Unseen Japan สัมผัสมนต์เสน่ห์แห่งฤดูหนาวของเมืองมัตสึโมโตะ 2 วัน 1 คืน

ข้อมูลพื้นฐานภาษาญี่ปุ่น การออกเสียง และภาษาอังกฤษของคนญี่ปุ่น

บริการนี้รวมโฆษณาที่ได้รับการสนับสนุน
article thumbnail image

บทความแนะนำข้อมูลพื้นฐานของภาษาญี่ปุ่นซึ่งว่ากันว่าเป็นภาษาที่ยากที่สุดในโลกและข้อมูลเจาะลึกว่าประเทศญี่ปุ่นรองรับภาษาอังกฤษมากแค่ไหน รวมถึงจุดที่ยากในการเรียนภาษาญี่ปุ่น

บทความโดย

A Japanese teacher, calligrapher, singer in my room!

more

ภาษาญี่ปุ่นเป็นภาษาแบบไหนกันนะ?

เพื่อนๆรู้มั้ยคะว่าภาษาญี่ปุ่นเป็นภาษาแบบไหน? ผู้เขียนเชื่อว่าหลายคนต้องเคยได้ยินเสียงเล่าลือถึงความยากกันมาบ้างอย่างแน่นอน แต่ภาษาญี่ปุ่นยากจริงเหรอ?

ในครั้งนี้เราจะมาแนะนำ ข้อมูลพื้นฐานของภาษาญี่ปุ่น และ

วิธีการอ่านออกเสียงภาษาญี่ปุ่น กันค่ะ ^^

อ่านเพิ่มเติมได้ที่:

ประโยคภาษาญี่ปุ่นพื้นฐานแสนสะดวกสำหรับการท่องเที่ยว

14 ประโยคภาษาญี่ปุ่นแสนสะดวกสำหรับถามทาง

อะริกาโต้ โกไซมัส! การกล่าวคำขอบคุณเป็นภาษาญี่ปุ่น 7 แบบ

13 วลีภาษาญี่ปุ่นแสนสะดวกสำหรับการช้อปปิ้ง

13 วลีภาษาญี่ปุ่นที่ใช้ตามร้านอาหารญี่ปุ่น

รวม 10 ภาษาญี่ปุ่น ที่สามารถใช้ได้ในโรงแรม!

10 วลีภาษาญี่ปุ่นที่ใช้ตามแหล่งท่องเที่ยวและพิพิธภัณฑ์!

14 ภาษาญี่ปุ่นสำหรับขอร้องในยามฉุกเฉิน

ภาษาญี่ปุ่นยามเจ็บป่วยที่ใช้ในโรงพยาบาลและร้านขายยา

ภาษาที่มีผู้คนใช้กันมากที่สุดเป็นอันดับ 9 ของโลก!

คนที่ใช้ภาษาญี่ปุ่นเป็นภาษาแม่มีประมาณ 127 ล้านคน โดยติดอันดับ 9 ในบรรดาภาษากว่า 6,000 ภาษาทั่วโลก (อันดับประชากรที่ใช้ภาษาญี่ปุ่นเป็นภาษาแม่)

ภาษาญี่ปุ่นยากที่สุดในโลกจริงเหรอ? มาดูกันดีกว่าว่ายากตรงไหน!

หลายคนน่าจะเคยได้ยินกันมาบ้างว่าภาษาญี่ปุ่นเป็นภาษาที่ยากที่สุดในโลก แต่ผู้เขียนเชื่อว่าไม่จริงหรอก...

ลำดับของคำเป็นยังไง?

