลปะและธรรมชาติ ถ่ายรูปเล่น
นอกจากนี้ บทความอาจมีลิงก์โฆษณา โปรดพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจซื้อหรือจอง