Start planning your trip
เดินทางจากสนามบินนาริตะแบบสบายๆ ด้วย Skyliner แล้วต่อแท็กซี่ถึงหน้าโรงแรม
มาทำให้การเดินทางจากสนามบินนาริตะไปยังโรงแรมที่พักสะดวกสบายยิ่งขึ้นด้วยตั๋ว KEISEI SKYLINER & TEITO TAXI นั่งรถไฟ Skyliner แล้วต่อแท็กซี่ไปถึงหน้าโรงแรมในราคาสุดคุ้ม ไม่ต้องลากกระเป๋า ไม่ต้องเปลี่ยนรถไฟหลายต่อ แถมได้ชมวิวเมืองโตเกียวไปในตัว
ตั๋วเซ็ตคู่เดินทางจากสนามบินนาริตะเข้าเมืองแบบสบายๆ
KEISEI SKYLINER & TEITO TAXI
มาถึงสนามบินนาริตะเช้า เข้าโรงแรมก็ยังไม่ได้ กว่าจะไปถึงโรงแรมก็ต้องเปลี่ยนรถไฟหลายต่อ แถมยังต้องเดินลากกระเป๋าเดินทางจากสถานีรถไฟไปถึงโรงแรมอีกต่างหาก ปัญหาเหล่านั้นจะหมดไปด้วยตั๋วเซ็ตคู่ราคาพิเศษ KEISEI SKYLINER & TEITO TAXI นั่งรถไฟ Skyliner ตรงสู่สถานีเคเซอุเอโนะ จากนั้นพนักงานขับรถแท็กซี่จะมารอรับถึงหน้าทางออกสถานีเพื่อพานั่งรถชมวิวเมืองโตเกียวไปส่งถึงหน้าประตูโรงแรม
วิธีซื้อตั๋วนี้ให้ไปยังเคาน์เตอร์บริการ SKYLINER & KEISEI INFORMATION CENTER ตรงชั้นใต้ดิน B1 ของสนามบินนาริตะทั้งอาคารเทอร์มินอล 1 และเทอร์มินอล 2
แจ้งเจ้าหน้าที่ว่าต้องการซื้อตั๋ว KEISEI SKYLINER & TEITO TAXI เจ้าหน้าที่จะให้เลือกเวลารถไฟ Skyliner จากนั้นกรอกชื่อ จำนวนผู้โดยสาร และชื่อโรงแรม ค่าเดินทางจะกำหนดจากโซนที่ตั้งของโรงแรม อย่างครั้งนี้จะนั่งไปยังโรงแรม HYATT REGENCY TOKYO ที่เขตชินจูกุ จัดอยู่ในโซน B สำหรับผู้โดยสารหนึ่งคนราคารวมทั้งหมด 6,550 เยน ถ้าจำนวนคนเพิ่มขึ้นราคาก็จะถูกลง โดยนั่งได้สูงสุด 3 คน
เสร็จแล้วก็จะได้ตั๋วนั่งรถไฟ Skyliner และตั๋วสำรองแท็กซี่เอาไว้ยื่นให้พนักงานขับรถแท็กซี่ตรงสถานีอุเอโนะ พร้อมแล้วก็ไปขึ้นรถไฟกันเลย ดูข้อมูลเกี่ยวกับการขึ้นรถไฟ Skyliner ได้ที่บทความด้านล่างนี้
อ่านเพิ่มเติมได้ที่
ร้านของที่ระลึก GIFT KEISEI ที่สถานีเคเซอุเอโนะ
มาถึงสถานีเคเซอุเอโนะ พอเดินออกจากช่องตรวจตั๋วจะเจอทั้งร้านสะดวกซื้อ ศูนย์ข้อมูลท่องเที่ยว รวมถึงร้านขายของที่ระลึก GIFT KEISEI ด้วย ชอบพวงกุญแจรูปป้ายสถานีรถไฟอุเอโนะมาก ถ้าอยากฝากกระเป๋าเดินทางจะได้เดินเที่ยวสบายๆ ก็แวะไปที่ Baggage Service ที่อยู่ใกล้ๆ กันเพื่อใช้บริการรับฝากกระเป๋าได้
