Start planning your trip
![sponsor image](https://cf.bstatic.com/static/img/affiliate_base/flexi/booking_logo_blue/ebc3273565b5e682ccaf01872d2e046749306442.png)
จังหวัดโออิตะที่มีแหล่งออนเซ็นขึ้นชื่ออย่างเบ็ปปุและยุฟุอิน ส่วนเมืองอุซุกิ, ไซกิ, สึคุมิและบุงโกะโอโนะทางตอนใต้ของจังหวัดก็มีจุดชมวิวสวย จีโอพาร์ก บ้านเมืองที่มีกลิ่นอายประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ มาดูที่เที่ยวแนะนำและร้านเด็ดน่าไปลองกันค่ะ
จังหวัดโออิตะ (Oita) ได้รับการเรียกขานว่าเป็นจังหวัดแห่งออนเซ็น เพราะมีแหล่งออนเซ็นชื่อดังอย่างเบ็ปปุและยุฟุอิน
แต่ครั้งนี้เราจะพาไปสัมผัสเสน่ห์ทางตอนใต้ของโออิตะที่มีทิวทัศน์แสนงดงามที่ถักทอด้วยทะเลและภูเขา มรดกโลก และอาหารอร่อย ที่เมือง อุซุกิ, ไซกิ, สึคุมิและบุงโกะโอโนะค่ะ
เมืองอุซุกิ (Usuki) เคยเป็นเมืองท่าระหว่างประเทศที่พ่อค้าชาวโปรตุเกสและชาวจีนเดินทางไปมาในช่วงศตวรรษที่ 16 สภาพอาคารบ้านเรือนหลายแห่งทำให้เราสัมผัสได้ถึงร่องรอยของยุคสมัย ไม่ว่าจะเลี้ยวไปมุมไหนก็มีสิ่งใหม่ๆ รอให้พบเจอเสมอ
ขอแนะนำไฮไลท์ที่น่าสนใจในเมือง เช่น พระพุทธรูปหินอุซุกิ ซากปราสาทอุซุกิ
พระพุทธรูปหินอุซุกิ (Usuki Stone Buddhas) เป็นพระพุทธรูปที่แกะสลักบนผิวหินของภูเขาราวช่วงปลายยุคเฮอันไปจนถึงยุคคามาคุระ (ปี 1185-1333) ในสมัยนั้นมีการเผยแผ่ศาสนาพุทธนิกายโจโด ซึ่งเป้าหมายสูงสุดคือการได้ไปยังแดนสวรรค์โจโด (แดนสุขาวดี) จึงมีการสร้างสถานที่จำลองแดนสวรรค์ขึ้นมาในรูปแบบต่างๆ
บริเวณสวนหน้าพระพุทธรูปหินแต่เดิมก็เคยมีสระน้ำเล็กๆ ก่อนจะถูกถมหายไปในช่วงต้นยุคเอโดะ (ปี 1603-1868)
เมื่อ 900 ปีก่อน พื้นที่แห่งนี้อยู่ภายใต้การปกครองของขุนนางในเกียวโต เชื่อกันว่ากลุ่มพระพุทธรูปหินและสวนโดยรอบคือการจำลองแดนสุขาวดี เพื่อให้เหล่าศิษยานุศิษย์ได้มาเห็นและสัมผัสกับแนวคิดของนิกายโจโดได้ด้วยตนเอง
พระพุทธรูปหินอุซุกิทั้ง 61 องค์ ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกชาติด้านวัฒนธรรมที่สำคัญและบางส่วนก็เป็นทั้งสถานที่ทางประวัติศาสตร์ของชาติด้วย
