Start planning your trip
เที่ยวหนึ่งวันใกล้โตเกียวที่ คาชิมะจิงกู ศาลเจ้าเก่าแก่ที่สุดในคันโต และงานเทศกาลใหญ่แห่งซาวาระ
พาเที่ยวหนึ่งวันจากโตเกียวไปยังจังหวัดข้างเคียงอย่างอิบารากิ (Ibaraki) และชิบะ (Chiba) ชมศาลเจ้าที่เก่าแก่ที่สุดของภูมิภาคคันโตที่ ศาลเจ้าคาชิมะจิงกู ทานของอร่อย แล้วไปต่อกันที่เทศกาลใหญ่แห่งซาวาระ (Sawara) รถลากพร้อมหุ่นที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น
เที่ยว 1 วันไปเช้าเย็นกลับจากโตเกียว
ชมศาลเจ้าเก่าแก่ ไหว้เจ้าขอพร ทานของอร่อย และร่วมงานเทศกาล
อยากไปเที่ยววัดชมศาลเจ้าเก่าแก่ อยากไปเดินเล่นท่ามกลางบ้านเรือนโบราณ หลายคนคงนึกถึงเกียวโต แต่รู้ไหมว่าไม่ไกลจากโตเกียวก็มีเหมือนกัน!
วันนี้เราขอแนะนำสถานที่เที่ยวน่าสนใจอย่าง ศาลเจ้าคาชิมะจิงกู ในจังหวัดอิบารากิ (Ibaraki) ซึ่งเป็นศาลเจ้าที่เก่าแก่ที่สุดในภูมิภาคคันโตและมีความเกี่ยวข้องกับตำนานการเกิดประเทศญี่ปุ่น และงานเทศกาลใหญ่แห่งซาวาระ ขบวนรถลากพร้อมหุ่นขนาดใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นท่ามกลางบ้านเรือนโบราณที่ "ซาวาระ" ในเมืองคาโทริ จังหวัดชิบะ (Chiba)
เดินทางง่าย นั่งรถบัสจากสถานีโตเกียวไปตอนเช้า นั่งรถไฟกลับเข้าเมืองตอนเย็น เที่ยวได้ครบจบใน 1 วัน!
8:00 ขึ้นรถบัสที่สถานีโตเกียว
ขาไปเราเลือกเดินทางด้วยรถบัสจากสถานีโตเกียว ไปลงที่ป้ายสุดท้าย ป้ายสถานีคาชิมะจิงกูเลย
เมื่อมาถึงสถานีรถไฟโตเกียว ให้หาทางออกยาเอสุใต้ (Yaesu South Exit) เมื่อออกมาจากสถานีก็จะเห็นรถบัสจอดอยู่ด้านหน้าเลย ให้เลี้ยวขวาไปจะเจอห้องจำหน่ายตั๋ว
1. กดปุ่ม ENGLISH เลือกภาษาอังกฤษที่ด้านบนของจอ
2. Buy ticker (for today)
3. Tokyo -> Kashima Jingu (Daytime)
4. หน้าจอนี้จะเป็นภาษาญี่ปุ่น ให้เลือกกดปุ่ม Select อันขวาสุด (มีเขียนว่า 鹿島神宮)
5. ใส่เงินค่าบัตรเข้าเครื่อง ผู้ใหญ่ 1,830 เยน เด็ก 920 เยน แล้วรอรับบัตรได้เลย
หรือใครที่กลัวกดผิดก็สามารถไปที่เคาน์เตอร์แล้วบอกเจ้าหน้าที่ได้ว่าต้องการไปลงที่สถานีคาชิมะจิงกู (Kashimajingu Station / 鹿島神宮駅)
ที่เลือกเดินทางด้วยรถบัสเพราะเราสามารถนั่งตรงไปได้เลยโดยไม่ต้องเปลี่ยนรถ สบายมากๆ ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงถึง ใครยังไม่ได้ทานข้าวเช้า แวะซื้อข้าวปั้นหรือขนมปังที่กลิ่นไม่แรงไปทานบนรถได้ แต่อย่าลืมเก็บขยะไปทิ้งกันนะ
