Start planning your trip
Watoya เกสท์เฮ้าส์สไตล์ญี่ปุ่นในหุบเขาที่ชิบะ (Chiba) เพียง 1 ชั่วโมงครึ่ง จากโตเกียว
เพียง 1 ชั่วโมงครึ่งจากโตเกียวก็จะพบกับเกสท์เฮ้าท์ วะโทยะ Watoya บ้านเก่าสไตล์ญี่ปุ่นที่สามารถสัมผัสวัฒนธรรมญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม ทั้งการหุงข้าวด้วยเตาคามาโดะ อ่างน้ำโกเอมอนบุโระ หรือการเล่นน้ำในแม่น้ำ มาสนุกไปกับกิจกรรมท่ามกลางธรรมชาติที่มีเฉพาะที่นี่กัน!
ธรรมชาติตระการตา ห่างจากโตเกียวเพียง 90 นาที
ใช้เวลาราว 2 ชั่วโมงครึ่งบนรถไฟจากโตเกียว เราก็มาถึงเมืองโอตากิ (Otaki) เขตโอสึมิ (Osumi-gun) จังหวัดชิบะ ที่นี่เป็นเมืองที่อุดมสมบูรณ์ กว่า 70% ของพื้นที่ถูกปกคลุมด้วยผืนป่า และยังเป็นสถานที่ที่เข้าถึงได้ง่าย หากเดินทางด้วยรถยนต์ก็จะใช้เวลาราว 90 นาทีจากโตเกียว
เรามาที่นี่เพราะได้ยินว่ามีเกสท์เฮ้าส์ที่สามารถสัมผัสประสบการณ์การใช้ชีวิตแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่นอยู่ครับ
เกสท์เฮ้าส์ที่ว่านั้นมีชื่อว่า "วะโทยะ (Watoya)" เปิดดำเนินกิจการเมื่อปี 2015 แต่ตัวอาคารเป็นบ้านญี่ปุ่นเก่าแก่ที่มีอายุมากกว่า 100 ปี เป็นสถานที่พักที่ดูเงียบสงบทีเดียวครับ
ใช้เวลา 10 นาทีนั่งรถรับส่งจากสถานีรถไฟที่ใกล้ที่สุดไปตามเส้นทางบนเขา เราก็จะมาถึงตัวเกสท์เฮ้าส์ซึ่งตั้งอยู่บนที่ราบสูง ผู้ที่มาเยือนสถานที่แห่งนี้ไม่ได้มีเฉพาะชาวญี่ปุ่นเท่านั้น แต่เป็นนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกเลยละครับ
สิ่งที่ดึงดูดให้ผู้คนหลั่งไหลเข้ามาคือกิจกรรมมากมายที่ไม่สามารถสัมผัสได้จากที่อื่น ไม่ว่าจะเป็นการหุงข้าวด้วยเตาคามาโดะ (*1) อ่างอาบน้ำแบบดั้งเดิม โกเอมอนบุโระ หรือการเล่นน้ำท่ามกลางธรรมชาติอันกว้างใหญ่ นักท่องเที่ยวจึงสามารถสนุกไปกับวัฒนธรรมการดำเนินชีวิตแบบดั้งเดิมที่ใกล้จะสูญหายไปจากญี่ปุ่นได้
คราวนี้เรามาค้างที่วะโทยะ 1 คืนเพื่อสัมผัสประสบการณ์ของจริงครับ
* 1 : คามาโดะ ... เตาดินสำหรับทำอาหาร โดยจะวางหม้อเอาไว้แล้วสุมไฟที่ด้านล่าง
ในโรงแรมคือฐานลับ?
