10 กิจกรรมสัมผัสเสน่ห์แบบญี่ปุ่นใน ฟุกุชิมะ (Fukushima)
ออนเซ็น ปราสาทสุดงาม อาคารบ้านเมืองเก่าแก่ ธรรมชาติตามฤดูกาล และอาหารสดใหม่แสนอร่อย กิจกรรมห้ามพลาดในญี่ปุ่นเหล่านี้มารวมอยู่ในฟุกุชิมะเรียบร้อยแล้ว! ในครั้งนี้เราขอแนะนำ 10 กิจกรรมห้ามพลาดในฟุกุชิมะ (Fukushima) กันค่ะ
ฟุกุชิมะ แหล่งรวมเสน่ห์ของญี่ปุ่น
ฟุกุชิมะเป็นจังหวัดที่อัดแน่นไปด้วยเสน่ห์สไตล์ญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็นเมืองที่เรียงรายไปด้วยอาคารบ้านเรือนเก่าแก่ ปราสาทสูงตระหง่าน จุดถ่ายรูปวิวธรรมชาติอันงดงาม ออนเซ็นโบราณ และอาหารที่ไม่สามารถหาทานได้จากที่ไหนในโลก
เรียกได้ว่าแค่มาเที่ยวฟุกุชิมะก็จะได้ทำแทบทุกกิจกรรมห้ามพลาดในญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้ ในครั้งนี้เราจะมาแนะนำ 10 กิจกรรมห้ามพลาดเมื่อได้มาเที่ยวฟุกุชิมะกันค่ะ!
สารบัญ :
- 1. เดินเล่นเหนือทะเลสาบสีเขียวมรกต (อุระบันได : Urabandai)
- 2. เดินชมปราสาทหิมะและอาคารบ้านเมืองสไตล์ย้อนยุค (ไอสึวากามัตสึ : Aizuwakamatsu)
- 3. ตื่นตาตื่นใจไปกับเทศกาลโซมะโนมาโออิ (Soma Nomaoi) อันยิ่งใหญ่! (เมืองมินามิโซมะ : Minamisoma)
- 4. ลิ้มลองเนกิโซบะภายในเมืองโบราณ (โออุจิจูกุ : Ouchi-juku)
- 5. ลอดถ้ำอาบุคุมะโด (Abukuma-do) ชมศิลปะที่สร้างสรรค์โดยธรรมชาติ! (เมืองทามูระ : Tamura)
- 6. อร่อยไปกับ "คาวามาตะชาโมะ" แบรนด์ไก่ท้องถิ่นรสชาติเข้มข้น (เมืองคาวามาตะ : Kawamata)
- 7. ค้างคืนที่มรดกทางวัฒนธรรมภายในหมู่บ้านออนเซ็นสไตล์ย้อนยุค! (ฮิกาชิยามะออนเซ็น : Higashiyama Onsen)
- 8. ทานราเม็งขึ้นชื่อประจำเมืองแห่งโกดัง (เมืองคิตะคาตะ : Kitakata)
- 9. นั่งรถไฟท่ามกลางธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ (รถไฟสายทาดามิ : Tadami Line)
- 10. ลิ้มรสลูกพีชหวานฉ่ำ (เมืองฟุกุชิมะ : Fukushima และอื่นๆ)
- แผนเที่ยวฟุกุชิมะแบบ 2 วัน 1 คืน
1. เดินเล่นเหนือทะเลสาบสีเขียวมรกต (อุระบันได : Urabandai)
Picture courtesy of สมาคมส่งเสริมการท่องเที่ยวและผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นประจำจังหวัดฟุกุชิมะ
สีเขียวมรกต สีน้ำเงินโคบอลต์ สีฟ้าพาสเทล สีสันหลากหลายอันสวยงามเป็นที่มาของชื่อโกะชิกินูมะ (Goshiki-numa) ที่แปลว่า "บึง 5 สี"
โกะชิกินูมะเป็นชื่อเรียกโดยรวมของบึงน้ำ 20 - 30 แห่งในบริเวณนี้ ถ้าไปที่บิชามอนนูมะ (Bishamon-numa) บึงที่ใหญ่ที่สุดจะสามารถเช่าเรือล่องชมวิวอันน่าพิศวงของทะเลสาบได้
Picture courtesy of สมาคมส่งเสริมการท่องเที่ยวและผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นประจำจังหวัดฟุกุชิมะ
เส้นทางเดินเที่ยวบึงน้ำที่นิยมที่สุดใช้เวลาเดินประมาณ 1 ชั่วโมง 10 นาที - 1 ชั่วโมง 30 นาที ทางเดินส่วนใหญ่ก็เป็นทางเรียบ สามารถเดินเล่นท่ามกลางแมกไม้ได้อย่างสบายอารมณ์
มาเพลิดเพลินไปกับบรรยากาศของบึงน้ำที่เปลี่ยนแปลงไปด้วยสารประกอบจากภูเขาไฟ สภาพอากาศ ฤดูกาล และธรรมชาติแวดล้อมกัน
โกะชิกินูมะ (Goshiki-numa)
ทางเข้าโกะชิกินูมะ : Google Maps
การเดินทาง : นั่งรถบัสบันไดโทโตะจากสถานีเจอาร์ อินาวะชิโระ (JR Inawashiro) มาลงป้าย "โกะชิกินูมะอิริกุจิ (Goshikinumairiguchi)" โดยใช้เวลาประมาณ 40 นาที (770 เยน) แล้วถึงทันที