บริเวณทุ่งฟุคาดะระหว่างวัดมังเก็ตสึจิกับพระพุทธรูปหินมีดอกไม้บานสะพรั่งไม่ว่าจะเป็นดอกบัวหรือดอกคอสมอสสับเปลี่ยนไปทุกฤดูกาล ราวกับแดนสุขาวดีของผู้คนในอดีตยังคงบานสะพรั่งสืบต่อมาจนถึงปัจจุบันไม่เสื่อมคลาย
ปราสาทอุซุกิ (Usuki Castle) สร้างขึ้นโดยโอโทโมะ โซริน (1530-1587) ไดเมียวคริสเตียนในยุคเซ็นโกคุ เดิมพื้นที่ของปราสาทเป็นเกาะที่ล้อมรอบไปด้วยทะเล แต่มีการถมให้เชื่อมกับแผ่นดินใหญ่ราวต้นยุคเอโดะ จากนั้นรอบปราสาทก็คึกคักไปด้วยผู้คนจนกลายเป็นเมือง
ปัจจุบันซากปราสาทอยู่ด้านในสวนอุซุกิ นอกจากป้อมสังเกตการณ์ของปราสาท คลอง ประตูและฐานหินที่ยังหลงเหลืออยู่แล้ว ยังมีศาลเจ้าอีกด้วย สามารถมาชมวิวเมืองจากบนนี้ได้ เมื่อเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ ก็มีต้นซากุระกว่า 800 ต้นบานสะพรั่งในสวน
ย่านที่ยังหลงเหลือภาพเงาในอดีตของเมืองรอบปราสาทมากที่สุดคือ ถนนประวัติศาสตร์นิโอซะ (Nioza Historical Road) ในช่วงครึ่งแรกของศตวรรษที่ 17 แถวนี้มีวัดอยู่หลายแห่ง ยังมีประตูวัดหลังโตให้ได้เห็นอยู่
อีกส่วนคือบ้านของเหล่าซามูไรในอดีต พอได้เห็นกำแพงสีขาว ฐานหิน ประตูที่แกะสลักลวดลายประณีต ทำให้รู้สึกเหมือนได้ย้อนเวลากลับไปในยุคสมัยเอโดะเลยค่ะ
ร้านคานิโชยุ (カニ醤油) ใกล้ถนนประวัติศาสตร์นิโอซะ เป็นร้านผลิตมิโซะและโชยุเก่าแก่ ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1600 ร้านนี้ขายซอฟต์ครีมมิโซะ ของขึ้นชื่อในอุซุกิ รสชาติหวานเค็มของซอสมิโซะช่วยดึงความหวานของซอฟท์ครีมรสนมให้โดดเด่นขึ้น
ไฮไลท์และประวัติศาสตร์น่าสนใจในอุซุกิ สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ข้อมูลท่องเที่ยว Usuki City Tourist Exchange Plaza นอกจากจะมีแผ่นพับหลายภาษาแล้ว ยังมีการฉายภาพวิดีโอของเมืองอุซุกิในอดีตกับปัจจุบันด้วยค่ะ
หากใส่ชุดกิโมโนเดินเล่นในเมืองรอบปราสาท จะยิ่งช่วยเพิ่มอรรถรสในการย้อนเวลาให้เหมือนจริงขึ้นไปอีก ร้านเช่ากิโมโนในอุซุกิ เราขอแนะนำ ร้านเช่าชุดอะโคยะ (赤穂屋) ที่อยู่ใกล้กับทางเข้าย่านช้อปปิ้งบนถนนใหญ่
กิโมโนเช่าสามารถเลือกสีและลวดลายที่ชอบได้ ในการสวมจะมีผู้เชี่ยวชาญมาคอยช่วยเหลือ ฉะนั้นสบายใจได้ค่ะ สอนถึงขั้นวิธีการเดินและการนั่งให้งดงามตอนใส่กิโมโนด้วยเลยค่ะ