ประโยคภาษาญี่ปุ่นเรียงลำดับแบบ SOV (ประธาน → กรรม → กริยา) เหมือนกับภาษาอื่นๆกว่า 50% ทั่วโลก

私は (ประธาน) りんごを (กรรม) 食べた (กริยา)。
ฉัน → แอปเปิ้ล → กิน (ฉันกินแอปเปิ้ล)

แต่คนส่วนใหญ่แล้วมักจะพูดโดยละประธานเอาไว้แบบนี้「りんごを食べた。(กินแอปเปิ้ล)」จะฟังดูเป็นธรรมชาติมากกว่า

ในญี่ปุ่นมีจำหน่ายเสื้อยืด 私 ♥ 東京 (ฉัน ♥ โตเกียว) ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นโตเกียวของ I ♥ NY ด้วยก็จริง แต่ถ้าเปลี่ยนเป็น 東京♥ (โตเกียว ♥) จะเป็นภาษาญี่ปุ่นที่ดูเป็นธรรมชาติมากกว่า

จุดที่ยากในภาษาญี่ปุ่นมีอยู่ด้วยกัน 2 ข้อดังต่อไปนี้

มีตัวอักษรถึง 3 ประเภท

ตัวอักษรในภาษาญี่ปุ่นมีทั้งหมดถึง 3 ประเภท เลยทีเดียว ประกอบด้วย “คันจิ” ตัวอักษรที่มีต้นกำเนิดในจีน, “ฮิรากานะ” และ “คาตากานะ” ตัวอักษรที่ใช้กันในญี่ปุ่นเท่านั้น

※ นอกจากนี้ก็ยังมีการใช้ตัวอักษรโรมาจิแทนเสียงในภาษาญี่ปุ่นด้วย

ฮิรากานะและคาตากานะประกอบด้วยตัวอักษรอย่างละ 48 ตัว ส่วนตัวอักษรคันจิที่ใช้กันทั่วไปในชีวิตประจำวันมีถึงประมาณ 2,000 ตัวเลยทีเดียว ดังนั้น ถ้าเอ่ยถึงจุดที่ยากที่สุดในการเรียนภาษาญี่ปุ่นก็ต้องยกให้ “คันจิ” เลยค่ะ

แต่เนื่องจากตัวอักษรคันจิแต่ละตัวจะมีความหมายในตัวของมันเองแตกต่างจากตัวอักษรทั่วไป อย่างตัวอักษร A,B,C… ในภาษาอังกฤษ ถ้าเพียงแค่อ่านธรมดาไม่มีทางรู้ความหมายของคำศัพท์ภาษาอังกฤษนั้นๆอย่างแน่นอน แต่ถ้าเกิดเรียนคันจิ เราจะสามารถรู้ความหมายของคำศัพท์ภาษาญี่ปุ่นมากมายผ่านตัวอักษรได้

อายุห่างกันแค่ปีเดียว คำพูดก็เปลี่ยน! “เคโกะ” คืออะไร?

ในภาษาญี่ปุ่นประกอบด้วย คำทั่วไป ที่ใช้กับครอบครัวหรือเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน (「普通形」 (รูปธรรมดา) ที่เรียนกันตามโรงเรียนสอนภาษาญี่ปุ่น) และคำสุภาพที่ใช้กับผู้คนนอกเหนือจากนั้น โดยเราเรียกคำสุภาพว่า 敬語 (เคโกะ)

ถึงแม้ว่าจะเป็นกลุ่มวัยรุ่นเหมือนกัน แต่ตอนที่เพิ่งรู้จักกันก็มักจะพูดคุยกันโดยใช้คำสุภาพจนกว่าจะสนิทสนมกันในระดับหนึ่ง

タメ語でもいい? [tamego demo i:]


ผู้คนส่วนใหญ่มักจะถามก่อนว่า (ขอไม่ใช้คำสุภาพได้มั้ย?) แล้วถึงค่อยเปลี่ยนเป็นภาษาพูดธรรมดาทั่วไป

วิธีการพูดแบบทั่วไปและวิธีการพูดแบบสุภาพ จะใช้คำที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ซึ่งจุดนี้แหละที่เป็นปัญหาสำหรับผู้เรียนภาษาญี่ปุ่นจำนวนมากถึงขนาดยกให้ว่าเป็นความยากอันดับต้นๆในภาษาญี่ปุ่นเลยล่ะค่ะ แต่เนื่องจากแม้แต่คนญี่ปุ่นเองก็เป็นเรื่องยากที่จะใช้คำสุภาพได้อย่างถูกต้อง 100% ชาวต่างชาติจึงไม่จำเป็นต้องซีเรียสจนเกินไป