ปกติแล้วพนักงานขับรถแท็กซี่จะมายืนรอเราอยู่ตรงหน้าทางออกช่องตรวจตั๋วรถไฟนี้เลย แต่ครั้งนี้พอคิดว่ามีเวลาเยอะอยากแวะเที่ยวก่อนก็เลยเลือกเวลาขึ้นรถแท็กซี่เป็นช่วงบ่ายแทน เพราะงั้นตอนนี้ไปเดินเที่ยวแถวสถานีเคเซอุเอโนะกันก่อนดีกว่า
อาเมโยโกะ ตรอกละลายทรัพย์แห่งอุเอโนะ
พูดถึงอุเอโนะจะไม่นึกถึงอาเมโยโกะ (Ameyoko) ได้ยังไง ตลอดทางเดินและตรอกซอกซอยเต็มไปด้วยร้านค้าร้านอาหารสารพัดอย่าง ขนม เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า ร้านขายยา ต้องเรียกว่าตรอกละลายทรัพย์อุเอโนะไปเลยดีกว่า เมื่อเดินมาถึงป้ายถนนอาเมโยโกะอย่างที่เห็นในภาพก็ลองมองไปทางขวาจะเจอกับจุดหมายแรกของเรา
11:30 คิมิโนะเอ็น หอมกรุ่นกลิ่นชาญี่ปุ่น
ระยะหลังมานี้นอกจากชาเขียวมัทฉะแล้ว โฮจิฉะก็เริ่มได้รับความนิยมในไทยมากขึ้น แต่ที่จริงญี่ปุ่นยังมีชาอีกหลายชนิดเลยนะ ใครที่อยากหาซื้อชาญี่ปุ่นกลับไปชงที่ไทยขอแนะนำร้านชา คิมิโนะเอ็น (Kimino-en) ที่มีประวัติยาวนานร่วม 100 ปี
จากหน้าร้านจะเห็นถุงชาหลากชนิดวางเรียงเป็นตับ มีป้ายไอศกรีมซอฟต์ครีมมัทฉะด้วย ไม่พลาดแน่นอน พอเดินเข้ามาในร้านจะได้กลิ่มหอมของชาอบอวลไปทั่ว
เอาชื่อชาที่หลายคนเคยได้ยินก็น่าจะเป็น มัทฉะ โฮจิฉะ อู่หลง เก็มไมฉะ ซึ่งแน่นอนว่าที่นี่ก็มีให้เลือกครบทั้งแบบห่อธรรมดาและแบบบรรจุถุงทีแพ็กให้ชงได้ง่ายที่ละแก้ว
ซอฟต์ครีมมัทฉะทางร้านมีให้เลือก 3 แบบคือ แบบมัทฉะล้วน (350 เยน) แบบรสนมฮอกไกโด (300 เยน) และแบบผสม (300 เยน) ครั้งนี้สั่งแบบมัทฉะล้วน แค่ชิมคำแรกกลิ่นมัทฉะก็หอมกระจายจนนึกว่ากำลังดื่มชาเขียวมัทฉะยังไงยังงั้น อร่อยเข้มข้นมาก ยิ่งช่วงอากาศร้อนๆ ถ้าได้ทานอะไรเย็นๆ อย่างนี้ชื่นใจแย่
ตรงหน้าเคาน์เตอร์ซอฟต์ครีมมีถ้วยเชกเกอร์จิ๋วสำหรับชงมัทฉะด้วย! ใส่ผงชาเขียวมัทฉะกับน้ำร้อนลงไปแล้วก็เขย่าๆ เผื่อใครที่อุปกรณ์ชงไม่พร้อมก็ใช้อันนี้แก้ขัดก่อนได้
วันนี้เราได้รับความกรุณาจากคุณคิมิโนะ เก็นอิจิ ช่วยมาอธิบายประเภทและวิธีชงชาให้ฟังด้วย หลายคนอาจจะรู้อยู่แล้วว่าชาหลากชนิดที่จริงก็มาจากต้นชาเหมือนกัน ต่างกันที่วิธีปลูก วิธีเก็บใบชา และกรรมวิธี ต่อให้เป็นชนิดเดียวกันแต่ต่างแหล่งผลิต รสชาติก็ไม่เหมือนกันอีก
กรรมวิธีหลักๆ ที่ใช้กับใบชาก็คือการอบด้วยไอน้ำ ถ้าเอาใบชาที่เด็ดสดๆ มาอบทันทีก็จะได้เซ็นฉะ ซึ่งชาวญี่ปุ่นนิยมดื่มมากที่สุด ชาเขียวที่คนไทยเราเรียกกันก็จะหมายถึงเซ็นฉะเป็นหลัก ถ้าเอาไปผ่านกรรมวิธีหมักและอบคั่วก็จะได้เป็นอู่หลง หรือถ้าเป็นแบบที่ผสมข้าวกล้องคั่วก็จะเป็นเก็มไมฉะแบบในรูป
