เกร็ดความรู้เกี่ยวกับ「ฮาคาตะราเม็ง」อะไรคือ "บาริคาตะ"？"คาเอทามะ"？

ราเม็งได้กลายเป็นตัวแทนของประเทศญี่ปุ่นไปแล้วในปัจจุบัน ระยะหลังนี้เรายังเห็นร้านราเม็งในหลายๆประเทศทั่วโลกอีกด้วยนะคะ

ราเม็งสูตรดั้งเดิมจากหลายๆแห่งทั่วประเทศญี่ปุ่น หรือที่เรียกว่า "ราเม็งท้องถิ่น" นั้นเป็นอาหารขึ้นชื่อที่ทั้งจากชาวบ้านและนักท่องเที่ยวชื่นชอบเป็นอย่างมากค่ะ

ในบรรดาราเม็งท้องถิ่นทั้งหลาย เพื่อนๆรู้จักฮากาตะราเม็งกันไหมเอ่ย？ ร้านราเม็งชื่อดังร้านอิจิรันแห่งนี้ก็เป็นอีกร้านที่เสริฟ์ฮาคาตะราเม็งเมนูท้องถิ่นยอดนิยมของชาวต่างชาติด้วยค่ะ

ส่วนใหญ่ป้ายร้านก็จะมีระบุคำว่า「ฮาคาตะราเม็ง」ไว้อย่างชัดเจนทำให้หาทานได้ไม่ยากเลยใช่ไหมค่ะ

ในวันนี้ขอแนะนำจุดเด่นและความแตกต่างกับราเม็งชนิดอื่นๆและระบบพิเศษของฮาคาตะราเม็งให้เพื่อนๆได้ทราบไว้เป็นเกร็ดความรู้กันนะคะ

หน้าตาของฮาคาตะราเม็ง

นี่คือฮาคาตะราเม็งแบบทั่วๆไปค่ะ

ท็อปปิ้งที่ขาดไม่ได้เลยของฮาคาตะราเม็ง คือ ต้นหอมและหมูชาชู (เนื่อหมูต้มหรือย่างปรุงรส) ค่ะ ราคาแตกต่างกันไปแต่ละร้านแต่ส่วนใหญ่จะอยู่ในช่วงราคา 500 เยน〜700 เยนค่ะ

อ้อ ลืมบอกไปค่ะ ว่าฮาคาตะนั่นเป็นชื่อเมืองในจังหวัดฟุคุโอกะของญี่ปุ่นค่ะ แต่ปัจจุบันมีร้านฮาคาตะราเม็งมากมายทั่วประเทศญี่ปุ่นเลยค่ะ

ร้านส่วนใหญ่สามารถเพิ่มหมูชาชูหรือไข่ต้มได้ด้วยโดยการจ่ายเพิ่มเพียง 100 เยน〜200 เยนค่ะ

จุดเด่นของฮาคาตะราเม็ง

ฮาคาตะราเม็งมีจุดเด่นที่ราเม็งจากที่อื่นไม่มีมากมายเลยล่ะค่ะ

จุดเด่นที่ 1.น้ำซุปกระดูกหมูขาวข้น

ราเม็งในประเทศญี่ปุ่นจะมีการเตรียมน้ำซุปแตกต่างกันไปโดยส่วนใหญ่จะได้มาจากโครงไก่หรือปลาและปรุงรสด้วยซอสโชยุนะคะ

สำหรับฮาคาตะราเม็งนั้นความโดดเด่นอยู่ที่น้ำซุปสีขาวข้นซึ่งได้จากการเคี่ยวกระดูกหมูเป็นเวลานานค่ะ เมื่อลองซดน้ำซุปที่ข้นราวกับนม รสชาติของหมูและซอสโชยุก็แผ่ซ่านไปทั่วปากเลยล่ะค่ะ

จุดเด่นที่ 2.เลือกเส้นเล็ก＆ระดับความเเข็งของเส้น

เป็นที่ทราบกันดีว่าเส้นของฮาคาตะราเม็งนั้นจะเล็กกว่าเส้นราเม็งจากที่อื่น นี่คือการประยุกต์เพื่อที่จะได้ลวกราเม็งให้แก่ลูกค้าที่ทำงานในตลาดที่แสนยุ่งและวุ่นวายนั้นได้เร็วขึ้นค่ะ