10:20 แวะทานของว่างที่ฮิมาวาริฮมโปะ (Himawari Hompo)
มาถึงป้ายสุดท้ายหน้าสถานีรถไฟคาชิมะจิงกู (Kashima Jingu) เมืองคาชิมะ (Kashima) จังหวัดอิบารากิ (Ibaraki) แล้วแนะนำให้ไปดูเวลารถไฟล่วงหน้าไว้ก่อนเพราะสถานีนี้มีรถไฟวิ่งไม่เยอะ เสร็จแล้วเริ่มเดินทางไปศาลเจ้ากัน เมื่อออกจากสถานีมองตรงไปจะเห็นเนินที่ปูด้วยอิฐ เดินขึ้นไปจนสุดเนินจะเจอแยกไฟแดงและป้ายพร้อมลูกศรชี้ไปทางซ้ายบอกทางไปศาลเจ้า
แต่ตอนนี้ขอแวะไปหาของว่างทานก่อน เพราะงั้นให้เดินตรงต่อไปจนถึงสามแยกไฟแดง เลี้ยวซ้ายไปนิดเดียวจะเห็นอาคารสองชั้นสีขาว มีร้านผนังไม้อยู่ด้านหน้า
นี่คือร้าน ฮิมาวาริฮมโปะ (Himawari Hompo) ขายโอโคโนมิไทยากิ ฟังชื่อแล้วอย่าเพิ่งงงกันว่าตกลงเป็นโอโคโนมิยากิหรือขนมไทยากิกันแน่ เพราะนี่คือขนมที่รวมความอร่อยของทั้งสองอย่างไว้ด้วยกัน
มี 3 ไส้ให้เลือกคือ เบคอน, วินเนอร์ (ไส้กรอก) และ คาเร่ (แกงกะหรี่) ราคา 150 เยน เท่ากันหมด ครั้งนี้ขอเลือกไส้ที่ขายดีที่สุดของร้านคือ เบคอน มาพร้อมกะหล่ำฝอยเต็มๆ กับซอสรสเข้มข้น ขนมเพิ่งทำเสร็จใหม่ๆ แป้งด้านนอกก็กรอบ ไส้ด้านในก็ร้อน หน้าตาเป็นไทยากิ แต่รสชาติเป็นโอโคโนมิยากิ ทานง่ายไม่ต้องมือเลอะด้วย ใครอยากนั่งพักที่ร้านก็มีที่นั่งด้านในให้
ได้ของว่างรองท้องแล้วเราก็ไปศาลเจ้ากันเลย เดินตรงไปอีกนิดก็ให้เลี้ยวซ้ายเข้าซอยเพื่อกลับไปยังถนนเส้นใหญ่เมื่อครู่ เมื่อถึงถนนใหญ่แล้วก็เดินไปทางขวานิดเดียวก็จะเห็นเสาโทริอิของศาลเจ้าแล้ว
บริเวณด้านหน้าศาลเจ้ามีบริการฟรี Wifi ด้วย ใครที่อยากใช้เน็ตทำอะไรก็มาแถวนี้ได้เลย
10:40 ศาลเจ้าคาชิมะจิงกู (Kashima Jingu Shrine)
ศาลเจ้าคาชิมะจิงกู เป็นศาลเจ้าที่บูชาเทพเจ้าทาเคมิคาสึจิ โนะ โอคามิ เทพผู้เสด็จลงมาเจรจากับเทพบนพื้นพิภพทั้งหลายให้มอบแผ่นดินแก่ตนเพื่อรวบรวมให้เป็นหนึ่งจนก่อกำเนิดเป็นประเทศญี่ปุ่น และยังได้รับการยกย่องให้เป็นเทพแห่งดาบ การรบ การต่อสู้ การเจรจาและชัยชนะ ผู้ร่ำเรียนศิลปะการต่อสู้แขนงต่างๆ จึงมาไหว้บูชากันมาก และว่ากันว่าการต่อสู้ประลองกำลังของเทพองค์นี้กับเทพทาเคมินาคาตะ คือต้นกำเนิดของกีฬาซูโม่อีกด้วย
ไฮเด็น อาคารสักการะ ด้านหลังของไฮเด็นคือฮนเด็น อาคารศาลเจ้าหลัก
เชื่อกันว่าศาลเจ้าแห่งนี้ก่อตั้งขึ้นในสมัยพระจักรพรรดิจิมมุ ปฐมจักรพรรดิแห่งญี่ปุ่นราว 660 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งเท่ากับศาลเจ้าแห่งนี้มีอายุมากกว่า 2,600 ปีแล้ว ได้รับการเคารพนับถือจากทั้งราชวงศ์ โชกุน และผู้มีอำนาจทั้งหลาย