ครั้งนี้เราได้ลองชงชา ฟุกามุชิเซ็นฉะ (Fukamushi Sencha : Deep-steamed Sencha) ที่ใช้เวลาคั่วนานกว่าเซ็นฉะปกติประมาณ 3 เท่า ทำให้ได้น้ำชารสเข้มขึ้น สำหรับชงดื่มคนเดียวก็ตวงใบชา 1 ช้อนชา (ประมาณ 5-6 กรัม) จากนั้นเทน้ำร้อนในปริมาณที่เราจะดื่มใส่แก้วชา แล้วค่อยเทใส่กาน้ำชาต่ออีกที นี่เป็นการตวงปริมาณน้ำให้เทได้พอดีกับที่จะดื่ม แล้วยังช่วยลดอุณหภูมิของน้ำร้อนด้วย เพราะอุณหภูมิของน้ำร้อนยิ่งสูง รสฝาดของชาก็จะยิ่งออกมามาก
คุณเก็นอิจิบอกว่าการรินน้ำร้อนใส่ภาชนะหนึ่งครั้งอุณหภูมิจะลดลงประมาณ 10 องศาเซลเซียส นี่เรารินเปลี่ยนภาชนะสองครั้งอุณหภูมิก็จะลดลงประมาณ 20 องศาเซลเซียส ได้น้ำร้อนในอุณหภูมิที่เหมาะสมคือประมาณ 80 องศาเซลเซียส เทใบชาลงในกาแล้วปิดฝาอบประมาณ 30 วินาที - 1 นาที จากนั้นก็ยกกาชาเทจนหมด
กลิ่นและรสของชาหอมกรุ่น ทานคู่กับขนมคุกกี้หรือผลไม้แห้งก็เข้ากัน ในแก้วชาอาจจะมีเศษใบชาปนอยู่ก็ไม่เป็นไร สามารถดื่มเข้าไปได้เลย
ยังมีชาอีกชนิดที่เรียกว่า เกียวคุโระ (Gyokuro) ซึ่งเป็นชาคุณภาพดีและราคาแพงมาก ปลูกแบบไม่ให้ใบอ่อนโดนแสงอาทิตย์ เพราะไม่งั้นรสอร่อยจะหายไป เวลาชงให้ใช้น้ำอุณหภูมิต่ำประมาณ 50 องศาเซลเซียสหรือน้ำเย็นก็ได้ ใส่ใบชาแช่ไว้ประมาณ 2-3 นาที
ตอนชงน้ำแรกคุณเก็นอิจิใช้น้ำน้อยมาก ต้องเรียกว่าชงออกมาเป็นหยด แก้วนึงได้แค่ประมาณ 4-5 หยด แต่พอจิบดูเท่านั้นแหละ ทั้งรสเข้มข้นกลมกล่อม ทั้งกลิ่มหอมที่กระจายฟุ้งไปทั่วปาก ต้องบอกว่าเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้สัมผัสรสชาติแบบนี้ ใบชาหลังจากชงแล้วยังสามารถนำมาผสมกับเครื่องปรุงอย่าง โชยุ เกลือ หรือมิโซะเพื่อใช้ทานได้ด้วย
อีกอย่างที่เป็นครั้งแรกในชีวิตเหมือนกันคือการได้ชงชาเขียวมัทฉะด้วยฉะเซ็น (แปรงไม้ไผ่ชงชา) คนจนน้ำชาแตกฟองละเอียด รสสัมผัสนุ่มลิ้น หอมกลิ่นชามาก ทางร้านมีฉะเซ็นหลายแบบ ใครอยากชงมัทฉะที่บ้านก็ลองซื้อกลับไปได้
บางครั้งจะมีอาจารย์สอนชงชาใช้สถานที่บนชั้น 2 ของร้านจัดเวิร์กชอปเป็นภาษาอังกฤษสำหรับชาวต่างชาติด้วย ถ้าสนใจลองดูรายละเอียดได้จากที่นี่
13:00 ข้าวหน้าหมูลิ้นชาจากร้านจุราคุ