และด้วยความที่เส้นเล็กทำให้ปรับระดับความแข็งของเส้นได้อย่างง่ายดายนะคะ ลูกค้าสามารถแจ้งระดับความแข็งของเส้นที่ต้องการได้ในตอนที่สั่งอาหารค่ะ ซึ่งการเรียกระดับความเเข็งของเส้นก็จะแตกต่างกันไปแต่ละร้านแต่ส่วนใหญ่สามารถสั่งได้เป็น「บาริคาตะ(extra firm)」「คาตะ(firm)」「ฟุทสึ(medium)」「ยาวะ(soft)」「บาริยาวะ(exrta soft)」ค่ะ

ท่านที่ชอบความเหนียวหนึบๆในตอนที่เคี้ยวก็ขอแนะนำเส้นแบบเเข็งสักหร่อย แต่ท่านที่ไม่ชอบก็ต้องแบบนุ่มนะคะ

ตอนสั่งอาหารโดยที่ต้องการเส้นแบบเเข็งก็สามารถพูดได้ว่า「ขอราเม็งแบบธรรมดา และขอเส้นแบบบาริคาตะค่ะ (Futsu no ramen, Men wa Barikata de onegai shimasu」

จุดเด่นที่ 3.การสั่ง"คาเอะดามะ" ที่เป็นเอกลักษณ์

เส้นเล็กก็อาจจะอืดได้ง่าย (การที่เส้นดูดซับน้ำมากเข้าไปทำให้เส้นสูญเสียความเหนียวนุ่ม)

ดังนั้นร้านที่จำหน่ายเฉพาะราเม็งฮาคาตะจะไม่มีแบบพิเศษ (เส้นเยอะ) ที่ต้องใช้เวลาในการทานนานค่ะ แต่จะมีการให้บริการสั่งเพิ่มเฉพาะเส้นหรือที่เรียกว่าคาเอะดามะแทนค่ะ

หากรู้สึกว่ายังไม่อิ่มต้องการเส้นเพิ่มก็สั่งได้เลยว่า「ขอคาเอะดามะค่ะ (Kaedama onegai shimasu)」ทางร้านก็จะเสริฟ์เฉพาะเส้นในจานแยกต่างหากมาให้ค่ะ

ใส่คาเอะดามะลงในน้ำซุป！สามารถสั่งเพิ่มได้ไม่อั้นเพียงแค่ชำระแค่ค่าเส้นที่สั่งเพิ่มมาเท่านั้นค่ะ

ในร้านส่วนใหญ่จะมีเครื่องปรุงที่เรียกว่า「ราเม็งทาเระ」อยู่ที่โต๊ะนะคะ ถ้าใส่คาเอะดามะลงไปเเล้วรสชาติของน้ำซุปจืดลงก็สามารถปรุงเพิ่มด้วยราเม็งทาเระนี้ค่ะ

4.ท็อปปิ้งที่ไม่เหมือนใคร

ไม่แปลกที่จะมีท็อปปิ้งฟรีเตรียมไว้ให้ที่โต๊ะอาหารของร้านราเม็งและฮาคาตะราเม็งก็มีท็อปปิ้งที่ไม่เหมือนใครให้บริการฟรีด้วยเช่นเดียวกันค่ะ

นี่คือคาราชิทาคานะค่ะ เป็นท็อปปิ้งที่ทำจากผักทาคานะหั่นปรุงรสด้วยพริกและนำไปผัดในน้ำมัน เพิ่มรสชาติความจัดจ้านของราเม็งด้วยน้ำมันและความเผ็ดจากพริกค่ะ

นี่คือเบนิโชวกะค่ะ เป็นรากขิงดองมีรสเปรี้ยวนิดๆและเผ็ดแบบซ่านๆลิ้นค่ะ นิยมใส่ลงในน้ำซุปของฮาคาตะราเม็งที่รสชาติอ่อนๆค่ะ

ลองค้นหารสชาติที่ถูกปากตัวเองกันดูนะคะ!

บางร้านยังมีท็อปปิ้งอย่างเช่น กระเทียม, ถั่วงอกเตรียมไว้ในฟรีด้วยนะคะ

มาลองทานฮาคาตะราเม็งกันดูนะคะ！

วันนี้ก็ได้อธิบายเกี่ยวกับฮาคาตะราเม็งให้เพื่อนๆได้รู้จักกันคร่าวๆแล้วนะคะ รูปแบบเฉพาะตัวของร้านฮาคาตะราเม็งอย่างการเลือกระดับความแข็งของเส้นได้ตามใจ, มีคาเอดามะเหล่านี้อาจจะดูยุ่งยากสำหรับชาวต่างชาติไปสักหน่อยนะคะ

หลังจากที่เพื่อนๆอ่านบทความนี้แล้วก็อย่าลืมลองออกไปสั่งฮาคาตะราเม็งทานกันดูเลยนะคะ