เว็บไซต์ : https://www.urabandai-inf.com/?page_id=25669
2. เดินชมปราสาทหิมะและอาคารบ้านเมืองสไตล์ย้อนยุค (ไอสึวากามัตสึ : Aizuwakamatsu)
Photo by Eri Tashiro
ปราสาทสึรุกะ (Tsuruga Castle) ปราสาทที่มีหลังคาสีน้ำตาลแดงเพียงแห่งเดียวในญี่ปุ่น
ที่แห่งนี้คือสมรภูมิรบของสงครามโบชินในปี 1868 ช่วงปลายสมัยเอโดะ ระหว่างผู้คนที่พยายามจะล้มล้างเอโดะบาคุฟุ (*1) และผู้คนที่พยายามจะปกป้อง
*1 : เอโดะบาคุฟุ ... รัฐบาลในสมัยเอโดะภายใต้การปกครองของตระกูลโทคุกาวะ ครอบคลุมระยะเวลาตั้งแต่ "โทคุกาวะ อิเอยาสึ" โชกุนรุ่นแรกก่อตั้งขึ้นจนกระทั่ง "โทคุกาวะ โยชิโนบุ" โชกุนรุ่นที่ 15 มอบอำนาจคืนสู่จักรพรรดิเมจิ
Picture courtesy of สำนักงานท่องเที่ยวไอสึวากามัตสึ
ไฮไลท์ห้ามพลาดคือปราสาทสึรุกะที่ปกคลุมไปด้วยหิมะขาวโพลน เป็นทัศนียภาพของปราสาทหิมะที่หาชมได้ยากในญี่ปุ่น โดยเฉลี่ยจะสามารถดูได้ในช่วงประมาณกลางเดือนมกราคม - เดือนมีนาคม
เหตุผลที่กระเบื้องหลังคาเป็นสีน้ำตาลแดงก็เพราะสภาพอากาศอันหนาวเย็น
ว่ากันว่ากระเบื้องหลังคาสีดำแบบปราสาทอื่นจะดูดซับน้ำจากหิมะจนแตกได้ง่าย ถ้าเป็นกระเบื้องหลังคาสีแดงที่มีส่วนผสมของเหล็กด้วยจะแข็งแรง แตกหักยาก
Photo by Eri Tashiro
ปราสาทสึรุกะตั้งอยู่ในเมืองไอสึวากามัตสึที่ขึ้นชื่อเรื่องอาคารบ้านเรือนสไตล์ย้อนยุค โดยเฉพาะแถวถนนนาโนกะมาจิโดริ (Nanokamachi Dori) และถนนโนกุจิ ฮิเดโยะ เซชุนโดริ (Noguchi Hideyo Seishun Dori *2)
แวะมาเดินเล่นแล้วก็ไปนั่งพักในคาเฟ่ที่รีโนเวทมาจากบ้านโบราณ หรือไปเที่ยวชมโรงหมักเหล้าก็ได้
*2 : โนกุจิ ฮิเดโยะ ... แพทย์และนักแบคทีเรียวิทยาผู้เคยถูกไฟลวกอย่างรุนแรงจนเป็นแผลพุพองรักษาไม่หายในวัยเด็ก แต่เขาก็ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนวิธีแพทย์จนมีบทบาทในระดับโลก ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลโนเบล ปัจจุบันมีภาพของเขาอยู่บนธนบัตร 1,000 เยน ในช่วงวัยรุ่นเขาอาศัยอยู่ในไอสึวากามัตสึ
ปราสาทสึรุกะ (Tsuruga Castle)
ปราสาทสึรุกะ : Google Maps
การเดินทาง : นั่งรถบัสมาจินากะชูยู (Machinaka Shuyu Bus) จากสถานีเจอาร์ ไอสึวากามัตสึ (JR Aizu-Wakamatsu) มาลงป้าย "สึรุกะโจอิริกุจิ (Tsurugajoiriguchi)" ใช้เวลา 20 นาที (210 เยน) ถึงทันที
เว็บไซต์ : http://www.tsurugajo.com/language/eng/
3. ตื่นตาตื่นใจไปกับเทศกาลโซมะโนมาโออิ (Soma Nomaoi) อันยิ่งใหญ่! (เมืองมินามิโซมะ : Minamisoma)
Picture courtesy of เมืองมินามิโซมะ
ภาพของบรรดาผู้ชายสวมกัตจู (*3) ควบม้าด้วยความเร็วสูงอันนี้มาจากงานเทศกาลโซมะ โนมาโออิ (Soma Nomaoi)
ว่ากันว่างานเทศกาลนี้มีประวัติความเป็นมาอันยาวนานมากกว่า 1,000 ปีแล้ว
เริ่มมาจากการที่นายพลในสมัยเฮอัน ไทระ โนะ มาซาคาโดะ ไปจับม้าป่าเป็นการฝึกทางการทหารและมีพิธีถวายม้าแด่เทพเจ้า
*3 : กัตจู ... ชุดเกราะซามูไร
Picture courtesy of เมืองมินามิโซมะ
เทศกาลโซมะ โนมาโออิจัดขึ้นในช่วงปลายเดือนกรกฎาคมของทุกปีเป็นเวลา 3 วัน
วันที่ 1 เป็นพิธีออกรบที่ศาลเจ้าภายในเมืองโซมะและเมืองมินามิโซบะ เมื่อเตรียมการพร้อมแล้ว พลเอกจะสั่งออกรบโดยการเป่าโฮระไก (*4) เสียงดังเป็นสัญญาณเริ่มขบวน!