・ภาษาญี่ปุ่นที่จะแนะนำกันต่อไปในบทความของ MATCHA ถ้าเกิดไม่ได้เขียนคำเตือนเอาไว้จะถือว่าเป็นคำสุภาพทั้งหมด เนื่องจากระหว่างเที่ยวญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะเป็นสถานการณ์ที่ต้องใช้คำสุภาพเกือบทั้งหมดอยู่แล้ว

ฮอมมะ!? ภาษาโตเกียวกับภาษาโอซาก้าไม่เหมือนกัน! “คันไซเบง” คืออะไร?

ในภาษาญี่ปุ่นมี ภาษาถิ่น หลากหลายมาก เราเรียกสำเนียงที่แตกต่างจากภาษามาตรฐานว่า「訛り (เนมาริ = เสียงเพี้ยน / เหน่อ)」ก็จริง แต่ภาษาถิ่นในญี่ปุ่นนั้นไม่ได้มีความแตกต่างเพียงแค่สำเนียงเท่านั้น แต่บางภาษาถิ่นก็มีรูปแบบภาษาที่ใช้แตกต่างจากภาษามาตรฐานอย่างมากเลยทีเดียว

ถ้าจะให้พูดง่ายๆก็คือในญี่ปุ่นมีภาษาอื่นๆที่คล้ายคลึงกับภาษาญี่ปุ่นมาตรฐานอยู่มากมายนี่แหละ ซึ่งการที่มีภาษาถิ่นมากมายนี้นับเป็นหนึ่งในเอกลักษณ์สำคัญของภาษาญี่ปุ่นเลยล่ะค่ะ

เพื่อนๆมีแผนไปเที่ยวโอซาก้าหรือเกียวโตกันรึเปล่าเอ่ย? ผู้คนในแถบโดยรอบโอซาก้าและเกียวโตนั้นพูดคุยกันด้วยภาษาถิ่นที่เรียกว่า “คันไซเบง” ถึงแม้ว่าจะเรียกโดยรวมว่า “คันไซเบง” ก็จริง แต่ความจริงแล้วประกอบด้วยภาษาถิ่นอีกเพียบ! ไม่ว่าจะเป็น “โอซาก้าเบง” หรือ “เกียวโตเบง” เป็นต้น

ฮอมมะ? หมายถึง จริงเหรอ? ในคันไซเบง

・เนื่องจากภาษาญี่ปุ่นมาตรฐานที่เรียนกันตามโรงเรียนสอนภาษาญี่ปุ่นสามารถใช้สื่อสารตามท้องถิ่นในญี่ปุ่นได้รู้เรื่องเป็นปกติ จึงสบายใจหายห่วงค่ะ ^^

ประเทศญี่ปุ่นรองรับภาษาอังกฤษมากแค่ไหน?

ผู้คนตามแหล่งท่องเที่ยวทั่วไปในโตเกียวสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ในระดับพอใช้

คนญี่ปุ่นที่สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้คล่องยังถือว่าน้อยอยู่ก็จริง แต่ตามแหล่งท่องเที่ยวในตัวเมืองนั้นมีคนที่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้อยู่ตามสถานีรถไฟ และตามร้านอาหารก็มักจะมีเมนูภาษาอังกฤษรองรับนักท่องเที่ยวด้วย

นอกจากนี้ ถึงแม้ว่าพนักงานตามร้านค้าจะยังพูดภาษาอังกฤษได้ไม่คล่องเท่าไหร่ แต่ส่วนใหญ่ก็มักจะพยายามสื่อสารภาษาอังกฤษกับนักท่องเที่ยวจนเข้าใจกันได้ในที่สุด

คำอธิบายตามแหล่งท่องเที่ยวและป้ายนำทางตามสถานีรถไฟส่วนใหญ่แล้วไม่ได้มีแค่ภาษาอังกฤษเท่านั้น แต่มักจะมีภาษาจีนและภาษาเกาหลีด้วย แถมในปัจจุบันก็ยังมีคำอธิบายภาษาโปรตุเกสและภาษาเวียดนามเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆด้วยนะเออ...