ในร้านอะโคยะมีห้องชงชาด้วย ซึ่เราจะได้เพลิดเพลินกับกิจกรรมหลายอย่าง เช่น ชงชาเขียว (300 เยน) และเข้าร่วมพิธีชงชาในชุดกิโมโน (1,000 เยน) รายละเอียดการเช่าชุดกิโมโนสามารถดูและจองล่วงหน้าได้ที่แบบฟอร์มติดต่อสอบถามบนหน้าเว็บไซต์ของร้าน
ในอุซุกิมีอาหารหมักดองขึ้นชื่ออย่างโชยุ มิโซะและสาเก อีกทั้งอาหารที่ทำจากปลาปักเป้ายังเป็นที่นิยมอีกด้วย นอกจากนั้นยังเพลิดเพลินกับของฝากหลายชนิดได้ เช่น ของคบเคี้ยวและเครื่องดื่มที่ทำจากเซ็มเบ้และส้มคาโบซุ
ถ้าอยากลิ้มลองอาหารญี่ปุ่น ขอแนะนำร้านคิราคุอัน (Kirakuan) ค่ะ นี่เป็นร้านอาหารที่สร้างขึ้นตั้งแต่ยุคไทโช เราจะได้เพลิดเพลินกับมื้ออาหารเลิศหรูที่รายล้อมไปด้วยสวนญี่ปุ่นอันแสนงดงาม
ในคิราคุอันเสิร์ฟอาหารญี่ปุ่นและไคเซคิที่พิถีพิถันกับวัตถุดิบในท้องถิ่น
คอร์สปลาปักเป้า (ふぐコース) มีเนื้อปลาปักเป้าดิบคุณภาพเลิศ เนื้อใสๆ ของปลาปักเป้าที่ถูกแล่บางๆ มีความยืดหยุ่น รสชาติละเมียดละไมไร้กลิ่นคือคุณสมบัติพิเศษ จิ้มกับซอสผสมน้ำส้มคาโบซุก็ยิ่งเพิ่มความอร่อยค่ะ
ในคอร์สปลาปักเป้า มีนาเบะหม้อไฟปลาปักเป้า ข้าวต้มทรงเครื่อง และของหวาน แต่ละจานสื่อให้เห็นถึงวัฒนธรรมการกินอันอุดมสมบูรณ์ของอุซุกิอย่างชัดเจน
บริเวณใกล้ทางเข้าสวนสาธารณะพระพุทธรูปหินอุซุกิ มีร้านเซ็มเบ้ที่ชื่อว่า โกะโตเซกะ (Goto Seika)
ของขึ้นชื่อในร้านเก่าแก่ที่มีประวัติยาวนานกว่า 100 ปีนี้ก็คือ อุซุกิเซ็มเบ้ ขนมเคลือบน้ำตาลรสขิงที่มีกลิ่นหอมหวล ขิงก็เป็นหนึ่งในผลผลิตของอุซุกิ กลิ่นหอมเข้มกับรสชาติชื่นใจคือคุณสมบัติพิเศษ เป็นขนมที่เก็บไว้ได้นาน จึงเหมาะสำหรับซื้อเป็นของฝากค่ะ
ในร้านโกะโตเซกะ มีให้ลองเคลือบขนมเซ็มเบ้เองด้วย (ต้องจองก่อนล่วงหน้า) หากลองได้เคลือบน้ำผึ้งรสขิงบนเซ็มเบ้ด้วยตัวเองแล้ว ก็จะทำให้เข้าใจความพิถีพิถันของพ่อครัวมากยิ่งขึ้น
หนึ่งในแบรนด์สาเกอันดับต้นของอุซุกิคือ โรงผลิตเหล้าฟุจิอิ (Fujii Sake Brewery)