วันที่ 2 เป็นการเดินขบวนภายในเมืองของเหล่าทัพในชุดเกราะซามูไรแขวนดาบยาวพร้อมธงสัญลักษณ์ของบรรพบุรุษที่โบกสะบัดไปตามลม ไฮไลท์ประจำเทศกาลคือ "กัตจูเคบะ" การแข่งขันขี่ม้า 10 ตัวและ "ชิงกิโซดัตสึเซ็น" การแข่งขันแย่งธงที่ตกลงมาจากฟ้า
และวันสุดท้ายวันที่ 3 มีการจัดพิธีกรรมชินโตชื่อว่า "โนมากาเกะ" ที่ผู้เข้าร่วมพิธีจะต้องจับม้าด้วยมือเปล่าปิดท้ายเทศกาล สำหรับใครที่มีโอกาสได้เดินทางมาเที่ยวญี่ปุ่นในช่วงนี้ห้ามพลาดงานเทศกาลโซมะโนมาโออิที่ถ่ายทอดจิตวิญญาณของซามูไรให้ผู้คนยุคใหม่ได้ชมกันค่ะ
*4 : โฮระไก ... แตรหอยสังข์ขนาดใหญ่ยาวกว่า 40 เซนติเมตรสำหรับเป่าให้สัญญาณในสงครามเนื่องจากมีเสียงดังกังวาน
เทศกาลโซมะ โนมาโออิ (Soma Nomaoi)
ทุ่งฮิบาริกาฮาระ (สถานที่จัดการแข่งขันกัตจูเคบะ) : Google Maps
การเดินทาง : เดินจากสถานีเจอาร์ ฮาระโนะมาจิ (JR Haranomachi) 25 นาที วันที่ 2 ของงานเทศกาลมีรถบัสรับ-ส่งฟรีจากสถานีฮาระโนะมาจิ (Haranomachi)
เว็บไซต์ : http://soma-nomaoi.jp/en/top-page/
เทศกาลโซมะ โนมาโออิประจำปี 2018 จัดขึ้นในวันที่ 28 - 30 กรกฎาคม เนื่องจากงานจะจัดขึ้นในวันเสาร์ วันอาทิตย์ และวันจันทร์สุดท้ายของเดือนกรกฎาคมทุกปี ในปี 2019 จึงมีกำหนดการจัดงานในวันที่ 27 - 29 กรกฎาคม ดูรายละเอียดได้จากเว็บไซต์ทางการ
4. ลิ้มลองเนกิโซบะภายในเมืองโบราณ (โออุจิจูกุ : Ouchi-juku)
Photo by Eri Tashiro
โออุจิจูกุ (Ouchi-juku) เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่จะพาทุกคนย้อนกลับไปยังสมัยเอโดะ
บ้านโบราณหลังคามุงหญ้านับสิบหลังที่เรียงรายให้บรรยากาศแบบเมืองญี่ปุ่นในอดีต ถือเป็นของหาดูยากที่มีให้ดูแค่ไม่กี่แห่ง เช่น ชิราคาวะโก (Shirakawa-go) เป็นต้น
Photo by Eri Tashiro
โออุจิจูกุตั้งอยู่ตรงทางเชื่อมระหว่างไอสึและนิกโก้ (Nikko) เดิมเป็นชุคุบะมาจิ (*5) อันคึกคัก ด้วยการรณรงค์และอนุรักษ์ตั้งแต่เนิ่นๆ ทำให้เมืองนี้ยังคงหลงเหลือให้ได้ชมกันอยู่จนถึงทุกวันนี้
บ้านเรือนต่างๆ ถูกประยุกต์มาเป็นร้านจำหน่ายของฝาก ร้านโซบะ และคาเฟ่ แล้วก็ยังมีคนอาศัยอยู่จริงๆ ด้วย
*5 : ชุคุบะมาจิ ... เมืองแวะพักและค้างแรมของนักเดินทางบนถนนเชื่อมระหว่างเมืองในสมัยเอโดะ
Photo by Eri Tashiro
ของขึ้นชื่อประจำโออุจิจูกุคือ เนกิโซบะ ที่มาพร้อมกับต้นหอมต้นเบ้อเร่อ!