โอคุโนะมิยะ สร้างถวายโดยโทคุกาวะ อิเอยาสุ โชกุนคนแรกของญี่ปุ่น เดิมถูกใช้เป็นฮนเด็น (อาคารศาลเจ้าหลัก) มาก่อน
ภายในศาลเจ้ามีสวนเลี้ยงกวาง ซึ่งศาลเจ้าคาชิมะจิงกูให้ความสำคัญกับกวางมาตั้งแต่อดีตในฐานะของสัตว์ผู้รับใช้เทพ และตามประวัติศาสตร์ยังถือว่ากวางของที่นี่คือต้นกำเนิดของกวางแห่งนาราด้วย โดยย้อนกลับไปในปีจิงโกะเคอุนที่ 2 (ค.ศ. 768) กวางของศาลเจ้าคาชิมะจิงกูได้อัญเชิญวิญญาณเทพไปยังนาราเพื่อสร้างศาลเจ้าคาซุกะ จึงเป็นจุดกำเนิดของกวางแห่งนาราในทุกวันนี้
อีกเรื่องที่น่าสนใจ คือ ตำนานญี่ปุ่นเชื่อว่าใต้แผ่นดินมีปลาดุกขนาดใหญ่อาศัยอยู่ เมื่อปลาดุกขยับตัวก็จะเกิดแผ่นดินไหวใหญ่ เทพทาเคมิคาสึจิ โนะ โอคามิจึงนำหินยักษ์มาวางสะกดหัวปลาดุกเพื่อให้ขยับไม่ได้ ส่วนหางของปลาดุกก็ว่ากันว่าถูกสะกดอยู่ในตำแหน่งของศาลเจ้าคาโทริจิงกู ที่จังหวัดชิบะ
ด้วยหินสะกดและอำนาจของเทพที่ช่วยปกป้องคุ้มครอง ทำให้พื้นที่แถบนี้แทบจะไม่ประสบกับภัยพิบัติรุนแรงเลย
12:00 มื้อเที่ยงที่ร้านฮิโตะยาซุมิ (Hitoyasumi)
เดินย้อนกลับมาจนถึงโอคุกู แล้วเดินตามทางลาดซึ่งเดิมเป็นเส้นทางเดินมาสักการะศาลเจ้าในอดีตไปจนสุด จะพบกับร้านฮิโตะยาซุมิอยู่ทางขวามือ และข้างๆ กันก็เป็นบ่อน้ำมิตาราชิจากน้ำผุดธรรมชาติที่ถือกันว่าเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์
มื้อเที่ยงที่นี่มีเซ็ตโซบะให้เลือกเยอะเลย หรือถ้าอยากทานเป็นของว่างก็มีปลาอายุย่าง ดังโกะสามสี มีที่นั่งทั้งด้านในและหน้าร้าน ได้นั่งพักทานของอร่อยพร้อมชมธรรมชาติไปด้วย
วันนี้ขอทานมื้อเที่ยงเลยด้วยเมนู ยูซุย เท็มปุระ โซบะ (Yusui Tempura Soba) ราคารวมภาษี 1,560 เยน เส้นโซบะนวดด้วยน้ำบริสุทธิ์จากน้ำผุดธรรมชาติ พร้อมเท็มปุระกุ้งและผักสดๆ สารพัดชนิด ถ้ามาวันธรรมดาทางร้านจะมีเซ็ตอาหารเที่ยงยูซุย โซบะ โอเซ็น (Yusui Soba Ozen) มีทั้งโซบะ เท็มปุระ ของหวาน กาแฟ รวมแล้ว 9 อย่างในเซ็ต ถ้าได้มาวันธรรมดาห้ามพลาดเลย
หลังจากทานเสร็จก็ขอเดินเล่นชมธรรมชาติในศาลเจ้าอีกสักพัก แค่ได้เดินท่ามกลางบรรยากาศร่มรื่นและอากาศบริสุทธิ์ก็ทำให้จิตใจสงบและรู้สึกสดชื่นขึ้นมาเลย
ยังมีสถานที่น่าสนใจเกี่ยวกับศาลเจ้าคาชิมะจิงกูอีก ลองดูได้ที่บทความ เดินทางไปกลับจากโตเกียวในวันเดียว : หย่อนใจไปกับศาลเจ้าคาชิมะจิงกูและงานดอกไอริสที่อิตาโกะ