เดินย้อนกลับมาทางเดิมนิดเดียวจะเจอกับร้าน จุราคุ สาขาอาเมโยโกะ (Juraku, Ameyokoten) อยู่ทางขวามือ เด่นด้วยโคมไฟสีขาวแดงประดับอยู่ด้านบน จากป้ายหน้าร้านด้านขวาจะเห็นเมนูมื้อเที่ยงของเราในวันนี้ด้วยนั่นก็คือ ชิบิเระ บุตะด้ง (Shibire Butadon)
ชิบิเระ บุตะด้ง มีให้เลือกถึง 4 ขนาด เริ่มที่ขนาดธรรมดาที่เราสั่งในครั้งนี้ ตามด้วยขนาดเมกะ (น้ำหนักรวมประมาณ 700 กรัม) ขนาดกิกะ (น้ำหนักรวมประมาณ 1.5 กิโลกรัม) ขนาดเทระ (น้ำหนักรวมประมาณ 2.3 กิโลกรัม) เห็นชื่อแล้วนึกว่าขนาดฮาร์ดดิสก์ ใครกินจุก็ลองสั่งขนาดเทระดูนะ น่าจะได้อารมณ์ประมาณแข่งกินจุเหมือนที่เห็นในรายการทีวี
ชิบิเระ บุตะด้ง เมนูขึ้นชื่อของร้านจุราคุเป็นเนื้อหมูผัดกับซอสรสหวานสูตรพิเศษโปะมาบนข้าวร้อนๆ โรยหน้าด้วยพริกป่นฮานะซันโชที่มีจุดเด่นตรงกลิ่นหอมและรสเผ็ดที่ทำให้ลิ้นรู้สึกชานิดๆ ซึ่งภาษาญี่ปุ่นจะเรียกอาการชาว่าชิบิเระ เลยเป็นที่มาของชื่อเมนูนี้
ที่จริงนี่เป็นครั้งที่สามแล้วที่มาร้านนี้แล้วก็สั่งเมนูนี้ เพราะชอบรสหวานๆ เค็มๆ แล้วก็มีรสเผ็ดลิ้นชาพอดีๆ ไม่มากเกินไป
อีกหนึ่งเมนูหลักของร้านคือ คุชิอาเกะ อาหารเสียบไม้ทอดที่มีให้เลือกเยอะมาก 20 กว่าอย่าง เช่น เห็ดหอม หน่อไม้ฝรั่ง ไข่นกกระทา หอยเชลล์ หมึก เบคอนห่อชีส ฯลฯ ที่เมนูจะมีภาษาอังกฤษเขียนให้เรียบร้อย
ซอสจิ้มเค้าจะมีเป็นถ้วยใหญ่พร้อมฝาปิดวางให้บนโต๊ะอยู่แล้ว กฎเวลาจะจิ้มซอสของร้านคุชิอาเกะไม่ว่าที่ไหนก็คือจิ้มได้ครั้งเดียว เพราะซอสนี่จะใช้ร่วมกัน ถ้าจิ้มเสร็จเอามากัดทานแล้วเอาไปจิ้มซ้ำ คนอื่นก็จะใช้ซอสต่อไม่ได้น่ะ
14:20 กลับไปขึ้นแท็กซี่ที่สถานีเคเซอุเอโนะ
พอกลับมาถึงหน้าช่องตรวจตั๋วของสถานีเคเซอุเอโนะก็เห็นพนักงานขับรถแท็กซี่ถือป้ายรออยู่แล้ว ยื่นตั๋วสำรองแท็กซี่ที่ได้มาให้กับพนักงานเพื่อยืนยันความถูกต้อง จากนั้นพนักงานจะพาไปยังจุดขึ้นรถด้านใน
รถแท็กซี่จะวิ่งผ่านสถานที่เด่นๆ ในโตเกียว เช่น อากิฮาบาระ สถานีโตเกียว พระราชวังอิมพีเรียล อาคารรัฐสภา ระหว่างนั่งไปก็เหมือนได้เที่ยวชมเมืองโตเกียวไปในตัว
ข้อดีอื่นๆ ของการใช้บริการ TEITO TAXI คือค่ารถที่ฟิกซ์ไว้แล้ว เพราะฉะนั้นถึงจะเจอรถติดก็ไม่ต้องกังวลว่าค่ารถจะแพงขึ้น และเทียบกับการนั่งรถไฟแล้วก็สะดวกกว่ามาก เพราะมาลงถึงหน้าโรงแรม ไม่ต้องเดินลากกระเป๋าจากสถานีให้ลำบากเลย
ใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงก็มาถึงโรงแรม HYATT REGENCY TOKYO ตรงชินจูกุ เมื่อเข้ามายังล็อบบี้ก็เจอกับโคมแชนเดอเลียร์ขนาดใหญ่อลังการออกมาต้อนรับ หาดูไม่ได้ง่ายๆ เลย แล้วเจ้าหน้าที่ก็มารับกระเป๋าและพาไปยังเคาน์เตอร์เพื่อเช็คอิน
ระหว่างขึ้นลิฟต์อย่าลืมดูความอลังการของโคมแชนเดอเลียร์แบบใกล้ชิดจากมุมสูงกันนะ พอวางกระเป๋าเสร็จก็ออกไปชมวิวเมืองโตเกียวจากมุมสูงกันดีกว่า
15:45 ชมวิวเมืองโตเกียวที่ศาลาว่าการกรุงโตเกียว
เดินข้ามถนนจากโรงแรมมาไม่ถึง 3 นาทีก็เป็นอาคารศาลาว่าการกรุงโตเกียว (Tokyo Metropolitan Government) ซึ่งเราสามารถขึ้นไปชมวิวเมืองโตเกียวจากความสูง 202 เมตร ที่ห้องชมวิว (Tokyo Metropolitan Government Building Observatories) ชั้น 45 ได้ฟรี เห็นทั้งโตเกียวสกายทรีทั้งโตเกียวทาวเวอร์ ในวันที่อากาศปลอดโปร่งจะเห็นภูเขาไฟฟูจิซึ่งเป็นทิศที่พระอาทิตย์ตกพอดีด้วย
ห้องชมวิวจะมี 2 ห้องโดยอยู่ที่ตึกฝั่งทิศเหนือและทิศใต้อย่างละห้อง ถ้ามีเวลาก็ไปชมให้ครบทั้งสองห้อง จะได้ชมวิวพร้อมถ่ายรูปที่ระลึกเมืองโตเกียวแบบ 360 องศาเลย
เดินทางจากสนามบินสู่โรงแรมแบบสะดวกสบายด้วย KEISEI SKYLINER & TEITO TAXI
Skyliner วิธีเดินทางจากสนามบินนาริตะสู่เมืองโตเกียวที่สะดวกและรวดเร็ว มาพร้อมบริการแท็กซี่ส่งถึงหน้าโรงแรม นั่งชมวิวเมืองโตเกียวได้เพลินๆ แถมไม่ต้องลากกระเป๋าให้เหนื่อย มาเที่ยวโตเกียวคราวหน้าอย่าลืมใช้บริการ KEISEI SKYLINER & TEITO TAXI กันนะ
สรุปการเดินทาง
สนามบินนาริตะ → สถานีเคเซอุเอโนะ → ตลาดอาเมโยโกะ → ร้านชาคิมิโนะเอ็น → ร้านจุราคุ สาขาอาเมโยโกะ → นั่งแท็กซี่ → โรงแรม HYATT REGENCY TOKYO → จุดชมวิวศาลาว่าการกรุงโตเกียว
ค่าใช้จ่าย
ค่าเดินทาง : 6,550 เยน
ค่าอาหารและขนม : 1,640 เยน
รวมค่าใช้จ่ายทั้งหมด 8,190 เยน
นอกจากตั๋ว KEISEI SKYLINER & TEITO TAXI ที่เราใช้ในวันนี้ ยังมีตั๋วพิเศษอีกหลายแบบเช่น Keisei Skyliner & Tokyo Subway Ticket ที่มาพร้อมตั๋วนั่งรถไฟใต้ดินแบบไม่จำกัด ลองดูข้อมูลเกี่ยวกับ Skyliner เป็นภาษาไทยได้ที่ http://www.keisei.co.jp/keisei/tetudou/skyliner/th/
Supported by Keisei Electric Railway Co.,Ltd.
อ่านเพิ่มเติมได้ที่
เที่ยวชมศิลปะและธรรมชาติ ถ่ายรูปเล่น
นอกจากนี้ บทความอาจมีลิงก์โฆษณา โปรดพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจซื้อหรือจอง