ในโออุจิจูกุมีร้านเนกิโซบะอยู่หลายร้าน แต่ถ้าพูดถึงต้นตำรับดั้งเดิมก็ต้องยกให้ร้านโซบะมิซาวายะ (Misawaya Soba Restaurant) เลยค่ะ
ว่ากันว่าเจ้าของร้านได้ไอเดียมาจากตอนที่เดินทางขึ้นเขาแล้วเกิดลืมเอาตะเกียบสำหรับทานข้าวกล่องไปด้วย บังเอิญเห็นต้นหอมอยู่ตรงไร่ใกล้ๆ เลยนำมาใช้ทานข้าวแทนตะเกียบ
Photo by Eri Tashiro
อุตส่าห์มาเที่ยวถึงที่นี่ทั้งทีก็ต้องลองใช้ต้นหอมทานโซบะแทนตะเกียบกันดูสักหน่อย ต้นหอมสดใหม่สามารถทานได้พร้อมกับโซบะเลย
จากการลองผิดลองถูกมากมายจนกลายมาเป็นเมนูที่แสนเรียบง่ายแต่อร่อยด้วยความพิถีพิถันเรื่องวัตถุดิบ
จุ่มเส้นโซบะกลิ่นหอมให้ชุ่มไปด้วยซุปดาชิเย็นๆ แล้วค่อยทานกัน ยิ่งวันที่อากาศแจ่มใสก็ไปนั่งรับแดดอุ่นๆ ทานกันตรงเฉลียงบ้านได้
โออุจิจูกุ (Ouchi-juku)
ร้านโซบะมิซาวายะ (Misawaya Soba Restaurant) : Google Maps
การเดินทาง : นั่งแท็กซี่มาจากสถานียุโนะคามิออนเซ็น (Yunokami-Onsen) ของรถไฟไอสึสายไอสึ ประมาณ 20 นาที
เว็บไซต์ (โออุจิจูกุ) : http://ouchi-juku.com/
5. ลอดถ้ำอาบุคุมะโด (Abukuma-do) ชมศิลปะที่สร้างสรรค์โดยธรรมชาติ! (เมืองทามูระ : Tamura)
Photo by Shiho Kito
ถ้ำอาบุคุมะโด (Abukuma-do) สถานที่สัมผัสความลึกลับของโลก
ถ้ำแห่งนี้ถูกค้นพบในปี 1969 ที่เหมืองหินปูนเก่าในเมืองทามูระ (Tamura) ของเขตนากาโดริ (Nakadori)
จากภาพคือห้องโถงที่กว้างที่สุดชื่อ "ทากิเนโกะเต็น" เพดานถ้ำสูงถึง 29 เมตรและเต็มไปด้วยหินย้อยจำนวนมหาศาล
Photo by Shiho Kito
กว่าจะเกิดเป็นถ้ำและหินย้อยต้องใช้เวลาเนิ่นนาน ตั้งแต่น้ำฝนที่ซึมเข้าไปในชั้นดินทำละลายหินปูนจนเกิดเป็นโพรงถ้ำ จากนั้นน้ำที่มีแคลเซียมคาร์บอเนตผสมจะซึมไหลลงมาจากเพดานถ้ำ เมื่อน้้ำระเหยไปก็คงเหลือแต่แคลเซียมคาร์บอเนตสะสมทับกันไปเรื่อยๆ จนเป็นหินย้อย
หินย้อยจะยาวขึ้น 1 เซนติเมตรต้องเวลาประมาณ 100 ปี ว่ากันว่ากว่าจะกลายมาเป็นถ้ำอาบุคุมะแบบในปัจจุบันต้องใช้เวลานานกว่า 80 ล้านปีเลยทีเดียว ช่างเป็นเวลาที่ยาวนานจนจิตนาการไม่ออกเลย
Photo by Shiho Kito
เส้นทางเดินชมมีระยะทาง 600 เมตรใช้เวลาเดินประมาณ 40 นาที แค่เส้นทางปกติก็สามารถเพลิดเพลินได้อย่างจุใจแล้ว แต่อุตส่าห์มาทั้งทีก็ขอแนะนำให้ลองเลือก "เส้นทางสำรวจ (Discovery Course)" กันดูค่ะ
เราจะได้สำรวจภายในถ้ำแคบแบบในรูปให้ความรู้สึกของการผจญภัย! ภายในถ้ำมีอุณหภูมิประมาณ 15 องศาตลอดทั้งปี ในฤดูร้อนก็รู้สึกเย็นสบาย ส่วนในฤดูหนาวก็รู้สึกอบอุ่น
ลองมาเที่ยวชมและผจญภัยกันในถ้ำหินงอกหินย้อยสวยๆ นี้กันนะคะ
ถ้ำอาบุคุมะโด (Abukuma-do)
ถ้ำอาบุคุมะโด : Goolgle Maps
การเดินทาง : นั่งแท็กซี่มาจากสถานีเจอาร์ คัมมาตะ (JR Kanmata) 5 นาที
เว็บไซต์ : http://abukumado.com/en/