ส่วนแหล่งท่องเที่ยวแห่งอื่นๆ นอกจากโตเกียว ที่มีนักท่องเที่ยวมาเยือนกันมากมายอย่างโอซาก้าหรือเกียวโตก็คาดว่าน่าจะมีสภาพไม่ต่างจากโตเกียว แต่ท้องถิ่นอื่นๆนอกเหนือจากนั้น ส่วนใหญ่ไม่รองรับภาษาอังกฤษ

พูดภาษาอังกฤษยังไงให้คนญี่ปุ่นเข้าใจ?

เนื่องจากคนญี่ปุ่นเรียนภาษาอังกฤษกันมาในสมัยเรียน ถึงแม้ว่าจะพูดไม่ได้ แต่ส่วนใหญ่ก็สามารถเข้าใจภาษาอังกฤษได้เป็นคำๆ

1. พูดช้าๆด้วย ประโยคสั้นๆ
2. พูด เสียงสูงขึ้นอีกนิด (โดยเฉพาะผู้ชาย)
3. เขียน คำศัพท์ให้ดู (ใช้ตัวพิมพ์ ไม่ใช้ตัวเขียน)

ถ้าเกิดทำตามครบทั้ง 3 ข้อข้างต้น รับรองว่าถึงแม้จะเป็นคนญี่ปุ่นที่ไม่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ก็เข้าใจกันอย่างแน่นอน

วิธีการอ่านออกเสียงของบทความซีรีส์ภาษาญี่ปุ่น

วลีภาษาญี่ปุ่นแสนสะดวกที่ควรจำไปใช้ในระหว่างเที่ยวญี่ปุ่น

ผู้เขียนได้รวบรวมภาษาญี่ปุ่นควรรู้โดยแบ่งออกเป็น 9 หมวดหมู่มาไว้ที่นี่เรียบร้อยแล้ว ประกอบด้วย 1. ภาษาญี่ปุ่นพื้นฐานแสนสะดวก, 2. วิธีการถามทาง, 3. โรงแรม, 4. การท่องเที่ยว, 5. ร้านอาหาร, 6. ช้อปปิ้ง, 7. วิธีการขอบคุณ, 8. เมื่อต้องการขอความช่วยเหลือ, 9. ป่วย

บทความเหล่านี้ได้ระบุวิธีการอ่านออกเสียงด้วยตัวอักษรโรมาจิเอาไว้ในวงเล็บด้วยเพื่อให้ผู้ที่ไม่เคยเรียนภาษาญี่ปุ่นเลยก็สามารถอ่านได้อย่างง่ายๆ เดี๋ยวเรามาอธิบายวิธีการอ่านออกเสียงเหล่านั้นกันเลยดีกว่า

※ ผู้เขียนยึดหลักการถอดเสียงมาจากการออกเสียงจริง โดยไม่ได้ยึดตามอักษรโรมาจิในภาษาญี่ปุ่นที่ใช้กันทั่วไปในหนังสือเรียนภาษาญี่ปุ่น

พื้นฐานการออกเสียง

・ในกรณีที่ไม่มีสัญลักษณ์ลากเสียงยาว [:] ก็ไม่ต้องลากเสียงสระหรือไม่ต้องเน้นเสียงหนัก โดยพื้นฐานแล้วสระทุกตัวจะออกเสียงด้วยความยาวและความหนักเท่ากัน

・ในกรณีที่เป็นประโยคคำถามจำเป็นต้องลากเสียงสูงที่ท้ายประโยคด้วย แต่ควรระวังว่าถ้าเกิดลากเสียงสูงจนเกินไปก็อาจกลายเป็นเสียมารยาทได้