เอี๊ยด……
พอเปิดประตูไม้บานหนักออกก็รู้สึกเหมือนหลบเข้ามาอยู่ในฐานลับเลยครับ ภายในตัวอาคารของวะโทยะซึ่งนำบ้านญี่ปุ่นเก่าแก่มาตกแต่งใหม่นั้นให้บรรยากาศสดใสสนุกสนานทีเดียว
ห้องที่มีโต๊ะโคะทัตสึสีสันสดใสและเปลญวนดึงดูดสายตานั้นคือพื้นที่ส่วนกลางที่ผู้เข้าพักสามารถมาพักผ่อนและคุยเล่นกันได้ ที่มุมห้องมีดันโระหรือเตาผิงแบบญี่ปุ่นอยู่ด้วย ในฤดูหนาว พอจุดฟืนลงไปก็จะทำให้ห้องอบอุ่นขึ้น
ก่อนอื่น คุณคาสึซึ่งเป็นเจ้าของวะโทยะจะมาอธิบายวิธีการใช้สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ในที่พัก มีคู่มือเป็นภาษาอังกฤษด้วย เพราะฉะนั้นก็สบายใจได้ครับ เมื่อฟังคำอธิบายอย่างคร่าวๆ จบแล้ว คุณคาสึก็จะนำทางผู้เข้าพักไปที่ห้อง
เราได้เห็นบันไดไม้หน้าตาประหลาด ก่อนที่คุณคาสึจะบอกว่า "ห้องอยู่ทางนี้ครับ"
มีอะไรอยู่บ้างนะ……
พอปีนขึ้นไป สิ่งที่ได้เห็นก็คือบ้านต้นไม้! ที่นี่สร้างบ้านต้นไม้เอาไว้ที่ส่วนท้ายของหลังคาครับ
ด้านในสามารถพักได้ 3 คน ถึงจะไม่มีเครื่องปรับอากาศ แต่ก็มีไออุ่นจากพื้นที่ส่วนกลางซึ่งอยู่ที่ชั้นล่างลอยขึ้นมาจึงไม่รู้สึกว่าหนาว
นอกจากบ้านต้นไม้นี้แล้วก็ยังมีห้องรวมแบบ Dormitory ที่พักได้ 6 คน และห้องแยกที่พักได้ 3 คนอยู่ด้วย
ข้างนอกก็มีสถานที่สำหรับกิจกรรมสนุกๆ
เสน่ห์ของวะโทยะไม่ได้อยู่แค่ภายในตัวอาคารเท่านั้นนะครับ
พอออกไปนอกพื้นที่ส่วนกลางก็จะพบกับระเบียงไม้กว้างขวาง ในฤดูที่มีอากาศอบอุ่น ผู้เข้าพักสามารถมาดื่มกาแฟที่โต๊ะและเก้าอี้ตรงนี้ได้ ในวันที่มีอากาศแจ่มใสก็จะเห็นภูเขาไฟฟูจิอยู่ลิบๆ ด้วย
คุณคาสึบอกว่า "ลองลงไปข้างล่างดูสิครับ!" เราจึงลองลงไปดู แล้วก็พบว่า……
ระหว่างต้นไม้ใหญ่สองต้น มีชิงช้าขนาดยักษ์อยู่! เป็นชิงช้าที่คุณคาสึกับเพื่อนๆ ช่วยกันทำขึ้นมา เราให้คะแนนความน่าเร้าใจของชิงช้าอันทรงพลังนี้เต็มสิบเลยครับ
ลองใช้ชีวิตแบบญี่ปุ่นดั้งเดิม เริ่มจากการจุดไฟ!
"มาผ่าฟืนกันเถอะครับ!"
ได้ยินเสียงของคุณคาสึว่าอย่างนั้น
ผมเขียนไว้ในตอนต้นว่า ที่วะโทยะแห่งนี้ เราสามารถสัมผัสประสบการณ์การทำอาหารด้วยคามาโดะรวมไปถึงการแช่น้ำร้อน แต่ก็ไม่ใช่แค่การสัมผัสแบบผิวเผินนะครับ เพราะเราจะเริ่มจากการจุดไฟกันเลย!
ออกแรงผ่าฟืนกันเถอะ!
แขกที่เข้าพักในวันนั้นมาฟังบรรยายจากคุณคาสึ (ด้านซ้ายของภาพ) ด้วยกัน
จุดสำคัญคือต้องยืนแยกขาให้เท่ากับความกว้างของไหล่แล้วเหวี่ยงขวานจากบนลงล่างไปตรงๆ ในครั้งเดียวนั่นเอง
การจะผ่าฟืนให้ได้ในครั้งเดียวเป็นเรื่องยาก เราเหวี่ยงขวานกันอยู่หลายครั้ง ขวานก็หนักกว่าที่คิดเอาไว้ เหวี่ยงไป 2-3 ครั้งก็ทำเอาเหนื่อยแล้วละครับ
แต่ทุกคนก็จับจุดได้ในเวลาไม่นานจึงสามารถผ่าฟืนได้ในที่สุด สภาพอากาศในวันนี้ค่อนข้างหนาว แต่ร่างกายกลับอบอุ่นขึ้นมาเลยทีเดียว
ต้มน้ำใส่อ่างอาบน้ำขนาดใหญ่
พอเตรียมไม้เรียบร้อยแล้วก็มาเตรียมอ่างอาบน้ำกัน
นี่คืออ่างอาบน้ำแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่น เรียกว่า "โกเอมอนบุโระ" โกเอมอนบุโระเป็นรูปแบบหนึ่งของอ่างอาบน้ำที่ไม่ค่อยได้เห็นกันแล้วในปัจจุบัน เราจะใส่น้ำลงในถังขนาดใหญ่ ให้ความร้อนด้วยฟืน จากนั้นก็ค่อยลงไปแช่ครับ
ใส่ฟืนเข้าไปที่ด้านล่างของถัง เนื่องจากถังมีขนาดใหญ่จึงต้องใช้เวลาราว 2 ชั่วโมงในการทำให้น้ำอุ่นขึ้น และยังต้องคอยดูความแรงของไฟเป็นครั้งคราว ถ้าไฟอ่อนลงก็ต้องเติมไม้เข้าไปด้วย
ลองหุงข้าวด้วยคามาโดะกันเถอะ
ระหว่างที่รอก็มาหุงข้าวกัน!