6. อิ่มอร่อยกับ "คาวามาตะชาโมะ" แบรนด์ไก่ท้องถิ่นรสชาติเข้มข้น (เมืองคาวามาตะ : Kawamata)
Photo by Shiho Kito
เนื้อไก่หน้าตาน่าทานในภาพคือเนื้อไก่ท้องถิ่นชื่อว่า "คาวามาตะชาโมะ"
เป็นแบรนด์ไก่ท้องถิ่นที่ได้รับการรับรองจากจังหวัดฟุกุชิมะที่ถูกเลี้ยงเฉพาะในเมืองคาวามาตะ มีความอร่อยถูกปากคนทั่วญี่ปุ่นโดยในปัจจุบันขึ้นชื่อเรื่องความอร่อยไปทั่วญี่ปุ่น
Photo by Shiho Kito
เมืองคาวามาตะตั้งอยู่ในพื้นที่ภูเขาอาบุคุมะซึ่งมีอากาศดีและเย็นสบายแม้ในฤดูร้อนเหมาะกับการเลี้ยงไก่เป็นอย่างยิ่ง
ไก่ทั่วไปจะถูกส่งออกจำหน่ายในตลาดประมาณ 40 วันหลังฟักเป็นตัว แต่ไก่คาวามาตะชาโมะจะถูกเพาะเลี้ยงเป็นเวลากว่า 110 วันในพื้นที่กว้างขวาง เนื้อไก่จึงแน่นและอุดมไปด้วยกรดอะมิโนที่ช่วยให้มีรสชาติอร่อย
ร้านอาหารชื่อดังในโตเกียวก็ยังเลือกไปใช้จนเรียกได้ว่าติด 1 ใน 5 เนื้อไก่ท้องถิ่นที่อร่อยที่สุดของญี่ปุ่น เนื้อแน่นมีรสชาติ ยิ่งเคี้ยวยิ่งอร่อย
Photo by Shiho Kito
จากภาพคือ ชาโมะสุกี้ สุกี้ยากี้จากเนื้อไก่คาวามาตะชาโมะที่สามารถหาทานได้ที่ร้านอาหารเอ็นยะ (Enya) ในเมืองคาวามาตะ
ใช้ไก่ชาโมะหมักในเหล้าญี่ปุ่น 1 อาทิตย์ เนื้อไก่จึงไม่มีกลิ่นเหม็นคาวและมีรสสัมผัสนุ่มลิ้น ก่อนทานก็จุ่มเนื้อไก่ชาโมะกับไข่ดิบช่วยให้มีรสชาติกลมกล่อมมากยิ่งขึ้น
ร้านเอ็นยะมีเมนูเนื้อไก่ชาโมะรสเลิศมากมาย เช่น ซุปข้าวหน้าไก่ชาโมะ เป็นต้น
นอกจากร้านเอ็นยะแล้ว ภายในเมืองคาวามาตะก็ยังมีร้านอาหารที่เสิร์ฟเมนูเนื้อไก่คาวามาตะชาโมะอีกกว่า 10 แห่ง จึงขอเชิญชวนให้ทุกคนลองตระเวนชิมแต่ละร้านกันดูค่ะ
เอ็นยะ (Enya)
เอ็นยะ : Google Maps
การเดินทาง : นั่งรถบัส JR จากสถานีเจอาร์ ฟุกุชิมะ (JR Fukushima) มาลงป้าย คาวามาตะเทปโปมาจิ (Kawamata Teppomachi) ใช้เวลาประมาณ 40 นาที (960 เยน) แล้วเดินต่ออีกแค่ 1 นาที
7. ค้างคืนที่มรดกทางวัฒนธรรมภายในหมู่บ้านออนเซ็นสไตล์ย้อนยุค! (ฮิกาชิยามะออนเซ็น : Higashiyama Onsen)
Photo by Eri Tashiro
ฟุกุชิมะนับเป็นดินแดนแห่งออนเซ็น มีแหล่งออนเซ็นกว่า 130 แห่งมากเป็นอันดับ 5 ของญี่ปุ่น
ที่นี่คือฮิกาชิยามะออนเซ็น (Higashiyama Onsen) เดินทางสะดวกด้วยรถบัสประมาณ 15 นาทีจากสถานีไอสึวากามัตสึ (Aizu-Wakamatsu)
สะพานข้ามแม่น้ำและเรียวกังมุไคทากิ (Mukaitaki) ถือเป็นจุดเด่นประจำฮิกาชิยามะออนเซ็นเลย
เรียวกังมุไคทากิเป็นสถาปัตยกรรมเก่าแก่ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องได้ เดี๋ยวเราลองเข้าไปชมข้างในกันสักหน่อยดีกว่าค่ะ
Photo by Eri Tashiro
อาคารแห่งนี้ถูกต่อเติมอย่างต่อเนื่องลึกเข้าไปด้านในจนล้อมบ่อน้ำไว้ตรงกลางและสูงขึ้นไปตามเนินจนด้านในดูคล้ายกับเขาวงกต
ผู้สร้างมีการใส่ลูกเล่นเอาไว้ทั่วทุกจุด ห้องพักทั้ง 24 ห้องก็ออกแบบให้แตกต่างกันทั้งหมด