ถ้าเป็นเหล้าญี่ปุ่นขอแนะนำ ริวไบ ไดกินโจ (Ryubai Daiginjo : 龍梅 大吟醸) รสชาติละเอียดอ่อนเข้ากับอาหารญี่ปุ่นได้ดี สำหรับโชจูขนานแท้ ขอแนะนำโออิตะ มุกิโชจู ฟุชิกิยะ (大分麦焼酎ふしぎ屋) ที่ได้รับการประเมินยอดเยี่ยม 3 ปีซ้อนจากองค์กรทดสอบรสชาติระหว่างประเทศ หรือจะลองเป็น โทคิโนะทาบิบิโตะ (時の旅人) โชจูข้าวบาร์เล่ย์รสชาติอ่อนโยนจากการหมักเป็นระยะเวลานาน
สินค้าทั้งหมดของโรงเหล้าฟุจิอิสามารถซื้อได้ที่ร้านจำหน่ายเหล้า มันริคิยะ (萬力屋) ลองไปกันดูให้ได้นะคะ
ในโรงเหล้าฟุจิอิสามารถทัศนศึกษาได้ เราจะได้สัมผัสเทคโนโลยีการผลิตเหล้าล่าสุดและดูอุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้ในการผลิตเหล้าด้วย มีห้องจัดแสดงอุปกรณ์ผลิตเหล้าในอดีตที่ตระกูลฟุจิอิสืบทอดต่อๆ กันมาด้วย
ถ้ำเก็บเหล้า (洞窟貯蔵)ก็ไม่ควรพลาดเช่นกันค่ะ อุณหภูมิที่เย็นและเปลี่ยนแปลงน้อยกลายเป็นโกดังเก็บของตามธรรมชาติชั้นดี มีโชจูกว่า 200 ชนิดเก็บไว้ที่นี่ มีเหล้าที่บ่มมานานกว่า 20 ปีอยู่ด้วย ในส่วนนี้หากมีความประสงค์ก็สามารถทัศนศึกษาได้เช่นกันค่ะ
เมืองไซกิ (Saiki) อยู่ทางใต้จากเมืองอุซุกิ ที่นี่เป็นแหล่งประมงอันอุดมสมบูรณ์เนื่องจากเป็นจุดบรรจบกันระหว่างทะเลในเซโตกับกระแสน้ำมหาสมุทรแปซิฟิก มีอาหารทะเลให้เลือกทานมากมาย อีกทั้งทิวทัศน์งดงามที่สร้างขึ้นโดยชายฝั่งริอะซุก็น่าชมเช่นกัน
Photo by Pixta
ประภาคารสึรุมิซากิ (Tsurumisaki Lighthouse) อยู่สุดขอบทิศตะวันออกของแผ่นดินคิวชู ตั้งอยู่บนหน้าผาสูงประมาณ 200 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล บริเวณใกล้เคียงยังหลงเหลือซากปรักหักพังในช่วงสงครามให้เห็น เช่น หอสังเกตการณ์ของกองทัพเรือ มีจุดชมวิวรูปโดมใต้ประภาคารอีกด้วย
ที่นี่เป็นจุดชมวิวงดงามที่คนในท้องถิ่นแนะนำ ในวันที่อากาศแจ่มใส ยังสามารถมองเห็นได้ถึงภูมิภาคชิโกคุที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
จุดชมท้องฟ้า (Sky Observatory) ตั้งอยู่ในสวนแห่งท้องฟ้า โซระโนะโคเอ็น (Sora no Koen Park) สูงเหนือระดับน้ำทะเล 160 เมตร สามารถมองเห็นช่องแคบบุงโกะซุยโดได้ ในวันที่อากาศแจ่มใสจะมองเห็นได้ถึงภูมิภาคชิโกคุเลย
Picture courtesy of Saiki Tourism Association