ปัจจุบัน แทบทุกครัวเรือนในญี่ปุ่นจะหุงข้าวด้วย "หม้อหุงข้าวไฟฟ้า" กันทั้งนั้น แต่ที่วะโทยะแห่งนี้ เราจะหุงข้าวโดยใช้เตาคามาโดะครับ ถึงจะต้องใช้เวลามากสักหน่อย แต่ทั้งกลิ่นหอมและรสชาติของข้าวที่หุงเสร็จแล้วจะต่างจากข้าวที่หุงด้วยหม้อหุงข้าวไฟฟ้าอย่างสิ้นเชิง
ในการหุงข้าว เราก็ต้องเริ่มจากการผ่าฟืนและจุดไฟเช่นกัน ในช่วงแรกจะใช้ไฟแรง 20 นาที จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นไฟอ่อนอีก 20 นาที รวมกันแล้วใช้เวลาในการหุงข้าวราว 40-50 นาที
คุณคาสึบอกว่า "การจะพิจารณาว่าข้าวในหม้อกินได้แล้วหรือยังก็ต้องดูจากหลายๆ ปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นลักษณะของควันที่ลอยขึ้นมา หรือเสียงของข้าวในหม้อ"
เราคอยดูความแรงของไฟและเติมไม้ ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังพูดคุยอยู่กับข้าวในหม้อเลยครับ ในระหว่างนั้นก็ต้องไปดูความแรงของไฟที่โกเอมอนบุโระด้วย เรียกได้ว่ายุ่งจนมือเป็นระวิง
ระหว่างที่กำลังเตรียมอาหารเย็น คุณคาสึก็เล่าให้ฟังว่า
"ถ้าได้มาสัมผัสประสบการณ์แบบนี้ จะรู้ได้เลยว่าไฟเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยสำหรับการดำรงชีวิตของมนุษย์ใช่ไหมครับ ในเมื่อขาดไฟไม่ได้ก็ขาดไม้ไม่ได้เหมือนกัน พอได้ลองผ่าฟืนและจุดไฟด้วยตัวเองก็จะตระหนักถึงเรื่องที่ปกติไม่เคยได้ใส่ใจขึ้นมา"
ก่อนที่จะมาเริ่มกิจการวะโทยะ คุณคาสึเคยเป็นหัวหน้าทัวร์และครูสอนดำน้ำตามสถานที่ต่างๆ ทั่วมุมโลกมากว่า 20 ปี
แต่คุณคาสึก็พยายามค้นหามาตลอดว่า ไม่มีวิถีชีวิตแบบอื่นอยู่บ้างเลยหรือ และในตอนนั้นเอง ก็ได้เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่ภูมิภาคโทโฮคุของญี่ปุ่นในปี 2011
"ในตอนที่เกิดแผ่นดินไหวหรือภัยพิบัติครั้งใหญ่ ต่อให้มีเงินมากมายแค่ไหนก็ไม่มีความหมายอะไร แต่หากมีน้ำ มีไม้ มีข้าว คนเราก็ยังสามารถใช้ชีวิตอยู่ต่อไปได้ ผมจึงคิดจะปลูกข้าวเพื่อเสริมสร้างพลังในการดำรงชีวิต"
คุณคาสึคิดอย่างนั้น จึงย้ายออกจากโตเกียวที่อาศัยอยู่ในตอนนั้นมาที่หมู่บ้านโอตากิ ข้าวที่กำลังหุงอยู่ในคามาโดะในตอนนี้ก็เป็นข้าวที่คุณคาสึปลูกขึ้นในทุ่งนาของตัวเองครับ
"ผมอยากให้เด็กๆ และคนรุ่นพ่อแม่ได้สัมผัสประสบการณ์ที่จะเสริมสร้างพลังในการดำรงชีวิต อยากทำให้วะโทยะเป็นสถานที่แบบนั้นครับ"
ระหว่างที่คุณคาสึกำลังเล่า ก็มีควันสีขาวลอยออกมาจากหม้อข้าวพร้อมกับกลิ่นหอม
"ข้าวสุกได้ที่แล้ว ไปเรียกทุกคนกันเถอะครับ!"