"มุไคทากิ" แห่งนี้มีเหล่าคนดังแวะเวียนกันมาเข้าพักมากมายไม่ว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรีและนักเขียน ในปัจจุบันยังถูกใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ด้วย ถ้ามีโอกาสก็น่าลองแวะมาเข้าพักกันให้ได้สักครั้งค่ะ
Picture courtesy of มุไคทากิ
น้ำออนเซ็นของฮิกาชิยามะออนเซ็นมีส่วนผสมของซัลเฟตจับแล้วจะลื่นมือ อ่อนโยนต่อผิวหนังและช่วยให้ร่างกายอบอุ่นได้ถึงภายใน
บริเวณนี้มีที่พักมากกว่า 15 แห่ง รวมถึงมีออนเซ็นแบบไม่ต้องเข้าพักได้ด้วย ("มุไคทากิ" ไม่มีบริการออนเซ็นแบบไม่เข้าพัก)
ฮิกาชิยามะออนเซ็น (Higashiyama Onsen)
มุไคทากิ (Mukaitaki) : Google Maps
การเดินทาง : นั่งรถบัสไอสึจากป้ายวากามัตสึเอกิมาเอะ (Wakamatsu Eki Mae) ด้านหน้าสถานีไอสึวากามัตสึ (Aizu-Wakamatsu) มาลงป้ายฮิกาชิยามะออนเซ็นเอกิ (Higashiyama-onsen-eki) ใช้เวลาประมาณ 15 นาที (210 เยน)
เว็บไซต์ : https://www.mukaitaki.jp/
8. ทานราเม็งขึ้นชื่อประจำเมืองแห่งโกดัง (เมืองคิตะคาตะ : Kitakata)
Photo by Eri Tashiro
เมืองคิตะคาตะ (Kitakata) ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของโซนไอสึ เป็นเมืองที่เต็มไปด้วยโกดังมากมาย "โกดัง (คุระ)" คือ อาคารที่สร้างขึ้นอย่างมั่นคงแข็งแรงเพื่อเก็บรักษาสิ่งของมีค่าของบ้านเรือนจากภัยพิบัติต่างๆ เช่น ไฟไหม้ เป็นต้น
หากมาเดินเที่ยวชมเมืองคิตะคาตะก็จะได้พบกับโกดังมากมาย สำหรับชาวเมืองคิตะคาตะแล้วโกดังนับเป็นหนึ่งในสิ่งแสดงสถานะทางสังคมของผู้ชายเลยก็ว่าได้
ชาวเมืองท้องถิ่นเล่าให้เราฟังว่าการมีโกดังก็หมายถึงการมีทรัพย์สินให้รักษา ดังนั้นผู้ชายที่มีโกดังส่วนตัวจึงเหมือนการประสบความสำเร็จในชีวิตอย่างหนึ่ง
Photo by Eri Tashiro
โกดังมีวิธีใช้งานหลายแบบ บางบ้านก็ใช้เก็บทรัพย์สิน บางบ้านก็เอาไว้ใช้เป็นเรือนรับแขก โกดังที่ถูกแปลงโฉมเป็นร้านของฝากและคาเฟ่ก็มี
โกดังส่วนใหญ่จะอยู่บนถนนฟุเรไอโดริ (Fureai Dori) และถนนโอทัตสึกิคุระโดริ (Otazuki Kura Dori) บริเวณใกล้สถานีคิตะคาตะ (Kitakata)
Picture courtesy of สมาคมส่งเสริมการท่องเที่ยวและผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นประจำจังหวัดฟุกุชิมะ
เมืองคิตะคาตะมีตาน้ำบริสุทธิ์ด้วยจึงสามารถผลิตเหล้าญี่ปุ่น มิโซะ โชยุ และอื่นๆ ที่จำเป็นต้องใช้น้ำได้อย่างสบายๆ
คิตะคาตะราเม็งที่ทำด้วยน้ำบริสุทธิ์ก็เป็นเมนูที่โด่งดังไปทั่วญี่ปุ่น มีเอกลักษณ์เป็นน้ำซุปโชยุรสชาติเบาๆ ทานง่าย
ผู้คนที่นี่นิยมทานราเม็งกันตั้งแต่เช้า ร้านราเม็งหลายแห่งเลยเปิดทำการตั้งแต่ 7 โมงเช้าเลย ราเม็งนับเป็นโซลฟู้ดอย่างหนึ่งของญี่ปุ่นที่ทานได้ทุกเวลาทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นมื้อเช้า มื้อเที่ยง หรือเอาไว้ปิดท้ายหลังดื่มเหล้า