สวนนี้ล้อมรอบไปด้วยทะเลและภูเขา เราจึงสัมผัสได้ถึงพลังอันยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ หากไปเยือนในเดือนเมษายน ชิบะซากุระที่ปลูกไว้ทั้งสองข้างทางเดินจะเข้าสู่ช่วงไฮไลท์ และกลายเป็นภูมิทัศน์ที่สวยงามราวกับพรมสีชมพู
ในบุงโกะฟุตามิกาอุระ (Bungo-Futamigaura) มีหินผา 2 ก้อนที่ได้รับการขนานนาว่า "เมโอโตะอิวะ หรือหินคู่รัก" ที่เชื่อมต่อกันด้วยเชือกเส้นใหญ่ เชือกนี้ทำจากฟางข้าวมีความยาวประมาณ 65 เมตร น้ำหนักประมาณ 2 ตัน ในเดือนธันวาคมของทุกๆ ปีจะมีการเปลี่ยนเชือกใหม่โดยอาสาสมัครในท้องถิ่น
บุงโกะฟุตามิกาอุระเป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นครั้งแรกที่มีชื่อเสียง ในวันที่ 24 ธันวาคม - 4 มกราคมจะมีการจัดไฟไลท์อัพ และในช่วงต้นเดือนมีนาคมกับต้นเดือนตุลาคม ดวงอาทิตย์จะขึ้นระหว่างหินคู่รักค่ะ
ขอแนะนำของอร่อยในไซกิค่ะ
ในไซกิที่มีอาหารทะเลรสเลิศและร้านซูชิอยู่มากมาย ร้านที่โดดเด่นเป็นพิเศษคือ คาเมะฮาจิซูชิ (Kamehachi Sushi) เมนูจากปลาตามฤดูกาลแสนอร่อย มาพร้อมหน้าที่หลากหลายและขนาดโตแบบไม่มีใครเทียม! ในเมนูมีแปลหลายภาษา นักท่องเที่ยวที่มาจากต่างประเทศก็สบายใจได้ค่ะ
คาเมะฮาจิซูชิ กลายเป็นกระแสจากการเสิร์ฟของหวานพาร์เฟต์ขนานแท้โดยนักทำขนม จนทำเอาลืมไปเลยว่ากำลังอยู่ในร้านซูชิ เป็นร้านดังที่หากไปไซกิแล้วต้องไปเยือนให้ได้ค่ะ
อีกหนึ่งของอร่อยในไซกิ เหล้าหวานจากร้านโคจิโนะโมริ (Kojinomori) ก็ห้ามพลาดเช่นกันค่ะ
โคจิโนะโมริเป็นโรงงานเหล้าหวานที่บริหารโดยบุงโกะเมโจ ผู้ผลิตเหล้าญี่ปุ่นและโชจู ในทัวร์ชมโรงงาน (มีรองรับภาษาอังกฤษ ต้องจองล่วงหน้า) สามารถดูกระบวนการจนกว่าจะได้เหล้าหวานได้ค่ะ
มีการเล่นตามหาคาแรคเตอร์ที่ชื่อว่า "โคจิจัง" ด้วย นอกจากเด็กๆ จะได้สนุกแล้ว ยังลองชิมเหล้าหวานได้หลายชนิดอีกด้วย
เหล้าหวานที่มีความหวานเป็นธรรมชาติ และไม่ใช้แอลกอฮอล์ใดๆ ทั้งสิ้น เป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่ทุกคนให้ความสนใจ ในร้านขายของโคจิโนะโมริมีเหล้าหวานหลายชนิดวางจำหน่ายอยู่ ลองไปดูกันได้ค่ะ
เมืองสึคุมิ (Tsukumi) แหล่งผลิตส้มแสนอร่อย ช่วงหลังมานี้เกาะปลาโลมาสึคุมิกำลังได้รับความสนใจอย่างมาก