พื้นฐานของสระ a・i・u・e・o

・สำหรับใครที่เคยเรียนภาษาสเปนหรืออิตาเลียนมาก่อนจะมีวิธีการอ่านออกเสียง aiueo คล้ายคลึงกันก็จริง แต่ควรระวังดังต่อไปนี้

[a]… ออกเสียงคล้ายกับเสียง u เช่น คำว่า gun, study, tunnel ในภาษาอังกฤษ แต่ออกเสียงสั้นกว่า

[i]… ออกเสียงคล้ายกับเสียง i เช่น คำว่า city, picture ในภาษาอังกฤษ แต่ออกเสียงสั้นกว่าเช่นเดียวกัน

[u]… ออกเสียงคล้ายกับเสียง u เช่น คำว่า put, push ในภาษาอังกฤษ แต่ออกเสียงสั้นและเบาบางกว่า (ไม่เน้น) โดยไม่ห่อลิ้น

[e]… ออกเสียงคล้ายกับเสียง e เช่น คำว่า egg, red ในภาษาอังกฤษ แต่ออกเสียงสั้นกว่า

[o]… ออกเสียงคล้ายกับเสียง o เช่น คำว่า dog, soft ในภาษาอังกฤษ แต่ออกเสียงสั้นกว่า

ถึงแม้ว่าจะมีข้อยกเว้นอยู่บ้างก็จริง แต่โดยพื้นฐานแล้ว การออกเสียงสระจะออกเสียงตามคำอธิบายข้างต้นเกือบทั้งหมด โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงเสียงไปตามการผสมตัวอักษร เช่น คำว่า [auto] จะออกเสียงว่า [a][u][to] โดยไม่ออกเสียงเหมือนกับคำว่า auto ของ automatic ในภาษาอังกฤษ นอกจากนี้ คำว่า [made] ก็จะออกเสียงเป็น [ma][de] โดยไม่ออกเสียงเหมือนกับคำว่าmade ในภาษาอังกฤษด้วย

ข้อควรระวังเรื่องพยัญชนะ

[t]… ออกเสียงคล้ายกับเสียง t เช่น คำว่า start ในภาษาอังกฤษ แต่ควรระวังอย่ายื่นปลายลิ้นออกมา
[tsu]… เป็นเสียงที่เกิดจากการผสมสระ [u] เข้าไปหลังเสียง ts ของคำว่า cats หรือ boots ในภาษาอังกฤษ ควรระวังอย่าออกเสียง t และเสียง su แยกกัน
[d]… ออกเสียงคล้ายกับเสียง d เช่น คำว่า Canada ในภาษาอังกฤษ แต่ควรระวังอย่ายื่นปลายลิ้นออกมา
[hi]… เป็นเสียงที่เกิดจากการผสมเสียงสระ [i] กับเสียงพ่นลมหายใจออกผ่านขากรรไกรบนโดยห่อปากให้แคบลง (สำหรับใครที่เคยเรียนภาษาเยอรมันมาก่อนจะเป็นเสียง ch ของคำว่า ich ในภาษาเยอรมัน)
[sh]… ออกเสียงเหมือนกับเสียง sh เช่น คำว่า she ในภาษาอังกฤษ แต่ออกเสียงโดยไม่ห่อลิ้น
[y]… เป็นเสียง y เช่น คำว่า yacht และ you ในภาษาอังกฤษ ไม่ใช่เสียง j เหมือนกับคำว่า jacket นะจ๊ะ...
[j]… ออกเสียงเหมือนกับคำว่า j เช่น คำว่า jacket ในภาษาอังกฤษก็จริง แต่ออกเสียงโดยไม่ห่อลิ้น ไม่ใช่เสียง y เหมือนกับคำว่า you
[f]… คล้ายคลึงกับเสียงลมหายใจที่พ่นออกมาตอนเป่าเทียน [f] ในภาษาญี่ปุ่นออกเสียงโดยการทำให้ลิ้นด้านบนและลิ้นด้านล่างชิดกัน โดยไม่ให้ลิ้นด้านล่างขึ้นไปแตะฟันบน
[ch]… เป็นเสียง ch เช่น คำว่า cheese ในภาษาอังกฤษ แต่ควรระวังอย่าห่อลิ้น ไม่ใช่เสียง ch เหมือนกับคำว่า macchiato และ ch ของคำว่า ich ในภาษาเยอรมัน
[r]… ตรงกับเสียง [r] กระดกลิ้นในภาษาสเปนและภาษาอิตาเลียนที่ออกเสียงสั้นและเบาบางกว่า โดยมีความใกล้เคียงกับเสียง [d] ในภาษาญี่ปุ่นด้วย