12:40 พักจิบชาเขียว ทานขนมหวานแบบญี่ปุ่นที่ร้านมารุซันคาเฟ่ (Marusan Cafe)
ออกจากศาลเจ้าเดินตรงไปตามถนนหน้าศาลเจ้าเรื่อยๆ แค่ประมาณ 6 นาทีก็จะเจอร้านมารุซันโรโฮะ (Marusan Rouho) ร้านขนมญี่ปุ่นที่มีให้เลือกหลากหลายแบบ สามารถซื้อไปเป็นของฝากกันได้ หรือจะแวะนั่งทานขนมจิบชากันในมารุซันคาเฟ่ด้านในก็ดี
คุริฮิโรย (Kuri-hiroi) ขนมที่ทำรูปทรงให้ดูเหมือนกับลูกเกาลัดที่ออกผลในฤดูใบไม้ร่วง ด้านในเป็นไส้ถั่วแดงบด ราคา 227 เยน เลือกทานคู่กับมัทฉะมิลค์ (Matcha Milk) ชาเขียวใส่นมอุ่นๆ หอมมาก ราคา 500 เยน
13:23 สู่เมืองซาวาระ ชมเทศกาลใหญ่ (Grand Festival of Sawara)
พักจิบชาทานของว่างจนหายเหนื่อยแล้วก็เดินกลับไปยังสถานี Kashima Jingu เพื่อนั่งรถไฟ JR ไปลงที่สถานี Sawara กันเลย ซื้อตั๋วที่เครื่องราคา 320 เยน นั่งไป 20 นาทีก็ถึง
ซาวาระ (Sawara) ในเมืองคาโทริ จังหวัดชิบะ ถือเป็นหนึ่งในเมืองค้าขายที่เจริญมากในสมัยเอโดะ มีแม่น้ำโอโนะกาวะ (Onogawa) ไหลผ่านกลางเมือง สองฝั่งแม่น้ำเป็นอาคารบ้านเรือนแบบโบราณ แค่เดินเข้ามาบริเวณนี้ก็รู้สึกราวกับได้เดินทางย้อนสู่อดีต ที่เรามาซาวาระกันในวันนี้เพราะที่นี่เค้ามีจัดงานเทศกาลใหญ่แห่งซาวาระ (Grand Festival of Sawara - ภาษาญี่ปุ่น Sawara no Taisai) ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกชาติด้านวัฒนธรรมที่ไร้รูปร่างในปี 2004 และ มรดกโลกด้านวัฒนธรรมที่ไร้รูปร่าง โดย UNESCO ในปี 2016
เทศกาลใหญ่แห่งซาวาระจัดขึ้นปีละ 2 ครั้ง เป็นเทศกาลฤดูร้อนในเดือนกรกฎาคม และเทศกาลฤดูใบไม้ร่วงในเดือนตุลาคม ครั้งละ 3 วันในวันศุกร์ - อาทิตย์ ปีนี้จัดในวันที่ 12-14 ตุลาคม 2018
ไฮไลท์คือรถลากดาชิ หรือที่ชาวเมืองจะเรียกว่ายะไต งานเทศกาลทั่วไปด้านบนของรถลากมักจะเป็นวิหารเล็กๆ หรือหุ่นขนาดเท่าคนจริง แต่หุ่นบนรถลากของซาวาระมีขนาดใหญ่อลังการสูงร่วม 4 เมตร และยังเด่นเรื่องความงดงามสมจริงด้วย ในเทศกาลฤดูร้อนจะมีรถลาก 10 คัน ส่วนเทศกาลฤดูใบไม้ร่วงมีถึง 14 คัน โดยมาจากเขตต่างๆ ในเมืองเป็นผู้ทำและเข้าร่วม
เมื่อออกจากสถานีรถไฟ วิธีเดินไปยังบ้านโบราณริมแม่น้ำโอโนะกาวะซึ่งเป็นหนึ่งในทางผ่านของขบวนรถลากคือ เดินตรงไปจนเจอศูนย์ข้อมูลนักท่องเที่ยวเมืองซาวาระ แล้วเลี้ยวซ้าย จากนั้นเลี้ยวซ้ายอีกทีจนเห็นทางรถไฟ ไม่ต้องข้ามทางรถไฟแต่ให้เลี้ยวขวาแล้วตรงไปเลยก็ถึงแม่น้ำแล้ว ระหว่างทางก็มีร้านค้าแผงลอยเต็มไปหมดทั้งของกิน ขนม ของเล่นต่างๆ