ความพิเศษของ อุมิทามะไทเค็นพาร์ก เกาะปลาโลมาสึคุมิ (Tsukumi Dolphin Island) คือการได้เข้าไปใกล้ชิดกับเหล่าโลมาที่อาศัยอยู่ในทะเลธรรมชาติ นอกจากโชว์ปลาโลมาที่มี 3 รอบต่อวันแล้ว เรายังว่ายน้ำกับปลาโลมาได้ด้วย
Picture courtesy of Umitama Experience Park Tsukumi Irukajima
นอกจากปลาโลมาแล้ว ยังมีแมวน้ำ เพนกวิน นาก และปลาอีกหลายชนิด เราจะได้เพลิดเพลินกับการให้อาหารและตกปลาค่ะ
ในร้านขายของที่เกาะปลาโลมาสึคุมิ นอกจากสินค้าที่เกี่ยวข้องกับปลาโลมาแล้ว ยังมีผลผลิตเฉพาะในสึคุมิจำหน่ายด้วย ไม่ว่าจะเป็นแยมหรือขนมที่ทำจากส้ม ของดอง กับข้าวต่างๆ เหมาะแก่การหาซ์้อของฝากอย่างยิ่งค่ะ
เมืองสึคุมิยังมีชื่อเสียงในการผลิตหินปูนสำหรับทำปูนซีเมนต์ด้วย เลยมีไอศครีมสีปูนซีเมนต์ สีเหมือนปูนแต่ที่จริงทำมาจากเมล็ดทานตะวัน ความอร่อยและความเนียนของเนื้อสัมผัสเป็นอะไรที่น่าทึ่งมากค่ะ!
หากพูดถึงของอร่อยในสึคุมิ เมืองใกล้ทะเล ก็คงหนีไม่พ้นซีฟู้ดค่ะ
ฮามะชายะ (Hamachaya Seafood Restaurant) ใช้เวลาเดินทางจาก JR สถานีสึคุมิโดยรถยนต์ 10 นาที ที่นี่เป็นร้านอาหารทะเลยอดนิยมที่มักจะมีคนมาต่อแถวช่วงเที่ยงเสมอ
ของขึ้นชื่อก็คือสเต็กมากุโระ เคล็ดลับกลิ่นหอมและความอร่อยของมากุโระที่ย่างด้วยแผ่นเหล็กอยู่ที่เกลือที่ใช้ในการปรุง ไม่ว่าจะเป็นซูชิ ซาชิมิ หรือข้าวหน้าอาหารทะเลไคเซ็นด้ง ทุกอย่างล้วนเป็นเมนูรสเลิศทั้งสิ้น!
เมืองบุงโกะโอโนะ (Bungo-Ono) เกิดจากการระเบิดครั้งใหญ่ของภูเขาไฟอาโซะเมื่อประมาณ 90,000 ปีก่อน ปัจจุบันทั้งเมืองได้กลายเป็นจีโอพาร์คไปแล้ว
น้ำตกที่เกิดจากชูโจเซ็ตสึริ (*) ภูมิประเทศอันมีเอกลักษณ์ที่ถักทอด้วยแม่น้ำ สะพานหินที่สร้างขึ้นท่ามกลางสภาพแวดล้อมเช่นนี้ ล้วนคุ้มค่าแก่การชม
*1 : ชูโจเซ็ตสึริ ... รอยแตกรูปเสาของพื้นหินที่เย็นตัวของลาวา ดูเหมือนเอาเสาหลายเหลี่ยมมาตั้งเรียงกัน
น้ำตกฮาราจิริ (Harajiri Falls) ปรากฎขึ้นกลางแม่น้ำโองาตะ น้ำตกแห่งนี้เกิดขึ้นจากหินทัฟฟ์หลอม มีความกว้าง 120 เมตรและความสูง 20 เมตร เราสามารถชมวิวจากด้านข้าง ด้านบนหรือบนสะพานชมน้ำตกที่พาดเหนือแม่น้ำได้