ในภาษาญี่ปุ่น l และ r ออกเสียงเหมือนกัน ดังนั้น ไม่ว่าตัวไหนก็ออกเสียงด้วยเสียง [r] ทั้งหมด

เนื่องจากในภาษาญี่ปุ่น b และ v ออกเสียงเป็นเสียง b เหมือนกันทั้งหมด คำว่า love ในภาษาอังกฤษจึงออกเสียงเป็น ラブ [rabu]
[w]… ออกเสียงเหมือนกับเสียง w เช่น คำว่า went ในภาษาอังกฤษ แต่ออกเสียงเบาบางกว่าและไม่ห่อลิ้น

สัญลักษณ์

」ในภาษาญี่ปุ่น … โดยพื้นฐานแล้วให้คิดว่าเป็น เครื่องหมายหยุด ก็แล้วกันเนอะ สำหรับใครที่เคยเรียนดนตรีมาก่อนก็จะตรงกับ staccato แต่ควรระวังไม่เน้นเสียง / ไม่ขึ้นเสียงตัวหน้า ตามการถอดเสียงระบุไว้ว่าให้ออกเสียงพยัญชนะตัวหลังซ้ำกัน 2 ครั้ง

ตัวอย่าง

・きて [kite] → きて [kitte]
[:]… สัญลักษณ์การลากเสียงสระยาว เช่น [zu] ออกเสียงเหมือนกับเสียง ds ของคำว่า goods ในภาษาอังกฤษ แต่ในกรณีที่เป็น [zu:] จะออกเสียงเหมือนคำว่า zoo ในภาษาอังกฤษ

มาสนุกกับภาษาญี่ปุ่นกันเถอะ

ในครั้งนี้ผู้เขียนอธิบายข้อมูลเอาไว้ค่อนข้างยาวเลยทีเดียว แต่ก็ยังขอยืนยันคำเดิมว่าภาษาญี่ปุ่นตามพื้นฐานด้านการสนทนาแล้วไม่ได้ยากขนาดนั้น เพียงแค่พูดภาษาญี่ปุ่น ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส คนญี่ปุ่นก็ดีใจแล้วล่ะค่ะ ^^

ยังไงก็ขอให้เพื่อนๆสนุกกับการใช้ภาษาญี่ปุ่นโดยไม่ต้องกลัวพูดผิดกันนะ!

ดูบทความเกี่ยวกับประโยคภาษาญี่ปุ่นที่เป็นประโยชน์ในสถานการณ์ต่างๆ เพิ่มเติมได้จากบทความด้านล่างนี้

บทความโดย

Mayo Nomura

A Japanese teacher, calligrapher, singer in my room!

more
เนื้อหาในบทความนี้อ้างอิงจากการเก็บข้อมูลในช่วงเวลาที่เขียนบทความ อาจมีการเปลี่ยนแปลงของรายละเอียดสินค้า บริการ ราคาในภายหลังได้ กรุณาตรวจสอบกับสถานที่นั้นอีกครั้งก่อนการไปใช้บริการ
นอกจากนี้ บทความอาจมีลิงก์โฆษณา โปรดพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจซื้อหรือจอง

อันดับ

ไม่พบบทความ