เมืองคิตะคาตะ (Kitakata)
ถนนฟุเรไอโดริ (Fureai Dori) : Google Maps
การเดินทาง : เดินจากสถานีเจอาร์ คิตะคาตะ (JR Kitakata) 15 นาที
เว็บไซต์ : http://www.kitakata-kanko.jp/
9. นั่งรถไฟท่ามกลางธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ (รถไฟสายทาดามิ : Tadami Line)
Picture courtesy of จังหวัดฟุกุชิมะ
รถไฟ JR สายทาดามิ (Tadami Line) เป็นรถไฟที่ขึ้นชื่อเรื่องความโรแมนติกที่สุดในโลก เป็นรถไฟสายท้องถิ่นที่วิ่งให้บริการระหว่างไอสึวากามัตสึ (Aizuwakamatsu) และจังหวัดนีงาตะ
ระหว่างนั่งรถไฟสายทาดามิข้ามสะพานข้ามแม่น้ำทาดามิหมายเลข 1 (No.1 Tadami River Bridge) (ตามภาพ) ที่ตั้งอยู่ระหว่างสถานีไอสึฮิโนะฮาระ (Aizu-Hinohara) และสถานีไอสึนิชิคาตะ (Aizu-Nishikata) เราจะได้ชมแม่น้ำทาดามิ (Tadami River) ที่ไหลอยู่ท่ามกลางธรรมชาติยิ่งใหญ่ได้
ส่วนวิวจากระยะไกลแบบด้านบนนี้สามารถไปดูได้จากจุดชมวิวใกล้กับ "จุดพักรถโอเซไคโด มิชิมะจูกุ (Ozekaido Mishima Juku Roadside Station)"
Picture courtesy of สมาคมส่งเสริมการท่องเที่ยวและผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นประจำจังหวัดฟุกุชิมะ
ไม่เพียงแค่วิวหิมะขาวเท่านั้น แต่เรายังสามารถเพลิดเพลินกับการเปลี่ยนแปลงของทัศนียภาพตามฤดูกาลได้ เช่น วิวใบไม้เปลี่ยนสีในฤดูใบไม้ร่วงและวิวป่าไม้อันเขียวขจีในฤดูร้อน
ใครบ้างจะไม่อยากมานั่งรถไฟชิลล์ๆ ท่ามกลางธรรมชาติของฟุกุชิมะหลากหลายบรรยากาศไม่ว่าจะเป็นทุ่งนาอันกว้างใหญ่ทั่วทุกแห่ง ช่องเขาอันสูงชัน และแม่น้ำที่สะท้อนสีเขียวร่มรื่นของป่าไม้
เนื่องจากมีขบวนรถไฟวิ่งให้บริการค่อนข้างน้อย ขอแนะนำให้เช็คตารางเวลาเดินรถล่วงหน้าจะดีที่สุด
รถไฟสายทาดามิ (Tadami Line)
สถานีไอสึวากามัตสึ (Aizu-Wakamatsu) (สถานีต้นทางของรถไฟสายทาดามิ) : Google Maps
เว็บไซต์ (ตารางเวลาเดินรถ) : https://www.tadami-net.com/tadamiline/20160728/11099
10. ลิ้มรสลูกพีชหวานฉ่ำ (เมืองฟุกุชิมะ : Fukushima และอื่นๆ)
Picture courtesy of สมาคมส่งเสริมการท่องเที่ยวและผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นประจำจังหวัดฟุกุชิมะ
ฟุกุชิมะเป็นแหล่งเพาะปลูกผลไม้ขึ้นชื่อ โดยหนึ่งในนั้นก็คือลูกพีชซึ่งมีปริมาณการผลิตมากเป็นอันดับที่ 2 ของญี่ปุ่นเลยทีเดียว
Picture courtesy of สมาคมส่งเสริมการท่องเที่ยวและผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นประจำจังหวัดฟุกุชิมะ
แหล่งเพาะปลูกลูกพีชอยู่ทางตอนเหนือของฟุกุชิมะซึ่งเป็นพื้นที่แอ่งกระทะ จึงมีอากาศร้อนมากในฤดูร้อน
แต่อากาศร้อนนี้แหละที่เป็นตัวช่วยดึงความหวานของลูกพีชออกมา น้ำสะอาดและผืนดินอันอุดมสมบูรณ์ทำให้ลูกพีชของที่นี่หวานอร่อยสุดๆ !