เลียบแม่น้ำมีศาลเจ้า 3 แห่งที่เรียกว่าโอกาตะซันจะ (ศาลเจ้าอิจิโนะมิยะ ศาลเจ้านิโนะมิยะ ศาลเจ้าซันโนะมิยะ) ที่คอยดูแลปกป้องทางน้ำ ในงานเทศกาลเดือนพฤศจิกายนของทุกปีจะมีการแบกมิโคชิผ่านแม่น้ำตั้งแต่ศาลเจ้าซันโนะมิยะไปจนถึงต้นน้ำที่ศาลเจ้านิโนะมิยะ
ในบุงโกะโอโนะมีสะพานหินมากกว่า 100 แห่ง แต่ในสะพานโทโดโระ (Todoro Bridge) และสะพานเดะไอ (Deai Bridge) เราจะได้เห็นภูมิทัศน์ที่แปลกตาของสะพานหินที่เรียงกัน 2 สะพาน
สะพานโทโดโระเป็นสะพานที่ใช้สำหรับทางรถไฟ ถูกสร้างขึ้นในปี 1934 เส้นผ่านศูนย์กลางของประตูโค้งที่ติดกันทั้ง 2 มีความยาว 32.1 เมตรกับ 26.2 เมตร เป็นประตูโค้งที่ยาวที่สุดในญี่ปุ่น ไม่ไกลจากจุดนั้น เราก็จะเจอสะพานเดะไอที่อยู่เหนือต้นน้ำ เป็นสะพานที่สร้างสำหรับให้คนเดิน สร้างขึ้นในปี 1924
วัสดุที่ใช้สร้างสะพานทั้ง 2 แห่งคือหินทัฟฟ์หลอมที่อยู่บริเวณสองข้างทางของแม่น้ำ อาจเป็นเพราะเหตุนี้ทำให้ทั้งสองสะพานดูกลมกลืนไปกับสภาพแวดล้อมทั้งที่ถูกสร้างขึ้นด้วยมือมนุษย์
พระพุทธรูปแกะสลักบนหินผาที่อยู่ในวัดฟุโคจิ (Fuko-ji Temple) เป็นพระพุทธรูปหินที่แกะสลักบนหินทัฟฟ์หลอม มีความสูงถึง 8 เมตร เชื่อกันว่าพระพุทธรูปฟุโดเมียวโอตรงกลางสร้างขึ้นในสมัยคามาคุระ
เราสามารถเดินไปตามทางเท้าจนถึงเชิงหินผาที่มีพระพุทธรูป ในช่วงเริ่มฤดูร้อน จะมีดอกไฮเดรนเยียบานสวยงามเต็มสองข้างทางเดิน
บุงโกะโอโนะรุ่งเรืองในการเพาะปลูกผัก จนถึงขนาดได้ฉายาว่าสวนผักแห่งโออิตะ
ในส่วนของร้านที่เสิร์ฟอาหารที่ทำจากผักในท้องถิ่น เราขอแนะนำ The Vage Cafe Ms. ที่นี่เป็นคาเฟ่ที่บริหารโดยผู้เชี่ยวชาญเรื่องผัก อาหารที่พิถีพิถันด้านโภชนาการและรสชาติดั้งเดิมของวัตถุดิบเป็นที่ชื่นชอบของผู้คน
ข้าวแกงกะหรี่และแฮมเบิร์กที่เสิร์ฟมาในกล่องเบ็นโตมาพร้อมมีผักหลากชนิด รสชาติอ่อนและอร่อย
โรงกลั่นเหล้ามุเรซุรุ (Murezuru Brewery) ก่อตั้งขึ้นในปี 1905 โชจูข้าวบาร์เลย์และโชจูข้าวที่ผลิตอยู่มีความพิเศษคือมีกลิ่นหอม รสชาติอ่อนละมุน ดื่มง่าย
สำหรับผู้ที่สนใจเกี่ยวกับกระบวนการผลิตโชจู ที่นี่มีการจัดทัวร์ชมการผลิตเหล้าด้วย เราจะได้ดูอุปกรณ์ที่ใช้ตอนผลิตเหล้า และศึกษาวิธีการดื่มโชจูให้อร่อยได้ (*ต้องจองล่วงหน้า)