อาหารเย็นที่ดีต่อร่างกาย
อาหารที่วะโทยะเป็นอาหารมังสวิรัติที่เน้นพืชผัก สำหรับท่านที่กินเจ หากแจ้งไปตอนที่จองห้องพักก็จะมีอาหารเจเตรียมไว้ให้เช่นกัน
ผู้ที่ทำอาหารเย็นให้เราคือคุณคานะ ผู้ที่อาศัยและทำงานอยู่ที่วะโทยะครับ
คุณคานะบอกว่า "พยายามใช้พืชผักท้องถิ่นให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ค่ะ" อาหารที่เธอปรุงขึ้นอย่างพิถีพิถันนั้นดึงเอารสชาติดั้งเดิมและความหวานของผักออกมาได้เป็นอย่างดีจนอยากจะค่อยๆ ละเลียดทีละคำเลยทีเดียว
ทุกคนมาล้อมวงกันกินข้าวที่โต๊ะ คุณคาสึก็มาด้วย พวกเราจึงได้พูดคุยแลกเปลี่ยนกับชาวอิสราเอลที่มาเข้าพักในวันนั้นเกี่ยวกับความแตกต่างด้านวัฒนธรรมอาหารของอิสราเอลและญี่ปุ่น
เมื่อกินกันจนอิ่มแล้ว ก็ดูเหมือนว่าโกเอมอนบุโระจะร้อนได้ที่พอดี
ช่วงเวลาสุดพิเศษในโกเอมอนบุโระ
มีไอน้ำลอยออกมาจากโกเอมอนบุโระแล้ว แม้ก้นจะดูตื้น แต่พอลงไปแช่ ไม้กระดานก็จะจมลงไปด้วยน้ำหนักของร่างกาย ทำให้น้ำร้อนเอ่อขึ้นมาจนถึงไหล่
ในตอนที่กำลังจะลงไปแช่ ก็มีคำถามข้อหนึ่งผุดขึ้นมา
"แล้วถังจะไม่ร้อนหรือ?"
ในความเป็นจริงแล้ว ถังไม่ร้อนเลยแม้แต่นิดเดียวครับ สาเหตุก็คือ ความร้อนจากไฟจะถ่ายเทไปที่น้ำก่อน พอน้ำเริ่มร้อนขึ้นจนถึงจุดเดือด ความร้อนจึงค่อยถ่ายเทไปที่ถัง
ระหว่างที่แช่น้ำร้อนอย่างสบายอารมณ์ก็ได้ดื่มเหล้าญี่ปุ่นไปด้วย เป็นความรู้สึกที่สุดยอดไปเลยครับ ที่ดื่มไปเป็นเหล้ายี่ห้อ "Gonin Musume (โกะนิน มุสุเมะ : ห้าดรุณี)" ผลิตที่จังหวัดชิบะ เหล้าญี่ปุ่นที่ทำจากข้าวออร์แกนิคนั้น พอดื่มเข้าไปก็จะรับรู้ได้ถึงรสชาติของข้าวและรสเปรี้ยวที่นุ่มละมุนครับ
บริเวณนั้นมีทั้งเสียงฟืนปริออกดังเปรี๊ยะ เสียงกบร้อง และเสียงน้ำไหล ... พอดับไฟตะเกียงก็เห็นดวงดาวพร่างพราว
ได้ยินเสียง ได้กลิ่นหลากหลาย ทั้งที่ไม่มีอะไรอยู่แต่กลับมองเห็นสิ่งต่างๆ มากมาย นี่เป็นสถานที่ที่ทำให้ประสาทสัมผัสของเรากลับมาทำงานได้ดีอีกครั้ง
เวลาไหลผ่านไปอย่างเชื่องช้า แล้วค่ำคืนก็ผ่านพ้นไปอย่างเงียบงัน
ฐานลับของคุณคาสึ
อาหารเช้าของวันถัดมาก็ยังคงเป็นอาหารมังสวิรัติ เป็นอาหารเช้าแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่นครับ ไม่ว่าจะเป็น ซุปเต้าเจี้ยว (มิโซะชิรุ) บ๊วยดอง (อุเมะโบชิ) หรือถั่วหมัก (นัตโต)