นอกจากลูกพีชก็ยังปลูกผลไม้อีกหลายชนิด เช่น สาลี่และแอปเปิล
แถมสวนผลไม้หลายแห่งของที่นี่ยังมีการจัดกิจกรรมเก็บผลไม้อีกด้วย เช่น สวนผลไม้มารุเซ (Marusei Orchard) ในเมืองฟุกุชิมะ ขอแนะนำสำหรับทริปครอบครัวเลย
แผนเที่ยวแหล่งท่องเที่ยวในฟุกุชิมะแบบ 2 วัน 1 คืน
ต่อไปเราขอแนะนำแผนเที่ยวจากสถานที่ที่แนะนำกันไปข้างต้นแบบ 2 วัน 1 คืนกันค่ะ
วันที่ 1
Photo by Eri Tashiro
ก่อนอื่นให้เราเริ่มต้นทริปจากสถานีไอสึวากามัตสึ (Aizu-Wakamatsu) ในวันนี้เป็นการเดินเล่นชมอาคารบ้านเมืองสไตล์ย้อนยุคและปราสาทสึรุกะในไอสึวากามัตสึ ส่วนตอนกลางคืนก็นั่งรถบัสประมาณ 15 นาทีไปค้างคืนกันที่ฮิกาชิยามะออนเซ็น
วันที่ 2
Photo by Eri Tashiro
วันที่ 2 ให้มุ่งหน้าไปยังโออุจิจูกุ โดยนั่งรถไฟจากสถานีไอสึวากามัตสึ (Aizu-Wakamatsu) ไปลงที่สถานียุโนะคามิออนเซ็น (Yunokami-Onsen) แล้วนั่งแท็กซี่ต่อมาอีกประมาณ 15 นาที
ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ของบางฤดูกาลจะมีรถบัสวิ่งให้บริการจากสถานีไอสึวากามัตสึ (Aizu-Wakamatsu) ไปถึงโออุจิจูกุโดยตรงเลย
หรือว่าจะตระเวนเที่ยวคิตะคาตะและบึงโกะชิกินูมะก็ได้เหมือนกัน เราสามารถนั่งรถไฟจากไอสึวากามัตสึไปถึงคิตะคาตะได้โดยใช้เวลาประมาณ 15 นาที หลังจากอิ่มอร่อยกับราเม็งในคิตะคาตะเป็นมื้อเช้าเรียบร้อยแล้วก็มุ่งหน้าไปยังโกะชิกินูมะกันต่อ โดยมีรถบัสวิ่งให้บริการจากสถานีคิตะคาตะ (Kitakata) ไปถึงโกะชิกินูมะ ใช้เวลาประมาณ 65 นาที
แผนเที่ยวที่เราแนะนำกันไปในครั้งนี้เป็นแบบ 2 วัน 1 คืน แต่ใครที่อยากเที่ยวนานกว่านั้นก็สามารถจัดตารางเที่ยวแบบ 3 วัน 2 คืนแทนก็ได้
วิธีการเดินทางจากโตเกียวไปยังฟุกุชิมะ
ในกรณีที่เดินทางจากโตเกียวไปยังฟุกุชิมะให้มุ่งหน้าไปยังไอสึวากามัตสึโดยใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง - 3 ชั่วโมง
นั่งชินคันเซ็นจากสถานีโตเกียว (Tokyo) ไปยังสถานีโคริยามะ (Koriyama) แล้วเปลี่ยนไปขึ้นรถไฟ JR สายบันเอ็ตสึไซ (Ban'etsu West Line) มาลงที่สถานีไอสึวากามัตสึ (Aizu-Wakamatsu)
มาเพลิดเพลินกับการท่องเที่ยวฟุกุชิมะกันเถอะ!
ฟุกุชิมะเป็นจังหวัดที่มีพื้นที่กว้างใหญ่เป็นอันดับ 3 ของญี่ปุ่น ไม่ว่าจะไปที่ไหนหรือฤดูกาลไหนก็มีเสน่ห์ ลองมาเที่ยวฟุกุชิมะตามสไตล์ของตัวเองกันนะคะ
In cooperation with สำนักงานท่องเที่ยวไอสึวากามัตสึ, ร้านโซบะมิซาวายะ, ถ้ำอาบุคุมะโด, เอ็นยะ, คาซามะ ฮิเดโอะ, มุไคทากิ
Sponsored by กระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรม
In cooperation with 會津若松観光局、三澤屋、阿武隈洞、えん屋、向瀧(以上省略敬稱)
Sponsored by 經濟產業省
อ่านเพิ่มเติมได้ที่
บัญชีส่งเสริมการขายของ MATCHA สำหรับการโฆษณาองค์กรและรัฐบาลท้องถิ่น เรามุ่งมั่นที่จะให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านของเราอย่างสนุกสนาน
นอกจากนี้ บทความอาจมีลิงก์โฆษณา โปรดพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจซื้อหรือจอง