สำหรับผู้ที่อยากผ่อนคลายริมชายทะเล เราขอแนะนำ ไคเซ็นโนะยาโดะ มัทสึอุระ (Matsuura) ในเมืองไซกิ ห้องพักเป็นห้องสไตล์ญี่ปุ่นขนาดกว้างขวาง ทุกห้องมองเห็นทะเลได้หมด การเดินทางไปยังจุดชมวิวอย่างสวนแห่งท้องฟ้าและประภาคารสึรุมิซากิก็สะดวกมาก
อาหารทะเลที่ให้บริการในร้านอาหารของโรงแรมก็ไม่ควรพลาด! หัวหน้าเชฟสร้างสรรค์เมนูที่อร่อยสุดยอดจากอาหารทะเลที่ซื้อจากตลาดปลาใกล้ๆ ทุกเช้า เราจะได้เพลิดเพลินกับเสน่ห์ของฤดูกาลต่างๆ เช่น กุ้งมังกรญี่ปุ่นในฤดูใบไม้ร่วง และปลาปักเป้าในฤดูหนาว
รีสอร์ทซาโตะโนะทาบิ ล็อดจ์คิโยคาวะ (Lodge Kiyokawa) เดินทางด้วยรถยนต์เพียง 3 นาทีจากสถานีบุงโกะคิโยคาวะ เป็นที่พักที่เหมาะสำหรับผู้ที่อยากรีเฟรชท่ามกลางธรรมชาติ
ห้องพักสามารถเลือกได้จากบ้านต้นไม้ 8 หลังที่เหมือนกับฐานลับ และบ้านไม้ 3 หลัง เราสามารถพักผ่อนสบายๆ พลางฟังเสียงแม่น้ำได้ เนื่องจากบ้านพักตั้งอยู่ใกล้กับริมธารใสของแม่น้ำโอคุดาเคะ
เสน่ห์ของล็อดจ์คิโยคาวะก็คือกิจกรรมที่ประยุกต์จากป่าและแม่น้ำ อาทิ ล่องแพ กองไฟ ดูหนังกลางแปลง ซาวน่าในเต๊นท์แล้วปิดท้ายด้วยว่ายน้ำในธารใสสีเขียวมรกตของแม่น้ำโอคุดาเคะ
ที่นี่มีพนักงานที่สื่อสารภาษาอังกฤษได้ค่ะ
เห็นอย่างนี้คงพูดว่าโออิตะมีดีแค่ออนเซ็นไม่ได้แล้วหละ ทั้งที่เที่ยวทางประวัติศาสตร์เก่าแก่ 500 และ 1,000 ปี วัฒนธรรมที่หล่อหลอมขึ้นมาโดยธรรมชาติ และทิวทัศน์งามจนต้องตะลึง มาพบประสบการณ์ใหม่ๆ กันได้ที่ตอนใต้ของจังหวัดโออิตะค่ะ
In cooperation with Chuwa International Corporation
เป็นบรรณาธิการที่ MATCHA ตั้งแต่ปี 2016 ความหลงใหลของฉันในละครโนะและศิลปะการแสดงของประเทศญี่ปุ่นคือสิ่งที่นำฉันมาที่นี่ เรื่องทุกอย่างที่ฉันเรียนรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมของประเทศญี่ปุ่นทุกวันคือสิ่งที่ทำให้ฉันอยู่ที่นี่
ฉันเรียนรู้การจัดดอกไม้อิเคบานะ (Ikenobo School) และพิธีสามัคคี (Omote Senke) ตั้งแต่ปี 2012 งานเขียนเรื่องสั้นและบทวิจารณ์ละครที่ฉันเขียนนอกเวลาทำงานสามารถอ่านได้ในเว็บไซต์วรรณกรรมรวม "บังกุ คิงโย"