เมื่อกินจนอิ่มท้องแล้วก็ไปเช็คเอาท์ ในตอนนั้นเอง คุณคาสึก็ได้พูดขึ้นว่า
"จะพาไปดูสถานที่ลับเฉพาะครับ"
คุณคาสึขึ้นไปนั่งบนรถแล้วยืดอกด้วยความภาคภูมิใจ "สถานที่ที่จะพาไปแนะนำนี้ ไม่เคยมีหนังสือนำเที่ยวเล่มไหนพูดถึงเลยนะ เป็นสถานที่ที่ผมไปค้นพบเข้าครับ"
เมื่อรถเคลื่อนตัวออกไปได้สักพักก็ไปจอดลงตรงสถานที่หนึ่ง เราลงจากรถแล้วเดินลงจากเนิน
ที่นั่นมีแม่น้ำอยู่ครับ
"ก่อนจะย้ายมาอยู่ที่หมู่บ้านโอตากิ ผมพยายามค้นหาว่ามีที่นาดีๆ อยู่ตรงไหนบ้าง แล้วในตอนนั้นเอง พอจอดรถแล้วออกเดินมาเรื่อยๆ ก็ได้ยินเสียงน้ำ จึงค้นพบแม่น้ำแห่งนี้เข้า ในตอนที่เห็นก็รู้สึกขึ้นมาทันทีเลยว่า 'อยากอยู่ที่นี่' ครับ"
ที่นี่เป็นสถานที่ที่คุณคาสึตัดสินใจว่าจะมาอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านโอตากิ น้ำตกเล็กๆ กำลังไหลผ่าน ขณะที่ดอกบ๊วยค่อยๆ ร่วงหล่นลงมาอย่างนุ่มนวล
ทุ่งนาของคุณคาสึอยู่ข้างแม่น้ำสายนี้ ข้าวที่เราได้กินกันไปเมื่อคืนก็ถูกปลูกขึ้นที่นี่ครับ
หากว่าวะโทยะคือฐานลับสำหรับผู้มาเข้าพัก ที่นี่ก็คือฐานลับส่วนตัวของคุณคาสึนั่นเอง น่าเสียดายที่เป็นพื้นที่ส่วนบุคคล ถ้าอยากมาที่นี่ก็ต้องเข้าร่วมทัวร์ที่จะพาไปเล่นน้ำแล้วให้คุณคาสึพามาครับ
"สถานที่ที่ผมแนะนำให้กับทุกคนที่มาเข้าพักที่วะโทยะ จะเป็นสถานที่ที่ไม่ได้ลงในหนังสือนำเที่ยว ไม่ใช่แค่ที่นี่เท่านั้นนะครับ ยังมีสถานที่ที่ไม่มีใครรู้จักอีกหลายแห่งที่พอได้เห็นแล้วก็จะต้องตกตะลึงแน่"
"หมู่บ้านโอตากิยังคงมีทิวทัศน์ของหมู่บ้านญี่ปุ่นเก่าแก่ในหุบเขาหลงเหลือให้เห็น และยังคงมีผู้คนใช้ชีวิตอยู่ด้วยครับ"
ระหว่างการเดินทางกลับ คุณคาสึว่าอย่างนั้น
"ที่นี่ถือว่าอยู่ใกล้กับโตเกียวทีเดียว ถ้าพักค้างคืนที่โตเกียว มีเวลาแค่ 1 หรือ 2 วันก็มาได้แล้ว ไม่ว่าจะเชื้อชาติไหนหรือเพศอะไร ผมก็อยากให้มากันเยอะๆ ครับ"
คุณคาสึยิ้มพร้อมกับโบกมือให้ในตอนที่ลาจากกัน
"ไว้มาที่วะโทยะอีกนะครับ คราวหน้ามาตอนหน้าร้อนนะ!"
สนับสนุนข้อมูลโดย: วะโทยะ เกสท์เฮ้าส์สไตล์ญี่ปุ่น
MATCHA Editer.
นอกจากนี้ บทความอาจมีลิงก์โฆษณา โปรดพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจซื้อหรือจอง