ยิ่งเดินไปใกล้แม่น้ำเท่าไหร่เสียงบรรเลงดนตรีก็ค่อยๆ ดังชัดเจน ยิ่งทำให้รู้สึกตื่นเต้นมากขึ้นเรื่อยๆ
พอเดินพ้นถนนออกมายังไม่ทันจะถึงริมแม่น้ำเลยก็ได้พบกับรถลากคันแรก และต้องตะลึงในความยิ่งใหญ่ของหุ่นด้านบน
นี่เป็นหุ่นของไดนันโค หรือคุซุโนคิ มาซาชิเกะ ซามูไรผู้เก่งกาจในประวัติศาสตร์ เป็นขบวนรถของเขตฮิกาชิเซกิโดะ
รถลากนี้มีล้อก็จริงแต่เป็นล้อไม้ ตัวรถทั้งหมดหนักราว 4 ตัน ด้านหน้าลากด้วยเชือก ด้านหลังยังต้องใช้แรงคนช่วยดันให้เคลื่อนตัว ไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ ชายหรือหญิง ทุกคนต่างมาช่วยกันลากดันรถของเขตที่ตัวเองอาศัยอยู่ไปตามเส้นทางทั่วเมือง ล้อไม้ของรถจะถูกยึดให้อยู่ในแนวตรงเท่านั้น หักล้อไม่ได้ เพราะฉะนั้นเวลาที่จะเลี้ยวรถก็ต้องใช้ไม้ค้ำยันเป็นจุดหมุน แล้วใช้แรงคนดันรถลากให้หมุนเลี้ยวเอา แค่ดูก็รู้ว่าไม่ง่ายเลย
คันแรกเลี้ยวผ่านไป คันที่สองก็ตามมาติดๆ คันนี้เป็นหุ่นของเทพนินิกิ โนะ มิโคโตะ หลานของเทพอามาเทราสุ เทพนินิกิเสด็จลงมายังโลกพร้อมเครื่องราชกกุธภัณฑ์ 3 ชิ้นคือกระจก มณีมากาทามะ และดาบศักดิ์สิทธิ์ และว่ากันว่าหลานของเทพนินิกิคือปฐมจักรพรรรดิของญี่ปุ่น
ตัวรถลากแต่ละคันจะถูกแกะสลักเป็นเรื่องราวต่างๆ ว่ากันว่าปัจจุบันแทบจะไม่เหลือช่างฝีมือที่สามารถทำงานแบบนี้ได้แล้ว รถลากที่เก่าที่สุดถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1822 ส่วนหุ่นก็ถูกสร้างขึ้นในช่วงปลายยุคเอโดะไล่เลี่ยกัน
เมื่อเดินตามขบวนรถลากไปก็จะถึงริมแม่น้ำโอโนะกาวะ รถลากจะผ่านไปตามถนนริมน้ำ ซึ่งเรียงรายไปด้วยอาคารบ้านเรือนโบราณ บางแห่งก็เป็นร้านค้า ร้านอาหาร บางแห่งก็เปิดเป็นเรียวกัง สามารถมาพักค้างคืนได้ แขกของเรียวกังหลายคนก็ได้ดูรถลากจากหน้าต่างห้องพักชั้นสองกันแบบใกล้ชิดเลย หรือใครอยากจะนั่งเรือชมขบวนรถจากแม่น้ำก็มี
เทศกาลฤดูใบไม้ร่วงนี้จัดขึ้นเพื่อบูชาเทพแห่งศาลเจ้าซุวะ (Suwa Shrine) ซึ่งตั้งอยู่บนเขาใกล้ตัวเมือง ในช่วงเทศกาลนี้เท่านั้นที่เทพเจ้าจะถูกอัญเชิญมายังกลางเมืองให้ผู้คนได้สักการะ
ระหว่างทางเมื่อมีร้านค้าต่างๆ มอบของกำนัลให้ ขบวนรถจะหยุดและแสดงการเต้นรำให้ชมด้วย
รถลากบางส่วนใช้หุ่นขนาดเท่าคนจริง อย่างรถลากของเขตชินอุวะกาชิ เป็นหุ่นของซุกาวาระ มิจิซาเนะ นั่งอยู่บนหลังวัว พร้อมผู้ติดตาม บอกเล่าเรื่องราวระหว่างการเดินทางไปยังคิวชู
ระหว่างเดินชมขบวนรถลาก ก็อย่าลืมแวะชมอาคารเก่าแก่ในเมืองซึ่งบางหลังมีจัดแสดงข้าวของเครื่องใช้จากสมัยก่อนให้ชมด้วย
อีกหนึ่งไฮไลท์คือโนะโนะจิมาวาชิ การหมุนรถลากเป็นวงกลม อย่างที่บอกว่ารถลากนี้หนักถึง 4 ตัน แค่จะหมุนเลี้ยวยังยาก แต่นี่ต้องหมุนวนหลายๆ รอบ เมื่อรถลากผ่านมายังจุดที่กำหนดก็จะเริ่มการหมุนรถ พร้อมเสียงดนตรีบรรเลงที่ค่อยๆ เร่งจังหวะขึ้นเรื่อยๆ ทันทีที่จบลงผู้ชมที่อยู่รายรอบต่างก็ปรบมือให้กำลังใจกันอย่างกึกก้อง สังเกตดูที่พื้นถนนจะเห็นร่องรอยของล้อไม้ที่ถูกลากเป็นวงกลมเต็มไปหมดเลย
เมื่อตะวันเริ่มคล้อยต่ำ ท้องฟ้าเริ่มมืดลงทีละนิด ขบวนรถจะเริ่มประดับโคมไฟ ทำให้ได้เห็นบรรยากาศที่ต่างจากตอนกลางวัน
ยิ่งดึกยิ่งคึกคัก หลายคนก็ใส่ชุดยูคาตะมาเดินกันเป็นครอบครัว หาซื้อของทานกันตามร้านแผงลอย ได้บรรยากาศงานเทศกาลแบบญี่ปุ่นมาก แนะนำว่าถ้าได้มา ต้องอยู่ให้ถึงตอนประดับไฟแล้วให้ได้ เพราะสวยงามมากจริงๆ
บริเวณริมแม่น้ำเป็นจุดที่จะได้ชมรถลากในบรรยากาศดี หากใครกลัวหลงสามารถดูแผนที่ด้านล่างนี้แล้วเดินมาจากสถานีได้เลย
17:51 นั่งรถไฟกลับโตเกียว
หลังจากชมเทศกาลจนเต็มที่ก็ได้เวลากลับที่พัก แต่ถ้าใครอยากจะอยู่ต่อ งานก็มีจนมืดถึงสี่ทุ่มเลย
ใครที่จะกลับโตเกียวก็กลับไปที่สถานีรถไฟแล้วขึ้นรถสายนาริตะไปลงที่สถานีชิบะ แล้วเปลี่ยนไปนั่งรถเร็วประเภท Rapid ของสายโซบุ (Sobu) ไปลงที่สถานีโตเกียวเลย ราคา 1,660 เยน ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง
สำหรับข้อมูลเที่ยวศาลเจ้าคาชิมะจิงกูและเมืองซาวาระนั้น เราก็มีบทความอื่นๆ อีก ใครสนใจลองไปอ่านกันให้ครบเลย
อ่านเพิ่มเติมได้ที่
สรุปการเดินทาง
สถานีโตเกียว → ร้านขนมฮิมาวาริฮมโปะ → ศาลเจ้า คาชิมะจิงกู → ร้านฮิโตะยาซุมิ → มารุซันคาเฟ่ → เทศกาลใหญ่แห่งซาวาระ → สถานีโตเกียว
ค่าเดินทางทั้งหมด : 3,810 เยน
ค่าของว่างและอาหาร : 2,387 เยน
รวมค่าใช้จ่ายใน 1 วันตามแผน : ประมาณ 6,197 เยน
ใกล้ๆ โตเกียวยังมีเมืองเก่าๆ น่าสนใจให้ชมอีกเยอะ ใครอยากได้ข้อมูลของเมืองซาวาระ อิตาโกะ คาชิมะ สามารถเช็คได้จากที่นี่เลย : http://www.suigosanto.com/en/index.html
Supported by The Three Cities in the Suigo district (Katori,Kashima,Itako)
เที่ยวชมศิลปะและธรรมชาติ ถ่ายรูปเล่น
นอกจากนี้ บทความอาจมีลิงก์โฆษณา โปรดพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจซื้อหรือจอง